ลูกเขยมังกร

บทที่ 862 เด็กหนุ่มตระกูลเซียน



บทที่ 862 เด็กหนุ่มตระกูลเซียน

หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นได้ปรากฏตัวแล้ว ทางด้านของเซียน เสี่ยวหยุนและเซียงหลันก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันที

“ไอ้หมอนั่นเป็นคนตระกูลเซียนของพวกแกใช่ป่าว ฉันจำได้ ว่ารู้สึกเขาจะชื่อว่าเขียนหนิง น่าจะเป็นน้องชายแกล่ะสิ” เชียง หลับพูดพลางมองไปยังเซียนเสี่ยวหยุน

แต่ว่าเซียนเสี่ยวหยุนกลับรีบปฏิเสธว่า “แกอย่าพูดซ้ำซั่วไป ถ้า คนที่บ้านรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว ฉันก็คงไม่พ้นจากการโดนลงโทษอีก แน่นอน”

เมื่อเซียงหลันได้ยินคำพูดของเซียนเสี่ยวหยุนแล้ว ก็พูดอย่าง โมโหว่า “ฉันไม่เข้าใจจริงๆเลย ทำไมแกยังต้องไปนับญาติกับ บ้านนั้นอีก ต่างก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน แกไม่รู้สึกมั่งเหรอว่า มันไม่ยุติธรรมเลย?”

เชียนเสี่ยวหยุนก็พูดอย่างหดหูว่า “แต่แล้วยังไงล่ะ อย่างน้อย ฉันก็ยังเป็นสมาชิกของคนบ้านนี้อยู่ดีแหละ

ส่วนเซียงหลันก็ล้มเลิกที่จะไปพูดเตือนเธออีกต่อไป เธอได้พูด มาหลายครั้งหลายหนแล้ว ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความ คิดของเชียนเสี่ยวหยุนได้เลย

“เอาเถอะ แล้วแต่แกก็ละกัน” จากนั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อ

ไป จึงมองไปยังเขียนหนัง
“แต่ว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้ล่ะ หรือว่ารู้ว่าแกอยู่ที่นี่?”

เซียนเสี่ยวหยูนนึกดูแล้ว ก็พูดอย่างไม่แน่ใจนักว่า “เขาเคย พูดกับฉันว่าเขาสามารถได้กลิ่นตัวของฉัน ไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาด ไหนเขาก็สามารถรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน? แต่ว่า…….ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะ จริงหรือเปล่า?”

ถึงอย่างไรเซียงหลันก็ไม่อยากเชื่อคำพูดที่แปลกประหลาด เช่นนี้ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คำพูดนี้แกก็ยังเชื่อเหรอ อาจไม่แน่ เขาอาจจะวางเครื่องติดตามตัวไว้ที่ตัวแกก็ได้ คนของตระกูลเซีย นนี่ล้วนไม่ใช่คนดีทั้งนั้น ไม่ยกเว้นแม้แต่น้องชายแกคนนี้ด้วย

ถึงแม้เชียงหลันจะพูดเช่นนั้นก็ตาม ก็เพียงแต่กล้าพูดต่อหน้า เซียนเสี่ยวหยุนเท่านั้นเอง หากอยู่ต่อหน้าคนตระกูลเซียนแล้ว คาดว่าก็คงพูดอะไรไม่ออกเลย

เชียนเสี่ยวหยุนก็รู้จักนิสัยเช่นนี้ของเซียงหลันดี เธอได้แต่ยิ้ม

เล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

“เขาคิดจะสู้กับเจ้าแสบสองคนนั้นเหรอ?” เซียงหลันถามขึ้น อีก

“ไม่น่าจะใช่นะ เซียนหนิงถึงแม้มีพรสวรรค์สูงส่งก็จริง แต่ ตอนนี้ยังเทียบระดับชั้นไม่เท่ากับสองคนนั้น หากสู้กันตัวต่อตัว แล้วเขาก็ยังไม่แน่ว่าจะชนะได้หรือไม่ ยิ่งไม่ต้องคิดเลยว่าคน เดียวจะสู้สองคนเลย” เชียนเสี่ยวหยุนพูดวิเคราะห์

แต่ว่าเชียงหลันกลับพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เขาสามารถจะ ร่วมมือกับเฝิงเฉิงได้นะ ทั้งสองคนรวมหัวกันสู้กับตู้กหยุนคนเดียวอย่างนี้ ก็น่าจะมีโอกาสชนะได้นะ”

แต่ว่าเขียนเสี่ยวหยุนก็รีบส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นิสัยของเซียน หนิงนั้นค่อนข้างโดดเดี่ยวทระนง ไม่มีทางที่จะไปร่วมมือกับคน อื่นไปสู้กับอีกคนได้หรอก”

เชียงหลันแอบด่าด้วยเสียงเบาๆว่า “วรยุทธ์ยังไม่ทันได้ฝึกถึง ขั้นสุดยอดเลย นิสัยกลับเย่อหยิ่งเสียเหลือเกิน ทีหลังอาจไม่แน่ ต้องเสียเปรียบคนอื่นเข้าสักวันก็ได้

ส่วนเซียนหนึ่งนั้นก็คงไม่ได้ยินสิ่งที่เชียงหลันพูดอย่างแน่นอน ก็เป็นอย่างที่เขียนเสี่ยวหยุนพูดไว้ว่าเขาไม่มีทางที่จะไปร่วมมือ กับคนใดคนหนึ่งในสองคนนั้น ดังนั้นหากจะต้องต่อสู้กันขึ้นมา ละก็ งั้นก็จะต้องสู้กันแบบตัวต่อตัว หรือไม่ก็หนึ่งต่อสอง

เซียนหนิงก็เริ่มบุกเข้าไปต่อสู้กับกหยุนก่อน แต่ขณะก่อน ลงมือนั้น ก็ดูออกแล้วว่า ระดับชั้นของเขานั้นยังด้อยกว่ากหยุน ไปบ้าง หากคิดจะเอาชนะเขา อาจจะเป็นเรื่องที่ลำ ลำบากมากที เดียว

แต่ก็เช่นเดียวกับตู้กูหยุน เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้พลังเต็มที่เพื่อ ต่อสู้กับเชียนหนิง เพราะคอยระแวงเฉินเฟิงที่ยืนดูอยู่ด้านข้างนั้น ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่ยืนมองอย่างสงบนิ่ง แต่ เขาก็ไม่รู้ว่าเฉินเฟิงจะฉวยโอกาสขณะที่เขาเผยช่องโหว่ออกมา ให้เห็น แล้วลอบจู่โจมทำร้ายทันทีหรือไม่

ดังนั้นจึงต้องคอยแบ่งพละกำลังส่วนหนึ่งไว้เพื่อป้องกันการ ลอบทําร้ายจากเฉินเฟิง
หลังจากต่อสู้กันไปสักพักหนึ่ง ฝีมือการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย สูสีกันอย่างมาก แต่ว่า หยุ่นรู้ว่าหากยังสู้กันเช่นนี้ต่อไปอีกก็ ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกได้ว่า เฉินเฟิงแก กำลังคันไม้คันมือรออยู่

เมื่อเห็นว่าจังหวะเหมาะแล้วก็เตรียมตัวที่จะเผ่นหนี ส่วนเฉินเฟิ งก็กำลังรอคอยเวลานี้มาถึงเช่นกัน

เมื่อแรกเริ่มเดิมทีก็ยังไม่ได้ร่วมมือกับเซียนหนึ่ง เป็นเพราะว่า เขาไม่คุ้นเคยกับเซียนหนิง กลับจะทำให้เป็นอุปสรรคในใช้ กระบวนท่าในการต่อสู้ อีกอย่างคือจะต้องรอช่วงจังหวะที่หยุ นกำลังถอยหนี แล้วจึงซัดเข้าไปหาเขาอย่างเต็มเหนี่ยวไปเลย

ดังนั้นขณะที่กูหยุนกำลังจะขยับตัวเพื่อจะหลบหนีไปนั้น เฉินเฟิงก็เริ่มลงมือเลย

สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ หยุนภายใต้จุดบอดที่เกิดจากเซียน หนิงนั้น เฉินเฟิงจึงชกหมัดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ส่วนกหยุน เดิมที่มุ่งแต่จะหลบหนีไป ยังไม่ทันระวังตัว ประกอบกับเขต จุดบอดที่เกิดจากเชียนหนิง ดังนั้นหมัดนั้นจึงชกลงไปตรง หน้าอกของกูหยุนได้อย่างง่ายดาย

เฉินเฟิงก็ออกแรงสุดฤทธิ์เต็มที่เช่นกัน ดังนั้นหากถูกหมัดนี้ แล้วละก็ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว

แต่ว่าเฉินเฟิงนึกไม่ถึงว่า ตุ๊กหยุนถึงแม้จะโดนหมัดชกเข้าไป อย่างจังนั้น ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ยังคงวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เช่นเดิมจนห่างออกไปไกลจากเฉินเฟิงมากขึ้น
นี่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ

แต่ว่าเฉินเฟิงตั้งสติได้เร็วมาก เขาตั้งใจแล้วว่าคราวนี้จะไม่ ปล่อยให้ตู้กูหยุนหนีรอดไปได้ ดังนั้นจึงไม่สนใจว่าระหว่างเขา กับเซียนหนิงนั้นจะรู้จักมักคุ้นกันหรือไม่ ก็จะร่วมมือกัน ลงมือ แบบสองรุมหนึ่งแล้ว

แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่า เขากำลังคิดจะวิ่งตามไป แต่กลับถูก สายฟ้ากระบี่เข้ามาขวางเอาไว้ เงินเฟิงจึงจำเป็นต้องถอยกลับ อย่างไม่มีทางเลือก ส่วนกหยุนนั้นได้อาศัยจังหวะที่เฉินเฟิงและ เขียนหนึ่งกำลังขัดแย้งกันอยู่ จึงได้หลบหนีออกไปไกลเจ็ดแปด ช่วงตัวแล้ว

ส่วนเฉินเฟิงนั้นก็ไม่มีทางที่จะไปไล่ล่าต่อไปได้อีกแล้ว เพราะ ว่าเขียนหนิงยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสายตาที่โกรธแค้น

เฉินเฟิงพูดอย่างโมโหว่า “แกกำลังทำอะไรกันแน่? ฉันช่วย

แก แกกลับมาสู้กับฉัน”

นึกไม่ถึงว่าเขียนหนิงจะโกรธเพราะอยากผดุงคุณธรรม พูดว่า “การกระทําของแกต่ำทรามมาก ต่อให้ลงมือเพื่อช่วยฉันก็จริง แต่ฉันก็ละอายใจที่จะได้ร่วมมือกับแก ตอนนี้ฉันไม่ฆ่าแก ก็ถือว่า ได้ทำดีที่สุดแล้ว”

เฉินเฟิงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ ก็เหมือนกับได้ พบกับคนเสียสติที่กำลังพูดจาไม่รู้เรื่อง

แต่ถ้าคิดจะไล่ตามตู้กหยุนที่หลบหนีไปนั้น จำเป็นจะต้องผ่าน ด่านเขียนหนิงก่อน แต่ว่าเขากับเชียนหนิงไม่เคยมีความโกรธแค้นกันเลย หากสู้ต่อไปเช่นนี้ก็มีแต่จะทำให้ดูกหยุนหลบหนีไป ได้อย่างง่ายดาย

เฉินเฟิงจึงได้แต่มองดูกหยุนหนีจากไปเช่นนั้นอย่างไม่มีทาง เลือก

รอจนไม่เห็นเงาร่างของหยุนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ในทุ่ง หญ้าแห่งนี้ก็เหลือแต่พวกเขาสี่คนแล้ว เพราะว่าเงินเฟิงยังไม่ได้ ลงมือ เขียนหนิงก็ไม่ได้สนใจเฉินเฟิงอีกเลย ตัวเองจึงเดินเข้าไป หาเซียนเสี่ยวหยุนสองคนนั้นโดยลำพัง

“เขาคิดจะพาแกไปเหรอ?”

เมื่อมองเห็นเซียนหนึ่งเดินเข้ามาหา เซียงหลันจึงถามขึ้น “น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ แต่ว่าที่บ้านก็ไม่ได้เห็นฉันตั้งนานแล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเข้ามาทำอะไร” เขียนเสี่ยวหยุน ดอย่างเรียบเฉย ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเธอเองเลย

“แกก็อย่าตามเขาไปสิ บ้านหลังนั้นไม่มีอะไรที่น่าพิศวาสเลย เซียงหลันพูดเช่นเดิมอีกครั้งหนึ่ง

แต่ว่าเขียนเสี่ยวหยุนไม่ได้พูดจาอะไรเหมือนเดิม

และเป็นจริงเช่นนั้น เมื่อเชียนหนิงเดินเข้ามาตรงหน้าเขียน เสี่ยวหยุน ก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เชียนเสี่ยวหยุน ตามฉันกลับไป

แทบจะไม่ได้สนใจเซียงหลันที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขียนเสียวหยุนเลย
ส่วนเซียนเสี่ยวหยุนก็มองไปยังเขียนหนึ่ง ด้วยสายตาที่แสน จะอบอุ่น นั่นเป็นการแสดงออกถึงสายใยผูกพันทางสายเลือดที่ ไม่สามารถอธิบายได้ เธอยิ้มแล้วพยักหน้า

“เออ”

ส่วนเซียงหลันเมื่อได้ยินเสียงตอบรับนี้แล้ว ก็ก้มหน้าลงอย่าง จนปัญญา เชียนเสี่ยวหยุนก็ยังคงไม่สามารถที่จะตัดขาดสายใย ผูกพันทางสายเลือดของเธอไปได้

ดังนั้นเซียนหนึ่งจึงพาเชียนเสี่ยวหยุนจากไป เธอไม่มีปัญญาที่ จะไปขัดขวางได้เลย

จนกระทั่งเฉินเฟิงมาพูดอยู่ตรงข้างเธอ เธอจึงละสายตาจาก การมองเชียนเสี่ยวหยุนที่เดินจากไป

“แกควรจะอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยนะ” น้ำเสียงของเฉินเฟิง

ราบเรียบมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย

ส่วนเซียงหลันหันมามองเฉินเฟิง แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ กลายเป็นอ่อนแอราวกับแทบจะขาดใจ ส่งเสียงเรียกที่แผ่วเบาว่า

“ท่านเฝิง…..….”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ