ลูกเขยมังกร

บทที่ 915ร่วมยินดี



บทที่ 915ร่วมยินดี

เงินเฟิงส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธ “ไม่มีอะไร

สาเหตุที่เขาไม่ได้พูดออกมานั้นเป็นเพราะว่าจู่ๆ เขาก็มีความ รู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ถ้าเกิดการจุดประเด็นนี้ขึ้นมาแล้ว มันจะ กลายเป็นดั่งการทอดสะพานยาว และมีความเป็นไปได้จะเกิด การแตกหักตั้งแต่ส่วนฐานเลยก็ว่าได้ ซึ่งเบื้องหลังอำนาจที่ยังไม่ ทราบที่มานั้น เฉินเฟิงเองก็เชื่อมั่นได้เลยว่าหลังจากที่พวกเขาได้ ประสบผลลุล่วงตามที่ต้องการแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา จะ กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลย

ส่วนไปชิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จึงเอาแกนแอปเปิลที่ ตัวเองกินหมดแล้วโยนออกไป ก่อนจะหันมาพูดต่อ : ” ตระกูล โจวเชิญให้พวกเราไปที่นั่น เพราะว่าช่วงนี้ตระกูลของพวกเขา กำลังมีข่าวดี ดังนั้นการที่พวกเราไปร่วมแสดงความยินดีจะไม่มี ใครสงสัยแน่นอน

เฉินเฟิงถามกลับ : “ที่คุณมาแจ้งเรื่องนี้กับผม เพราะต้องการ ให้ผมไปพร้อมกับพวกคุณงั้นหรอ ? ”

ไปซึ่งพยักหน้า “คุณพ่อตั้งใจให้ผมมาหาคุณชายเฉิน เขา บอกว่าเรื่องนี้คุณชายเฉินเป็นคนริเริ่มขึ้นมา ดังนั้นหากให้อีก ฝ่ายได้พบกับคุณชายเฉิน พวกเขาคงน่าจะมีความเชื่อมั่นมาก ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ยังบอกอีกว่าหากว่าคุณชายเฉินไม่ ยินยอมที่จะเปิดเผยตัวตน อย่างนั้นก็ไม่เป็นอะไร พวกเราไปกันเองก็เพียงพอแล้ว”

เงินเฟิงคิดไตร่ตรองพร้อมตอบกลับ : “ในเมื่อพวกคุณอยาก ให้ผมไปด้วย ก็แสดงว่าคงคิดไว้แล้วว่าการมีผมไปด้วยน่าจะดี กว่าสินะ”

“ความหมายของคุณพ่อเป็นอย่างนั้นจริงครับ แต่ทุกอย่างก็ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณชายเฉิน”

เฉินเฟิงหัวเราะพลางตอบกลับ “คุณอุตส่าห์มาเชิญผมถึงที่ นี่แล้ว ผมก็ควรจะไว้หน้าพวกคุณหน่อย ไปก็ได้ ถึงแม้ว่าผมจะ ไม่รู้ว่าหน้าของผมจะใหญ่ได้ถึงขนาดไหนเชียว

ไปซิงเองก็หัวเราะตามออกมา: “คุณชายเฉิน ไม่ใช่ฉันอวดดี แทนคุณ สิ่งที่คุณได้ทำในยันเจียงเมื่อหลายปีมานี้ ไม่มี ครอบครัวไหนในทะเลทรายแห่งนี้ไม่รู้หรอกนะครับ ถ้าหากว่า พวกเขาเห็นคุณไปที่นั่นก็คงจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นได้เพียงแค่หัวเราะเท่านั้น

เฉินเฟิงได้ยินมาว่างานเลี้ยงฉลองของตระกูลโจวนั้นคือการที่ พวกเขาได้มีหลานชายที่เป็นสมาชิกคนใหม่เพิ่มเข้ามา แต่ถึง อย่างนั้น ในเมื่อต้องเข้าบ้านคนอื่น อย่างนั้นของขวัญจึงเป็นสิ่งที่ ขาดไม่ได้

“เสี่ยวเย่ คุณว่างานฉลองในการมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา พวกเราควรจะมอบของอะไรให้ดี? ”
เฉินเฟิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองดูเสี่ยวเยี่กำลังทำความสะอาด กล่าวถามขึ้นมาอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ส่วนตัวเขาเพียงแค่ ต้องการถามความคิดเห็นเพิ่มเติมเท่านั้น

เสี่ยวเที่ได้ยินคำถามของเขา เธอก็วางไม้กวาดที่อยู่ในมือลง ก่อนจะครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนคำถามนี้จะไม่ใช่เรื่อง ง่ายสําหรับตัวเธอเลย

เธอได้แต่เกาหัวพร้อมตอบ “ให้หยกอันหนึ่งมั้งค่ะ ตอนที่ น้องสาวฉันคลอดออกมาก็มีคนมอบหยก ให้อันหนึ่ง จนฉันอยาก จะได้มันมากๆ แต่คุณแม่บอกว่านั่นเป็นของน้องสาว แม้แต่จะ แตะยังไม่ได้เลย เพราะกลัวว่าฉันจะทำมันเสีย

ท่าทางของเสี่ยวเย่นั้นดูเหมือนจะอยากได้มากๆ แม้กระทั่งใน ตอนที่เธอพูดออกมาแววตาก็แฝงไปด้วยความขุ่นมัว

เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงเผลอพูดออกมา “อย่างนั้นรอถึง

วันเกิดคุณแล้ว ผมจะให้อันหนึ่งแล้วกัน

แต่เสี่ยวเข่กลับสะบัดมือปฏิเสธ “ไม่เอาค่ะ ฉันไม่สามารถ รับของขวัญจากคนอื่นตามอำเภอใจได้

“คุณอยากได้ไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงไม่เอาล่ะ? ” เฉินเฟิงถาม กลับด้วยความแปลกใจ

เสี่ยวเย่จึงตอบกลับอย่างจริงจังว่า “คุณชายเฉินมอบของ ขวัญให้ฉันแล้ว อย่างนั้นฉันเองก็ต้องมอบของขวัญให้กับคุณ ชายเฉินด้วย แต่ว่าฉันยากจนขนาดนี้ ของขวัญที่ฉันจะมอบให้ได้ คงจะดีไม่เท่ากับสิ่งที่คุณชายเฉินเคยมอบให้ฉันหรอกนะคะ
เงินเฟิงหัวเราะขึ้นมา “ผมไม่ได้จะให้คุณมอบของขวัญให้ ผมหรอกนะ คุณวางใจได้เลย

แต่เสี้ยวเข่กลับยิ่งไม่มีความสุข เธอส่ายหน้าพลางตอบกลับ อีกครั้ง ให้ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ การมอบของขวัญ ระหว่างเพื่อนนั้นถือเป็นเรื่องที่ควรแลกเปลี่ยนกัน แบบนี้ถึงจะ ทำให้ทั้งสองมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ไม่อย่างนั้นมิตรภาพระหว่าง ทั้งสองก็ไม่อาจจะอยู่ยาวนาน คุณแม่เคยบอกฉันเอาไว้แบบนี้ค่ะ

เสี่ยวเยต้องไปยังเฉินเฟิงอย่างจริงจัง ในขณะที่เฉินเฟิงเองก็รู้ ดีว่าผู้หญิงคนนี้หากเธอดื้อรั้นขึ้นมา ต่อให้เอาวัวมาลากก็ลาก เธอกลับมาไม่ได้

“งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ของที่ผมมอบให้คุณจะเป็นของที่ราคา ไม่แพงมาก จากนั้น ในตอนที่คุณจะมอบของขวัญให้ผมก็เอา สิ่งของในราคาที่ไม่ต่างกันแลกคืนมาก็พอ แบบนี้คุณจะได้ไม่ ต้องกังวลใจอีก คุณว่ายังไง ”

เสี่ยวเย่ที่ได้ยินจึงไตร่ตรองอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่กว่าจะพูด

ออกมาอย่างช้าๆ : “ทำแบบนี้เหมือนจะได้นะคะ”

เฉินเฟิงยิ้มออกมาพลันมองไปยังหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาคนนี้ เพราะเขานั้นสามารถที่จะซื้อหยกดีๆ อันหนึ่งมาให้เธอ จากนั้น ค่อยบอกกับเสี่ยวเย่ว่าตัวเองซื้อมาจากข้างทางแทน เพราะ อย่างไรเสียเสี่ยวเย่ก็ดูไม่ออกอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ อีกสักครู่คุณต้องลงเขาไปซื้อหยกกับผม เพราะผมอยากจะมอบของขวัญที่มีความหมายให้กับตระกูล โจว ”

ในตอนนั้น ณ ตระกูลโจว

ในห้องหนังสือขนาดใหญ่ มีชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะ ทำงานซึ่งก็คือผู้นำครอบครัวตระกูลโจวอย่างโจวสุน เขาเป็น ชายอายุราวๆ สี่สิบปี มีใบหน้าที่แน่วแน่ทรงพลัง ทรงคิ้วหนา ยาว ดวงตาเรียวคม ดูสง่าผ่าเผยแม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา

ขณะที่ทั้งทางด้านซ้ายและขวาทั้งสองด้านมีคนกำลังนั่งอยู่ ด้วย ซึ่งพวกเขาที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนเป็นสมาชิกที่มีอำนาจสูงสุดใน ตระกูลโจว

โจวสุนพูดขึ้น “พวกคุณคิดว่าการต่อกรกับหมาป่าทะเล ทรายครั้งนี้มีโอกาสมากขนาดไหน ”

ชายคนหนึ่งในนั้นที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโจวสุนเอ่ยปาก ตอบ: “ในเมื่อเป็นตระกูลไปที่เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผม คิดว่าน่าจะลองดูสักตั้ง ต่อให้แพ้อย่างน้อยพวกเราก็สามารถ ลอกหนังของหมาป่าทะเลทรายออกมาได้ชั้นหนึ่ง ”

แต่กลับมีคนกล่าวแย้งในทันที : “โจวฟ่าง คุณพูดอย่างนี้ก็

ไม่ถูก

โจวฟ่างหันไปเหลียวชายชราสูงอายุที่นั่งอยู่ตรงข้าม พร้อม ถามกลับอย่างไม่เกรงใจ : “มีอะไรไม่ถูกงั้นหรอครับ ในเมื่อ หมาป่าทะเลทรายก็เป็นศัตรูของพวกเรามาโดยตลอด การได้แว้งกัดพวกเขากลับสักครั้งก็นับเป็นความฝันที่ที่ทำให้ผม สามารถยิ้มตื่นขึ้นมาได้ ”

น้ำเสียงของชายคนนั้นดูน่าเกรงขามอย่างเห็นได้ชัด เขาตอบ กลับอย่างเคร่งขรึม : “ถ้าหากคุณมีความคิดแบบนี้ ไม่ช้าไม่ นานคุณจะทําลายตระกูลโจวของเรา ”

และชายอีกคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งดูอายุน้อยกว่าโจวฟางก็พูดขึ้นมา – “ลุงสาม ผมคิดว่าที่พี่พูดนั้นก็ไม่ผิดนะครับ หรือจะบอกว่า ลุงสามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนไปแล้ว ? ”

ลุงสามอุทานด้วยความไม่พอใจออกมา “ฉันไม่ลืมอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกัน ”

“ทำไมจะไม่เหมือนกันล่ะครับ ขอเพียงพวกเรายังจำความ แค้นนั้นได้ฝังใจ การที่จะให้หมาป่าทะเลทรายกระอักเลือดออก มาก็ย่อมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะเดิมทีตระกูลโจว ของเราควรจะหมดสิ้นไปแล้ว ” โจวฟ่างตะเบ็งเสียงดัง

แต่เพราะลุงสามคงจะคิดว่าโจวฟ่างกำลังทำตัวไร้เหตุผล ดัง นั้นจึงทำเป็นไม่สนใจเขาเลย พลางหันไปพูดกับโจวสุน : “ผู้นำ ถึงแม้ว่าจะร่วมมือกับตระกูลไปในการต่อกรกับหมาป่าทะเล ทราย แต่ผมคิดว่ายังไงเสียพวกเราก็จำเป็นต้องคิดวางแผนให้ รอบคอบเสียก่อน ไม่ควรที่จะนุ่มบ่าม สามปีมานี้กว่าพวกเราจะ ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะให้ทุกอย่างสูญ เปล่าไม่ได้”

โจวสุนหันไปมองโจวฟ่าง ก่อนจะพูดกับลุงสามอย่างยิ่งสงบ

“ลุงสาม ผมเข้าใจความหมายของคุณดี

โจวฟ่างที่ได้ยินก็รีบร้อนพูดขัดขึ้นมา “ผู้นำ นี่ถือเป็น โอกาสครั้งใหญ่เลยทีเดียว ถ้าหากให้เพิ่งแค่ตระกูลโจวของเรา เอง แบบนั้นเมื่อไหร่พวกเราถึงจะสามารถแก้แค้นได้ล่ะ นี่ผู้นำลืม คนในตระกูลของเราที่ตายไปเมื่อสามปีก่อนแล้วงั้นหรอ ? ”

ลุงสามกระแทกเสียงขึ้นมา “โจวฟ่างระวังฐานะของตัวเอง

ด้วย คุณกล้าพูดแบบนี้กับผู้นำได้อย่างไร ”

โจวฟ่างเหลียวมองลุงสามอย่างไม่พอใจ จนความโมโหแทบ จะทะลุออกมาจากดวงตาคู่นั้น

และในตอนนั้นเอง โจวสุนก็หันไปมองยังหญิงสาวที่นั่งตรงริม สุดซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลย : “จ่อเอ๋อ เธอมีความคิดอะไรบ้าง ?

ทางด้านหญิงสาวที่มีชื่อว่าจื่อเอื้อนั้นเธอเป็นคนที่อายุน้อย ที่สุดที่นั่งอยู่ในนี้ ซึ่งอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ เธอมีดวงตาที่สุกใสฟัน ที่ขาวสวย สง่างามและชวนมอง หากดูเพียงแค่ภายนอกเธอนับ ว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่การที่เธอสามารถมานั่งอยู่ ตรงนี้ได้ คิดแล้วคงจะไม่ใช่แค่เพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก แน่นอน

เธอขยับปากพูดอย่างช้าๆ : “ที่คุณสามพูดก็มีเหตุผลค่ะ ในเมื่อต้องการที่จะแก้แค้น อย่างนั้นพวกเราก็ควรจะมีการเตรี ยมตัวที่ดี อีกอย่างที่จื่อเอ๋อคิดนั้นก็คือ ในเมื่อเราจะลงมือแล้ว อย่างนั้นไม่ควรจะทำแค่กัดเพียงนิดเดียวเท่านั้น ดีที่สุดคือฆ่า พวกเขาซะ นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการทำมากที่สุด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ