ลูกเขยมังกร

บทที่ 863 กระบี่สุนเทียน



บทที่ 863 กระบี่สุนเทียน

จากนั้นก็ล้มลงไปหาเงินเฟิงอย่างกะทันหัน

ตามหลักแล้ว เฉินเฟิงยังไงก็จะต้องพยุงเซียงหลันไว้ แต่ว่าเขา ไม่ได้ทําเช่นนั้น ได้แต่มองไปยังยังทิศทางที่เซียงหลันล้มลงไป แม้แต่ก่อนที่เธอเกือบจะล้มมาชนตัวเองนั้น ก็ยังหลบหลีกให้พ้น ทางไป

ฉะนั้นเซียงหลันไม่ทันระวังจึงล้มลงไปกับพื้น เธอเพิ่งจะ หลับตาทั้งสองลงเมื่อครู่ คิดว่าเงินเฟิงไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอ ล้มลงไปได้

แต่ว่าตอนนี้กลับล้มลงไปกับพื้น จึงรู้สึกตกตะลึงบ้างเล็กน้อย เสียงของเฉินเฟิงก็ดังขึ้น

“ตอนนี้ร่างกายของแกอ่อนแอมากจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะ ต้องเป็นลมล้มพับแบบนี้ ส่วนที่แกทำเช่นนี้ ฉันก็คิดว่าแกคิด แผนการอะไรกับฉัน”

เซียงหลันคิดในใจว่า “ต่อให้ฉันคิดแผนการอะไรกับแก แต่ว่า แกก็ไม่น่าจะใจดำขนาดปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องล้มลงไปกับ พื้นต่อหน้าต่อตาเลยนี่นา”

ถึงแม้ในใจคิดเช่นนั้น แต่ตัวเองก็ต้องคลานขึ้นมาด้วยความ อัดอั้นตันใจบ้างเล็กน้อย

มองไปยังเฉินเฟิง แต่ก็ยังคงยิ้มหน้าระรื่นแล้วพูดว่า “ท่านเชิงคะ ทำไมถึงได้ไร้เยื่อใยเช่นนี้ล่ะคะ”

เฉินเฟิงพูดว่า “นิสัยอย่างแกนะ เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วตลอด เวลามากเกินไป คนซื่อๆอย่างฉันก็คงตามไม่ทัน กลัวตัวเองถูก แกหลอกเอาสิ

เชียงหลันยืนขึ้นมา แล้วปัดเศษใบหญ้าที่ติดมาบนตัวออกไป พูดว่า “ท่านเฝิง ท่านก็อย่ามาล้อเล่นกับเซียงหลันสิ เซียงหลัน เคยพูดโกหกหลอกลวงท่านเมื่อไหร่บ้างล่ะ

ส่วนเฉินเฟิงก็มาคิดดู เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ดูเหมือน ว่าเซียงหลันก็ไม่เคยพูดอะไรที่โกหกเขาจริงๆ แต่ว่ายังไงก็ต้อง กันไว้ดีกว่าแก้

จากนั้นก็หยิบก้อนหินชิ้นนั้นออกมาจากกระเป๋า แล้วถามเซียง หลันว่า “แล้วนั่นมันเป็นเรื่องอะไรอีกกันแน่?

เซียงหลันยังคงยิ้ม ดวงตาที่กลมโตคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมาสอง รอบแล้วพูดว่า “แน่นอนก็ต้องเป็นของขวัญที่ให้กับท่านเฝิงไง ถือว่าเป็นของขวัญที่ชดใช้ให้กับท่าน จากคนที่เคยจับตัวท่านผิด ไปไงล่ะ”

เฉินเฟิงก็ย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา เขาพูดว่า “ในเมื่อเป็นของ ขวัญที่ชดใช้ให้ฉัน งั้นฉันก็คงต้องรับมันไว้แล้วสิ”

สีหน้าของเซียงหลันสะดุดอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น มาว่า “ท่านเฝิงพูดอะไรเช่นนั้นล่ะ ในเมื่อบอกว่าให้ท่านแล้ว ถ้า ท่านไม่รับไว้ก็จะทำให้เซียงหลันรู้สึกทำตัวลำบากนะสิ ของชิ้นนี้ ถึงจะไม่ใช่เป็นของวิเศษอะไร แต่อย่างน้อยก็มีราคาบ้างนะ
เฉินเฟิงก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่ แต่มักจะมี ความรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่น่าจะธรรมดาเช่นนี้

แต่ว่าเชียงหลันก็พูดอย่างนี้แล้ว เฉินเฟิงจึงเอาของชิ้นนั้นกลับ เข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม

“ในเมื่อเป็นของของฉัน แกก็อย่าคิดเอาคืนไปก็แล้วกัน

เชียงหลันยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านคงไม่ใช่เกรงกลัวกหยุนอะไร นั่นนะ”

เฉินเพิ่งรู้ว่าคำพูดเธอแฝงหมายความว่าอย่างไร แต่ว่าก็ไม่ สนใจเธอ เพียงแต่ถามถึงเด็กหนุ่มเมื่อครู่ว่า “คนที่จากไปสอง คนนั้น แกรู้จักเหรอ?”

เซียงหลันตอบว่า “คนของตระกูลเซียน

เฉินเฟิงถามว่า “อะไรคือคนของตระกูลเชียนเหรอ?”

มองดูท่าทีของเฉินเฟิงก็ไม่เหมือนกำลังหยอกล้อเธออยู่ เชียง หลันจึงถามอย่างประหลาดใจว่า “ท่านเฝิงไม่เคยได้ยินตระกูล เชียนเลยเหรอ?”

เฉินเฟิงถามอย่างอยากรู้ว่า “พวกเขามีชื่อเสียงมากเลยเห รอ?”

เฉินเฟิงไม่เคยได้ยินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากว่าเมื่อสองปี ก่อนเขาสามารถบรรลุถึงระดับชั้นเหมือนเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมต้อง รู้จักตระกูลเซียนอย่างแน่นอน ตอนนั้นผู้กล้าทั้ง18ของตระกูล เชียน เพียบพร้อมด้วยคนมีความรู้ความสามารถ ยอดฝีมือก็มีอยู่ทุกแห่งหน

แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล หากไม่รู้จัก18คุณชายของตระ กูลเซียนนี้แล้ว ย่อมต้องถูกตราหน้าว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ออกมาจากหลังเขาไหน แต่ว่าเพียงแค่ภายในสองปีเท่านั้น 18คุณชายของตระกูลเซียนนั้นก็ทยอยถูกคนล้มลงไปได้ บางคน ถึงกับถูกทำลายวรยุทธ์จนหมดสิ้น จนในที่สุดก็เริ่มมีแต่คนคอย เหยียบย่ำซ้ำเติม

ในช่วงเวลานั้น ตระกูลเซียนก็เกรงกลัวถูกคนปองร้าย จึงได้ ตัดสินใจห้ามไม่ให้สมาชิกของตระกูลเขียนไปมาหาสู่กับวงการ ศิลปะการต่อสู้อีกต่อไป ชื่อเสียงของพวกเขาจึงค่อยๆจางหายไป แต่ว่าสำหรับพื้นที่ทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้แล้ว อิทธิพลของตระ กูลเชียนยังคงเป็นที่น่าเกรงขามเช่นเดิมจนถึงทุกวันนี้

เซียงหลันถามอย่างประหลาดใจว่า “กระบี่สั้นเทียนของตระ กูลเซียน หรือว่าท่านก็ยังไม่เคยได้ยินเลยเหรอ?”

เฉินเฟิงยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม ชื่อนี้ก็รู้สึกคุ้นหูบ้างจริงๆ แต่ อาจจะเป็นเพียงเคยได้ยิน คนเขาพูดถึงบางครั้งเท่านั้น

เซียงหลันยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เพียงแต่ว่าต่อหน้าเฉินเฟิง นั้น เธอไม่กล้าจะละลาบละล้วง พูดได้แต่เพียงว่า “หากพูดขึ้นมา แล้ว ตระกูลเซียนนี้นับได้ว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่เก่าแก่ที่สุดใน ทะเลทรายแห่งนี้ เก่าแก่เสียจนไม่มีใครรู้เลยว่าเขามาถึงที่ทะเล ทรายแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผู้คนทุกคนในทะเลทรายแห่งนี้ต่าง จดจําชื่อของพวกเขาไว้เสมอ
กระบี่สุ่นเทียนก็ได้ตกทอดมาจากสมัยโบราณมาหลายชั่วอายุ คนแล้ว ร่ำลือกันว่าเป็นอาวุธขั้นเทพชนิดหนึ่ง ดื่มเลือดมานับไม่ ถ้วน อีกทั้งยังเป็นเลือดของระดับปรมาจารย์ทั้งนั้น ก็ไม่รู้ว่าได้ ลิ้มลองมามากเท่าไหร่แล้ว แต่เสียดายที่ว่าผู้คนรู้จักแต่เพียง กระบี่เล่มนี้ แต่ยังไม่มีใครเคยได้พบเห็นสักที แต่ว่าชื่อเสียงของ ที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดินจีนนั้น กลับไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขามี ความมหัศจรรย์มากขนาดไหน แต่เป็นเพราะร่ำลือกันว่าภายใน กระบี่เล่มนั้นมีเคล็ดวิชาลับสุดยอดของตระกูลเซียนซ่อนอยู่ ภายในต่างหาก”

เฉินเฟิงก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่ โบราณนี้ขึ้นมา เขาถามว่า “ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเซียนนั้น ร้ายกาจมากจริงเหรอ?”

เซียงหลับพูดว่า “น่าจะต้องร้ายกาจมากสิ! ฉันก็ไม่เคยเห็น เหมือนกัน เพียงแต่ฟังจากคนอื่นเขาพูดมาอีกที ในเมื่อใครๆก็ พูดแบบนี้ งั้นก็ย่อมต้องร้ายกาจมากเป็นธรรมดา”

เฉินเฟิงมองไปยังเซียงหลันท่าทางที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็เลยล้ม

เลิกที่จะถามต่อไปอีก

กล่าวถึงฝ่ายกหยุนนั้น หลังจากที่ถูกหมัดของเฉินเฟิงชกเข้า ตรงหน้าอกแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาเคยฝึกฝนเคล็ดวิชา แปลกประหลาดมาแล้ว ในขณะที่หัวใจถูกทำร้ายนั้น ก็สามารถที่ จะผนึกลมปราณปกป้องไว้ได้ด้วยตัวเอง พลังหมัดนั้นอาจจะ ทำให้เขาเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุก็ได้ แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่น นั้นก็ตาม เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อยเลย
ยังดีที่เจ้าเด็กหนุ่มซื่อบื่อคนนั้น ช่วยขัดขวางเฉินเฟิงไว้ เขาจึง สามารถที่จะหนีรอดออกมาได้

ส่วนตอนนี้ก็ได้มารักษาตัวอยู่ที่ห้องรักษาส่วนตัวบ้านตระกูล หลี หัวหน้าครอบครัวบ้านตระกูลหลี่หมาป่าทะเลทราย กำลังนั่ง อยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ใบหน้าของเขาเยือกเย็นมาก ด้วยกลิ่นกายที่ เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ท่าทางที่ใครเห็นก็ไม่อยากเข้าใกล้ทั้ง

ในมือของเขาจับไม้เท้าหัวมังกรสีทองไว้ จ้องมองอยู่ด้านข้าง ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรสักอย่าง

ภายในห้องรักษาผู้ป่วยนั้น นอกจากหยุนที่กำลังนอนให้ เลือดอยู่บนเตียงแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีกเลย

ตู้กูหยุนพูดว่า “หลังจู่ ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าหนูน้อยแห่ง

ตระกูลเซียนคนนั้นมาขัดขวางละก็ ตอนนี้ฉันก็คงจะเอาศีรษะของ

ไอ้หมอนั้นกลับมาได้แล้ว”

เมื่อชายชราฟังเขาพูดแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้า เรียบเฉย แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ แกก็ไม่ต้องยุ่งชั่วคราวแล้ว ฉันจะ ส่งคนอื่นเข้าไปใหม่ แกพาเยว่เอ๋อกลับมาได้ก็เพียงพอแล้ว”

แต่ว่ากหยุนรู้สึกยังไม่ยอมรามือ พูดว่า “หลัง ถึงยังไงก็ แล้วแต่ฉันก็ยังทนอัดอั้นใจไว้ไม่ไหว ฉันจะต้องทำให้ไอ้หมอนั่น รู้จักความเจ็บปวดทรมานเสียมั้ง”

ชายชราพูดว่า “เรื่องราวคราวนี้ไปเกี่ยวโยงถึงตระกูลเซียน แล้ว ถ้าแกยังดื้อรั้นต่อไปอีก ก็จะทำให้ไปเพิ่มความโกรธแค้นให้กับพวกเขามากขึ้น พวกเรายังไม่สมควรที่จะไปฉีกหน้าตระกูล เซียนตอนนี้”

ตู้กูหยุนกำลังจะพูดอะไรต่ออีก แต่ว่าชายชราก็ทำตาถลนใส่ เขาก็ได้แต่กําหมัดไว้แน่น แล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว

เมื่อมองดูกหยุนยอมอ่อนข้อให้แล้ว ท่าทีของคนชราก็นุ่ม นวลมากขึ้น เขาพูดว่า “แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ในฝูงหมาป่า ย่อมจะต้องมีหมาป่าที่หิวโหยหลงเหลืออยู่สักตัวสองตัว เมื่อ ปล่อยพวกเขาออกไปก็ย่อมต้องไปล่าเนื้อกินทั้งนั้น

ตู้กูหยุนก็ใจเย็นลงแล้วพูดว่า “ให้โถวหลังไปจะดีกว่านะ

ชายชรากลับอึ้งไปสักครู่ แล้วพูดว่า “โถวหลังเหรอ? มันจะไม่ ท่าเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเหรอ?”

แต่ว่ากหยุนพูดอย่างยืนหยัดว่า “หากไม่ใช่โถวหลังแล้วละก็ คนอื่นจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบภายใต้เงื้อมมือเขาอย่าง แน่นอน หากเป็นไปได้แล้วละก็ หลังจู่ควรที่จะไปเชิญ ใต้เท้า เทียนหลังมาดีที่สุด อย่างน้อยฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปรมาจารย์ ท่านนั้นจะยังปรากฏตัวออกมาอีกหรือเปล่า”

ชายชราก็ครุ่นคิดขึ้นมาอย่างจริงจัง

ปรมาจารย์ที่กูหยุนพูดถึงนั้นก็หมายถึงหยางชิงฉือนั่นเอง ชายชราก็รู้อยู่แก่ใจดี


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ