ตอนที่ 80 อย่าเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
เซี่ยซิงเฉินเริ่มตอกไข่ใหม่อีกครั้งแล้วตีไข่ให้เข้ากันอีกรอบ ราวกับเครื่องจักร ก่อนจะฝืนกัดริมฝีปากพูด “ฉันคงไม่สามารถ หน้าด้านอยู่รอถึงเวลาที่ซึ่งเหวยเข้ามาไล่ฉันแล้วฉันถึงจะไป ใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่แน่นอน ทำแบบนั้นไม่เหมาะแน่ๆ เพียงแต่ว่า ซึ่ง เฉิน…” ฉือเว่ยยังมองเธอแบบหยั่งเชิง “เธอแน่ใจนะว่าเธอ อยากย้ายออกมาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะหึง?”
ทิ้ง?
ใจเซี่ยซิงเฉินหยุดเต้นชั่วขณะ ก่อนจะชำเลืองมองเธอ
“เธอลองคิดดูนะ เธอไม่สบายใจเพราะเรื่องประธานาธิบดี กับซ่งเหวยอีใช่หรือเปล่า” ถือเว่ยยังเตือนสติ “ถ้าเป็นเพราะ เรื่องนี้จริงๆ เธอเลยอยากจะย้ายออกมา งั้น…การที่เธออยาก ถอนตัวน่าจะไม่ใช่แค่เรื่องบรรยากาศของบ้านแล้วล่ะ”
เซี่ยซิงเฉินไม่ส่งเสียง สายตาจับอยู่ที่ไข่สีเหลืองทอง
ฉือเว่ยยังถอนหายใจ “ชิงเฉิน ถ้าเธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉัน คงยุให้เธอคบกับประธานาธิบดีแน่ๆ เจ๋งดีออก ผู้หญิงทุก คนในประเทศ S ของเราล้วนแต่ใฝ่ฝันถึงเรื่องนี้กันใช่ไหม? แต่ว่าเธอเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันเลยได้แต่เตือนเธอด้วย เหตุผล…อย่าโง่ไปเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เพราะถึงตอน นั้น คนที่เจ็บก็คือเธอ”
เซี่ยซิงเฉินยังคงเงียบไม่ยอมปริปาก ฉือเว่ยยังดูไม่ออกว่า เธอคิดอะไรอยู่ แต่ในฐานะเพื่อน สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมด แล้ว
ในตอนนี้ ก็เดือดพอดี ถือเว่ยยังหยิบบะหมี่ใส่ลงไปใน หม้อ เซียซิงเฉินก็เปิดเตาทอดไข่เจียวในกระทะอย่างเงียบๆ ทั้ง สองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย
อีกด้านหนึ่ง
คืนนี้ไปเย่นิ่งไม่มีอารมณ์จะกลับทำเนียบฯ จึงนอนที่ห้อง พักสำนักงานตลอดทั้งคืน ตีสองแล้วยังดูเอกสารการปรับปรุง รูปแบบการทำงานที่เสนอขึ้นมาอยู่
อ่านๆ อยู่ก็เริ่มใจลอย ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้มีเอกสารที่ระบุ ว่าต้องให้สวี่เหยียนแปล เขาก็ไม่รู้ว่าเขาลางานได้สองวันติด กันแล้ว!
พวกเขาสองคนจำเป็นต้องตัวติดกันถึงขนาดนี้จริงเหรอ?
ใจยากที่จะสงบลงได้ เขาปิดไฟแล้วโยนเอกสารทิ้ง ก่อน จะลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด ไปยืนริมหน้าต่างจุดบุหรี่อัดเข้าไป อย่างหนักสองรอบ เขาดึงตัวเองจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด ทว่าความคิดอันเลวร้ายในใจก็ไม่เบาบางลงเลยสักนิดเดียว
นัยน์ตาลึกเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีที่กว้างใหญ่ มองลง ไปยังประเทศทั้งหมดของเขา ทว่าในใจกลับมีแต่ความว่าง เปล่าเหงาหงอย ผู้หญิงคนนั้น คนนี้จะอยู่ในทำเนียบอย่าง สงบเสงี่ยมหรือเปล่า?
ในตอนนี้เองมือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ส่วนตัวของเขา
เขาหันกลับไปไม่ได้รับสายทันที ท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างนั้นค่อนข้างแสบตา คนที่รู้เบอร์ของเขามีเพียงไม่กี่คน รวมทั้งเธอด้วย
เมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นเป็นครั้งที่ห้าเขาก็ดับบุหรี่แล้ว หยิบมือถือขึ้นมา แต่พอเห็นเบอร์ที่กะพริบบนหน้าจอ นัยน์ตา ฉายแววกังวลขึ้นอย่างชัดเจน
คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่เธอ แต่เป็นไปเย่
“เย่เซียวเข้าประเทศมาแล้ว” ไปเย่รายงาน
คืนนี้ทั้งคืนไปเย่นิ่งนอนไม่หลับเลย เช้าวันที่สองเขายืนอยู่ บนพระราชวังไปยว มองธงชาติค่อยๆ ขึ้นสู่ยอดเสาพลางสูด อากาศบริสุทธิ์ ทว่าจนแล้วจนรอดความกลัดกลุ้มใจที่อัดอั้นใน อกก็ไม่บรรเทาลงเลย
เขาหยิบมือถือ ใช้นิ้วเลื่อนบนหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็โทรติด
“ฮัลโหล” เสียงพ่อบ้านดังมาจากปลายสาย
“ผมเอง”
“ครับท่าน”
“คุณชายน้อยตื่นหรือยัง?” “ตื่นแล้วครับ กำลังทานอาหารเช้าอยู่
ไปเย่งครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างไม่ตรงประเด็น นัก “เซี่ยซิงเฉินอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ เมื่อคืนคุณเซียไม่ได้กลับมา แล้วก็…” พ่อบ้าน ได้ยินเสียงลมหายใจจากปลายสายหนักหน่วงขึ้นอย่างฉับพลัน จึงสงบปากลงโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อหรือไม่
“แล้วก็อะไร?” ไป๋เฉิงถาม
“แล้วก็…เมื่อวานตอนไปเธอพูดว่า ช่วงนี้จะไม่ได้กลับมา สักระยะครับ”
ไป๋เย่นิ่งยืนกำโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น แสงตะวันยามรุ่งอรุณ ส่องกระทบร่างเขากลายเป็นไอหมอกเย็นชิ้นบางเบา นานที เดียวกว่าเขาจะปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้ แล้วจึงเค้นคำพูด สามค่าออกจากริมฝีปากอย่างแข็งทื่อ “ช่างเขาเถอะ!”
ไปเย่นิ่งจากไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ กลับประเทศมาอีกครั้ง เซี่ยซิงเฉินก็ยังคงไม่กลับมาที่ทำเนียบประธานาธิบดี
และอีกด้านหนึ่ง
สวี่เหยียนนับว่าฟื้นตัวได้ดีทีเดียว เซียซิงเฉินมาเยี่ยมเขา ในบางครั้ง วันนี้เขาทนอยู่โรงพยาบาลไม่ไหวแล้ว หลังจาก เดินได้ก็ออกจากโรงพยาบาลทันที
พ่อแม่ของสวี่เหยียนกลับคอนโดไปพร้อมกับเขา ตกกลาง คืนจึงโทรไปหาเซียซิงเฉินชวนเธอมากินข้าวเย็น พอเขาออก จากโรงพยาบาลได้ เซี่ยซิงเฉินก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจาก อก เธอจึงไม่ปฏิเสธคำเชิญของพวกเขา หลังเลิกงานเธอแวะไป ซุปเปอร์มาร์เกตซื้ออาหารสองสามอย่างติดไปด้วย
ตอนทานอาหารเย็นเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว
สวี่เหยียนใช้ไม้พยุงร่าง เขาจะไปส่งเธอถึงประตูเขต ที่พักให้ได้ พอออกจากลิฟต์เซี่ยซิงเฉินก็ห้ามเขาไว้ “คุณไม่ ต้องไปส่งฉันหรอก ตอนนี้ร่างกายคุณยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ถ้าเดิน มากกว่านี้อาจกระเทือนถึงแผลได้
สวี่เหยียนยืนพิงกำแพงมองเธอด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความห่วงหา
เขารู้ว่าจากกันครั้งนี้ บางทีเธออาจจะไม่ได้มาปรากฏตัว ต่อหน้าเขาอีกนานแสนนาน…
ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่เขาแลกมาด้วยการยอมบาด เจ็บแทนเธอ
“เอาล่ะ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว รีบกลับเข้าไปเถอะ” เซี่ยงเฉินได้แต่ทำเป็นไม่รับรู้ถึงความรู้สึกในแววตาเขาก่อนจะช่วย เขากดลิฟต์
จู่ๆ สวี่เหยียนก็ยื่นมือไปทั้งตัวเธอเข้ามา หลังจากตกตะลึง เธอก็ถูกชายหนุ่มรวบเข้าไปในอ้อมกอดหน้าตาเฉย ลมหายใจ ของชายหนุ่มรุกรานเข้ามา ใบหน้าเย็นชาของบางคนแวบผ่าน สมองเธอโดยไม่รู้ตัว หัวใจพลันบีบแน่น คิดจะผลักเขาออก โดยอัตโนมัติ
“สวี่เหยียน
คุณ…
“ร่างกายผมมีแผล คุณอย่าผลักผมนะ” สวี่เหยียนเอ่ย เตือนเสียงต่ำ
เซี่ยซิงเฉินถอนหายใจแล้วอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขากอด เธอ ได้แต่เอ่ยเสียงต่ำ “สวี่เหยียน ระหว่างเรา สำหรับฉันมันเป็น อดีตไปแล้ว”
เขายิ้มขมขื่น “ซิงเฉิน คุณโหดร้ายมาก”
ทั้งสองพิงกำแพงคุยกันเสียงเบา บนกำแพงมีแสงไฟสลัว ดวงหนึ่ง ลำแสงสาดส่องลงมาแผ่คลุมร่างทั้งสองเอาไว้ ทว่า กลับส่องไม่ถึงสีหน้าพวกเขาในยามนี้
มีเพียง…ร่างที่สวมกอดกันดูสนิทสนมและหวานชื่นยิ่งนัก ทั้งสองคนราวกับเป็นคู่รักกันก็ไม่ปาน
ทั้งสองไม่ได้สนใจเลยว่าไม่ไกลนักมีรถคันหนึ่งซ่อนอยู่ใน มุมมืดยามราตรีอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มในรถจ้องมองฉากนี้ที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยความอึมครึม แววตายิ่งทวีความเงียบเย็น และดุร้าย
เซียซิงเฉินออกจากบ้านสวี่เหยียนมาขึ้นรถเมล์ สองวัน ก่อนเธอหาบ้านได้แล้วจึงย้ายออกมาจากบ้านฉือเว่ยยัง
เธออาศัยอยู่ที่นั่นคนเดียวเลยยังปรับตัวไม่ได้ เหมือนจะ เคยชินกับบ้านหลังเก่าที่คึกคัก ตอนนี้ต้องนอนคนเดียวในที่ที่ มืดสนิท ในคืนที่เงียบสงัดก็มักจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจ ทว่าก็ ต้องทำตัวให้ชินกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
เธอแอบคิดพลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาสั่น ไหว ในสมองเริ่มสับสนไม่รู้ตัวว่าคิดอะไรอยู่ ยามค่ำคืนบน รถเมล์เงียบมาก รถโคลงเคลงไปไม่กี่ที เธอก็รู้สึกแค่ว่าหนังตา เริ่มหนัก จากนั้นจึงเคลิ้มหลับไปอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ