บทที่ 342 ผ้าพันคอที่เหมือนกัน
แต่หลินเฉิงจี้ไม่มีเวลาอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงคนโง่ที่แบกรับทุกอย่างไว้แทนตัวเองแล้ว ถังซินก็เริ่มแสบขึ้นมาที่จมูก
และลิฟต์ก็มาถึงขั้นที่หมายโดยว่องไว
ขณะที่เธอเดินกลับห้อง ก็ถูกมือเขาหากันและยก ขึ้นมานาบที่แก้ม เมื่อมั่นใจว่าปกป้องความรู้สึกได้มาก พอแล้ว ถึงจะแตะการ์ดเพื่อเข้าห้องไป
เพียงเข้าไปในห้อง ถังซินก็กลิ่นของกับข้าวกับปลา หอมๆ
เธอคิดว่าหลินเฉิงจี้สั่งอาหารค่ำขึ้นมา เมื่อมาถึงที่ ห้องครัวเล็กๆ ก็พบว่าบนโต๊ะนั้นมีอาหารวางไว้อย่าง หลากหลาย ร่างสูงโปร่งนั้นกำลังวุ่นวายอยู่ที่หน้าเตา
กลิ่นที่คุ้นเคยกับอาหารที่คุ้นเคย มันทำให้ถังซินชะงัก นิ่งไปอึดใจ “หลินเฉิงจี๋ พวกนี้…
เขาทำทั้งหมดเลยหรือ
“เธอกลับมาแล้วหรือ” หลินเฉิงจี้หันกลับไปมองเธอ และยุ่งกับงานในมือต่อไป
“วันนี้เป็นวันข้ามปีของจีน พวกเธอมีธรรมเนียมทานข้าวตอนค่ำกันใช่ไหม ผมกลัวว่าจะทานอาหารของ โรงแรมจนเบื่อแล้ว จึงให้พวกเขาส่งอาหารสดขึ้นมา และลงมือทำเอง ไม่รู้ว่าจะถูกปากเธอไหมนะ”
ถังซินเริ่มร้อนที่ดวงตา แต่เธอก็แกล้งทำเป็นพูดด้วย ท่าทีสบายๆ “ฉันไม่รู้เลยว่านายทำอาหารเองได้ด้วย ว้าว หอมมากเลยนะ จะต้องอร่อยแน่ๆ ฉันขอชิมหน่อย แล้วกัน”
กล่าวจบก็หยิบตะเกียบขึ้นมา
เธอลองชิมผัดมะเขือม่วง เมื่อเห็นหลินเฉิงจื่ถือหม้อ น้ำซุปออกมา ก็ยกนิ้วโป้งให้กับเขา “อร่อยจนต้องยกนิ้ว ให้เลย ดูเหมือนว่าจะเลือกนายว่าหัวหน้าพ่อครัวได้เลย นะ”
เมื่อเห็นว่าเธอชอบ หลินเฉิงจี่ก็หลุดยิ้มบางๆ ก่อนจะ ส่งถ้วยน้ำซุปให้กับเธอ
“ทานซุปก่อนทานข้าวนะ”
“ดีเลย”
นี่เป็นซุปครีมเห็ด ตัวน้า ปนั้นมีสีขาวขุ่น ให้ความรู้สึก สดชื่น ทั้งยังได้กลิ่นของเห็ดที่สดใหม่อีกด้วย
ถังซินดื่มไปเพียงสองอึกก็ชะงักนิ่งไป
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ดื่มน้ำซุปนี้ เพราะรสชาตินั้นคุ้นเคยมาก ราวกับเธอเคยดื่มมาก่อน
ถังซินมองถ้วยซ้ำซุปในมือ ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่ ไปRBครั้งนั้น นึกไปถึงน้ำซุปที่ได้ทานที่ร้านอาหารของ โรงแรมนั้น หันกลับมามองหลินเฉิงจื้อีกครั้ง และอดที่ เอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “นายไปฝึกทำอาหารที่ไหนมา
หลินเฉิงจี๋กล่าว “เรียนกับพ่อครัวที่คฤหาสน์เมื่อไม่กี่ปี ที่ผ่านมา ทำไม ไม่อร่อยหรือ
ถังซินส่ายหน้า เธอได้รับรู้อะไรแล้ว ขมเม้มริมฝีปาก อยู่เพียงครู่ “ตอนที่ฉันไปเที่ยวเล่นที่RB น้ำซุปของห้อง อาหารที่ทานตอนนั้น… ซุปนั้นนายเป็นคนทำหรือ
“อือ ผมเอง” หลินเฉิงจี๋ยอมรับมัน และไม่รู้สึกว่ามัน เป็นเรื่องที่สำคัญอะไร “ผมชอบเข้าครัว เมื่อเห็นพวก เธอไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร ก็เลยไปพูดกับพ่อ ครัวที่อยู่ข้างหลัง”
ถังซินยังถือชามน้ำซุปนั้นเอาไว้ แต่น้ำตากลับไหล ออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้
เธอก็สงสัย ทำไมถึงมีกลิ่นอาหารที่ห้องครัวกัน เป็น เขาที่ทำทั้งนั้น เขาที่ไม่เคยไปไหน และคอยดูแลตัวเธอ จากข้างหลังมาตลอด
เมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ หลินเฉิงจี๋ก็โยนผ้าเช็ดครัว ลงอย่างรีบร้อน และใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้กับเธอ ก่อน จะเอ่ยอย่างตื่นตระหนก “เฮ้ ร้องทำไมกัน มันไม่อร่อยหรือ”
แต่ถังซินกลับร้องไห้อย่างหนัก พูดด้วยน้ำเสียงสะอึก สะอื้น “หลินเฉิงจี๋ นายอย่าดีกับฉันนักเลย… นายทําเพื่อ ตัวเองก็พอแล้วโอเคไหม…”
เธอเป็นหนี้เขาตั้งมากมาย ทำไมถึงไม่ขอร้องกันบ้าง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเฉิงจี่ก็รู้สึกโล่งอก
เขาหัวเราะและปลอบโยนเธอ “เธอทําเพื่อช่วยชีวิต ผม ออกไปข้างนอกทุกวันจนเหนื่อย ผมเองก็ไม่ได้ช่วย อะไรมาก มีเพียงทำอาหารให้เธอเท่านั้น ดูแลเธอให้ดี นั้นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เธอชอบดื่มน้ำซุป วันหลัง ผมก็จะทำให้ทุกวันเลย”
“ไม่เอา ฉันไม่เอา” ถังซินส่ายหน้าอย่างเอาเป็น เอาตาย “ฉันอยากให้นายได้ใช้ชีวิตที่ดี มีชีวิตเป็น ของตัวเอง ฉันที่ทั้งโง่ทั้งซื่อ ไม่มีค่าพอให้นายมาชอบ หรอก…”
หลินเฉิงจี๋เช็ดน้ำตาให้กับเธอ และกล่าวด้วยน้ำเสียง อบอุ่น “การชอบใครสักคน ไม่มีการคิดมูลค่าหรอกนะ เพียงแค่สิ่งที่ผมทำทั้งหมดมันทำให้เธอมีความสุข ผมก็ พอใจมากแล้ว”
เขาหวังว่าเธอจะโง่และซื่อเพื่อกักขังเขาเอาไว้ตลอดไป
ถังซินเช็ดน้ำตา ก่อนจะเอ่ยเตือนเขาด้วยดวงตาแดง ก๋า “นายจะมีชีวิตอีกนาน จะแก่จนถึงร้อยปี ฉันจะคืน หนี้ให้นายทั้งหมด ฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร นาย ได้ยินไหม
“ได้ยินแล้ว” หลินเฉิงจี้หัวเราะ มองเธอด้วยสายตาที่ โอนอ่อน “เช่นนั้นผมจะให้เธอเป็นหนี้ผมอีกมากๆ และ อยู่ใช้หนี้ผมไปทั้งชีวิตเลย”
“ต่อให้ฉันจะเจ็ดแปดสิบแล้ว ก็ยังจะให้ฉันใช้หนี้บุญ คุณต่ออย่างนั้นหรือ
“อือ ใช่”
“หลินเฉิงจี๋ นายเกินไปแล้วนะ ไม่มีเลือดหรืออย่างไร กัน”
“มนุษย์ทุกคนมีเลือดนะ ผมจะไม่มีได้อย่างไรกัน หลินเฉิงจี่กล่าวตามความเป็นจริง
ถังซินที่โดนเขากวนแบบนี้ ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ อารมณ์จึงดีขึ้นมาก
เธอกลอกตามองบนใส่เขา ก่อนจะยกน้ำซุปขึ้นมาดื่ม “ไม่พูดกับนายแล้ว ฉันจะดื่มน้ำซุป
“ข้าวไหม เดี๋ยวผมเติมให้
“ไม่กิน ข้าวแคลอรีสูง ซุปหม้อนี้ก็พอแล้ว”
23
สุดท้ายเพราะอาหารที่หลินเฉิงจี่ทำนั้นอร่อยมาก ไม่ เพียงน้ำซุป แม้แต่ข้าวถังซินก็ทานจนหมดหม้อ สุดท้าย ก็ลุกจากโซฟาไม่ขึ้น
ถังซินลูบท้องไปมา ก่อนจะกล่าวอย่างเสียใจ “หัวหน้า พ่อครัวคะ ครั้งหน้าอย่าได้ทำอาหารอีกนะคะ อร่อยเกิน ไปแล้ว ฉันหยุดปากไม่ได้เลย หากยังกินอย่างนี้ต่อไป ฉันต้องอ้วนจนเป็นลูกบอลแน่ๆ”
หลินเฉิงจี๋เทชาร้อนให้เธอ ก่อนจะมองสำรวจเธอ ตั้งแต่หัวจรดหาง “เธอผอมขนาดนี้ยังไม่ถึง45เลยด้วย ซ้ำกระมัง หากจะทำให้เธอกลายเป็นลูกบอล คงต้องใช้ เวลาไม่น้อยเลย
“ร้ายกาจมาก ขี้โกงด้วย” ถังซินจ้องเขาตาเขม็ง
เมื่อเติมท้องจนเต็มแล้ว เธอก็ลุกขึ้นมาจากโซฟา “นายไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว ไม่คิดจะออกไป เดินเล่นหน่อยหรือ
“เธอให้ผมออกไปได้หรือ
“เฮ้ อย่าพูดเหมือนฉันขังคุณไว้สิ” ถังซินพูดไม่ออก บอกไม่ถูก “อุณหภูมิข้างนอกมันต่ำมาก แต่วันนี้เป็นวัน ส่งท้ายปีเก่า ฉันเลยอยากพานายไปเดินเล่น สนุกสนาน กับบรรยากาศกันสักหน่อย”
ดวงตาของหลินเฉิงจีโค้งคว่ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วย ความขบขัน “ครับ ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”
“สวมแจ็คเก็ตลงมานะ” ”
ถังซินกำชับเขาอีกครั้ง และกลับเข้าห้องไปเปลี่ยน เสื้อผ้าด้วยท่าทีฟีดฟัด
เสื้อแจ็คเก็ตสีดำตัวหนาสวมทับมาบนร่าง เธอปิดบัง ร่างที่ผอมเพรียวไว้จนดูพองขึ้นมา
เพียงไม่นาน หลินเฉิงจี่ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ ออกมา
เสื้อแจ็คเก็ตทำให้เห็นร่างโปร่งของชายหนุ่มดวงตาที่ แสนอบอุ่น และบรรยากาศสูงส่งที่ปกคุลมอยู่รอบร่าง
ถังซินมองเขา และหันกลับมามองตัวเอง ใบหน้าเผย ให้เห็นถึงความเสียใจ “ฉันผอมจริงๆ นะ พอใส่เสื้อแจ็ค เก็ตแล้วมันดูเป็นคุณยาย แต่ทำไมนายใส่แล้วดูหล่อขึ้น ล่ะ”
หลินเฉิงจี่ยิ้มละมุน ก่อนจะจ้องเธอเขม็ง “จะเป็นอย่าง นั้นได้อย่างไร เธอยังสวยเหมือนเดิม พูดจริงนะ ผมไม่ อยากออกไปไหนเลย กลัวคนเห็นความสวยของคุณ”
ถังซินหน้าแดง ก่อนจะกระแอมไอเล็กน้อย “ทำไมถึง ไม่พันผ้าพันคอกัน ไม่เย็นคอหรือ”
“ผ้าพันคอ…”
“นายรอก่อน ฉันจะไปเอามาให้นะ”
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ถังซินก็นึกอยากเดินเพื่อ ย่อยอาหาร เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีผ้าพันคอ ก็รีบกลับไปที่ ห้องเพื่อนำมาให้เขา หลินเฉิงจี่ที่ตามอยู่ข้างหลังจะเอ่ย ห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว
ห้องนอนของหลินเฉิงจี่นั้นใหญ่เท่ากับห้องของเธอ และสะอาดมาก
ถังซินไม่เห็นกระเป๋าเดินของเขาตั้งแต่เข้าห้องมา คาดว่าเขาน่าจะเก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า พอเปิดประตูตู้ ออก ก็เห็นเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเสื้อคลุมตัวใหญ่อีก สองสามตัวเท่านั้น
เสื้อผ้าเขาน้อยขนาดนี้เลยหรือ
ถังซินบ่นพึมพำ เลื่อนเสื้อผ้าของเขาไปมา และเผอิญ หันไปเจอผ้าพันคอสีเทาในเสื้อคลุมสีดำ จึงเลิกเสื้อนั้น ขึ้นอย่างระมัดระวัง บนชั้นนั้น ทั้งร่างต่างนิ่งชะงัก
ผ้าพันคอผืนนี้… คุ้นตามาก
เธอยื่นมือไปสัมผัส พลิกไปดูป้ายเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ข้าง ในผ้าพันคอ หลังจากนั้นดวงตาคู่นั้นก็เบิกโพลง
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ