สวัสดีประธานาธิบดีที่รักของฉัน

ตอนที่ 166 แอบคบกัน (2)



ตอนที่ 166 แอบคบกัน (2)

“ควรขอบคุณงั้นเหรอ เงินยี่สิบล้านนั่นก็ถือเป็นการขอบคุณ แล้ว! เธอเอาเงินไปแล้วก็แปลว่าเธอขายร่างกายและศักดิ์ศรี ตัวเองทิ้งแล้ว ผู้หญิงที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเงิน แกยังจะอะไร กับเธออีก!”

ไปเย่นิ่งเดิมทีสีหน้าเรียบเฉย แต่พอได้ยินคำพูดนี้ก็ขมวด คิ้วทันที สีหน้าเรียบนิ่งมากกว่าเดิม เขาไม่ได้อธิบาย ทำแค่พูด เสียงเย็น “ท่านคงไม่ได้จะพูดแค่นี้สินะ พูดมาที่เดียวเถอะ ฟัง จบผมจะได้ไป”

“ท่าทางอะไรของแก!” ผู้เป็นบิดาเดือดพล่านมากกว่าเดิม

“ฉันจะบอกแกให้นะ เมื่อกี้ซุงถั่วเหยา โทรมาแล้ว ถ้าแกยัง

อยากช่วยคุณลุงแกออกมา งานหมั้นรอบนี้ก็ต้องกลายเป็นงาน

แต่งแทน! ฉันไม่สนว่าแกจะตกลงหรือไม่ตกลง แต่เรื่องนี้ต้อง

จัดการตามนี้ พรุ่งนี้เราจะไปพบกับครอบครัวอีกฝ่าย!

“ครับ ท่านพอใจก็พอ” ไป๋เฉิงตอบตกลงทันที บิดานิ่งอึ้ง ไปชั่วครู่ เขาปรับความคิดไม่ทัน แต่งงานกับหมั้นมันต่างกัน เมื่อก่อนเขายอมตกลงหมั้นไม่ใช่เรื่องเหนือคาดหมาย แต่คาด ไม่ถึงว่าเขาจะยอมตกลงแต่งงานได้ทันทีเช่นนี้

“ท่านยังมีธุระอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีผมขอตัวก่อน” เหมือน ไม่สังเกตเห็นความตกตะลึงบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ หรืออาจไม่ได้สนใจเลยสักนิด ไปเฉิงลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่

เดิมที่ผู้เป็นบิดาคิดคำด่าทอเขาไว้เต็มที่แล้ว แต่กลับถูก คำตอบตกลงของเขาตอกกลับคืนมา สุดท้ายจึงทำได้เพียงมอง เขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่สามารถเดาความคิดเขาได้ จึงโบกมือ ขึ้นสะบัดไล่อย่างรําคาญใจ “ไปๆๆ!”

ไป๋เฉิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ สีหน้าหม่น ลงมากกว่าเดิม

บิดายังยืนอยู่ตรงนั้น สายตามองแผ่นหลังของเขาจนเขา เดินออกไป ในใจยังคงสงสัยไม่หยุด เหมือนมีตรงไหนแปลก ไป! นิสัยบุตรชายคนยอมให้ชักจูงง่ายๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เมื่อไปเย่นิ่งเดินลงมาจากชั้นบนก็เพิ่งเลยสองทุ่ม

มารดารอด้วยความกังวลที่หน้าบันไดตลอดเวลา กำแพง เก็บเสียงของบ้านหลังนี้ได้ผลดีเหลือเกิน เพราะฉะนั้นสองพ่อ ลูกคุยอะไรกันข้างบนเธอฟังอย่างไรก็ได้ยินไม่ชัด ครั้นบุตร ชายเดินลงมาเธอจึงรุดหน้าไปหาทันที

ปราดเดียวก็เห็นรอยแผลยาวบนใบหน้าเขา เธอรู้สึกเจ็บ ปวดหัวใจ ต่อว่าไปพลางเรียกบุตรสาวไปพลาง “พ่อของลูกนี่ก็ จริงๆ เลย! เกษียณมาตั้งหลายปี นิสัยใจร้อนแบบนี้ยังไม่ เปลี่ยนอีก ยังทำกับลูกเหมือนตอนเป็นทหารในกองทัพ! เย รีบเอายามาหน่อย”
“แม่ แค่แผลเล็กๆ เอง” ไปเย่งยกแขนขึ้นเช็ดคราบเลือด บนหน้าทิ้ง แผลแค่นี้เทียบอะไรไม่ได้เลยกับแผลอื่นที่เขาและ เย่ได้รับมาตลอดหลายปี

ไปเย่ย่อมต้องคิดแบบนั้นเช่นกัน จึงไม่ขยับตัวแม้แต่ น้อย ทำเพียงแค่มองเขาอย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง

มารดาเอ่ย “ตอนนี้แม่แก่แล้ว ไม่ได้เหมือนตอนสาวๆ ตอนนั้นพ่อของลูกบาดเจ็บจนเดินไม่ไหว แม่ก็ไม่กลัว แต่ตอน นี้…พวกลูกมีเรื่องนิดหน่อยใจแม่ก็สงบไม่ได้สักที ลูกก็อย่าคิด เล็กคิดน้อยกับพ่อเลยนะ เขาก็แค่อยากช่วยลุงของลูก ยังไงลุง ของลูกก็ลำบากอยู่ในคุกตั้งหลายปีเพราะเขา ชีวิตถูกทำลาย ไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ”

มารดายิ่งพูดก็ยิ่งปวดใจ ไปเย่นิ่งมองไปเย่แวบหนึ่งก่อน อีกฝ่ายจะรู้ทันความคิด เกาะไหล่มารดาไว้ “แม่ อย่าคิดมาก เลยค่ะ กับข้าวอยู่บนโต๊ะหมดแล้ว เฉิง อยู่ทานข้าวเย็นด้วย กันเถอะ”

ไปเย่นิ่งดูเวลาก่อนจะส่ายหัว “ผมยังมีธุระ ไม่ทานแล้ว

กัน”

“ต่อให้มีธุระก็ต้องทานข้าว ไม่อย่างนั้นร่างกายจะทน ไหวได้ยังไง” ไป๋ซู่เย่ดึงตัวเขาไว้

ไปเย่นิ่งมองเธอแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบากว่าเดิม “ผมนัดชิง เฉินไว้”

ไป๋ซูเย่นิ่งอึ้งไปอึดใจ ทันใดนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำด้วยความเป็นห่วง “เวลาแบบนี้พวกเธอยังจะเจอกันอีกเหรอ รู้ไหมว่า อันตรายแค่ไหน”

เขาส่งสายตาเป็นเชิงให้เธอวางใจ “แม่ ผมไปก่อนนะ วัน หลังจะมาหาใหม่

ไปเยถึงกอดมารดา มารดาพูดว่า “ดูแลหลานชายฉันดีๆ ล่ะ ครั้งหน้าต้องพามาด้วยนะ

พอเขาจากไป มารดาจึงถามบุตรสาว “เมื่อกี้เขาบอกว่า นัดใครไว้เหรอ ไม่ยอมอยู่ทานข้าวกับแม่แต่กลับไปอยู่กับคน นั้นแทน”

ไปเย่เบ้ปาก “ก็แค่เพื่อนในแวดวงการเมืองล่ะค่ะ

ไปเย่งออกมาก็เห็นพวกเหลิงเฟยยืนรอด้วยสีหน้าจริงจัง เปิดประตูรถให้เขาขึ้นไป

สีหน้าเขาไม่ดีเท่าไร สั่งเพียงแค่ “ไปโรงแรม”

ไปเย่นิ่งพิงตัวกับเบาะรถ พลันนึกถึงคำพูดที่บิดาเอ่ยถึง เซี่ยซิงเฉินเมื่อครู่จนรู้สึกรำคาญใจ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ กลับเป็นเพราะความผิดพลาดของเขาจนทำให้เธอต้องเป็นแพะ รับบาปขนาดนี้

เขากำมือถือไว้ในมือ กดเปิดดูเวลาเห็นว่าเลยเวลาอาหาร เย็นไปนานแล้ว แต่ว่าไม่มีสายโทรเข้าจากเธอสักสายเช่นเดิมแม้แต่ข้อความสักฉบับก็ไม่มี เหมือนสองวันก่อนไม่มีผิด

นอกจากมารดาและซู่เย่สองคนนี้แล้วเขาแทบไม่เคยใกล้ ชิดกับผู้หญิงอื่น ยิ่งไม่ต้องคิดว่าเขาจะเข้าใจความคิดของผู้ หญิงเลย เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้หญิงทุกคน จะว่าง่ายอย่างเธอเช่นนี้ไหม ทำได้ถึงขั้นไม่ถามไถ่อะไรเลย

ไม่รู้ทำไมทั้งที่รู้ว่าเธอไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ตน เพิ่ม แต่ว่ายังคงรู้สึกไม่พอใจพอมองไปเห็นมือถือที่เงียบสนิท

ถ้าเป็นห่วงจริงๆ คิดถึงมากๆ สามารถอดกลั้นจนไม่ ถามไถ่อะไรเลยได้เหรอ

หลังหลุดจากภวังค์ เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนหยิบมือถือพิมพ์ ข้อความสั้นๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ อีกทั้งส่งไปให้เธอแล้ว

ข้อความที่ส่งก็คือ อยู่ไหม

เขาจดจ้องหน้าจอมือถือพลันขมวดคิ้วเป็นปม รู้สึกลนลาน นิดหน่อย นิ้วเรียวขยับ อยากจะยกเลิกข้อความ แต่สุดท้ายก็ ล้มเลิกความคิด ถ้ายกเลิกข้อความยิ่งจะดูผิดสังเกตมากกว่า เดิม

“เหลิ่งเฟย” เขาเรียก

“ครับท่าน” เหลิ่งเฟยนั่งอยู่เบาะหน้า ใส่หูฟังบลูทูธไว้ จึง ได้ยินเสียงลอดผ่านหูฟัง ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านมีอะไร ครับ”

“ไม่ต้องตกใจไป เรื่องเล็กน่ะ” ไปเย่นิ่งมองมือถือไม่เอ่ยอะไร เหลิงเฟยรอคอยเงียบๆ อยู่อีกด้าน รอไปสักพักก็ยังไม่ ได้ยินเสียงจากทางนี้จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านครับ?”

“ช่างเถอะ ไม่มีอะไร

ไปเย่นิ่งดูเวลาอีกครั้ง ข้อความถูกส่งไปหนึ่งนาทีแล้ว เธอ ไม่ตอบ

พอได้ยินเขาบอกว่าไม่มีอะไร เหลิงเฟยจึงลดความระแวง ลง ทว่านาทีครึ่งหลังจากนั้น เสียงของเขากลับดังขึ้นอีกครั้ง ผ่านหูฟังบลูทูธ “เหลิ่งเฟย”

“ครับ!” เขาตั้งสติให้มั่น

“…ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ว่าง่ายกันทุกคนเลยเหรอ” หลังจากที่ ลังเลและครุ่นคิดแล้วคิดอีก เขาถึงได้ถามออกมา ทั้งยังไม่สบ อารมณ์เล็กน้อย

“อะไรนะครับ” เหลิงเฟยคิดว่าตนคงฟังผิด เวลาสำคัญ

แบบนี้ท่านประธานาธิบดียังมีใจศึกษาผู้หญิงอีกเหรอ?

ไปเย่นิ่งได้ยินเสียงของเขาเช่นนั้นจึงทำตัวไม่ถูก เผลอ กดเสียงเข้มไปมากกว่าเดิม “ฉันบอกว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้เข้าใจ อะไรง่ายแบบนี้หมดใช่ไหม เลยไม่ถามไถ่เลยสักเรื่อง!”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ