ลูกเขยมังกร

บทที่ 839 การเดินทางของพระรัตนตรัย



บทที่ 839 การเดินทางของพระรัตนตรัย

คำอธิบายนี้เฉินเฟิงไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่บางทีหากเขา ได้เป็นมหาปรมาจารย์แล้วก็คงจะได้สัมผัสมันเอง

จากนั้นชิงจือก็กล่าวอธิบายต่อ

“แต่ด้วยความกระจัดกระจายของศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ทำให้ การก้าวหน้าของเหล่าผู้ไล่ตามเริ่มถดถอย และค่อยๆ หยุดชะงัก ลงไป ซึ่งในช่วงเวลานั้นเพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่าง ศิลปะการต่อสู้ในตอนนั้นและปัจจุบันจึงได้มีการขนานนามช่วง เวลานั้นว่าเป็นยุคศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ และเมื่อเอายุคศิลปะการ ต่อสู้เก่าแก่มาเปรียบเทียบก็เป็นเหมือนกับระบบต่างๆ ในยุค ปัจจุบันนี้ ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองมีสัญลักษณ์สำคัญอยู่ อย่างหนึ่ง”

“การเดินทางของพระรัตนตรัย

ประวัติศาสตร์ในส่วนนี้เฉินเพิ่งเคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้มีการ แผ่ขยายมาจากเปอร์เซีย อินเดีย เข้าสู่ประเทศทางตะวันตกจนมี ผลกระทบอย่างรวดเร็วต่อศิลปะการต่อสู้ในที่ราบตอนกลาง และ ที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งหมดนี้เป็นการสืบทอดมาจากพระพุทธ ศาสนาอีกด้วย เช่นเดียวกับวัดเส้าหลินที่เรียนรู้จนกลายเป็น สถานที่ของผู้เชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ จนเหล่านักต่อสู้ล้วน ให้ความเคารพว่าเป็นต้นแบบทางศิลปะการต่อสู้

แต่ว่าทั้งหมดนี้เดิมที่ไม่ได้มีการเริ่มต้นมาจากพื้นที่ราบตอนกลาง ดังนั้นหลังจากมีการเข้าสำรวจพื้นที่แห่งศิลปะต่อสู้ดั้งเดิม จึงทําให้เกิดการบูรณาการและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทำให้ ค่อยๆ มีการสืบทอดศิลปะการต่อสู้ในแบบปัจจุบัน

ชิง อพยักหน้า

“ใช่แล้ว ฉะนั้นความเกี่ยวข้องกับสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้า นั้นจึงเป็นความลับสุดยอดของศิลปะการต่อสู้ในแบบปัจจุบันนี้”

“มันมีความเกี่ยวข้องกับตาลงด้วยงั้นหรอ? ” เฉินเฟิงถามอีก

ครั้ง

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตามที่ได้มีการสืบขานกันมาคือหากได้ ครอบครองสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าแล้วก็จะรู้จักต้าถงไปโดย ปริยายเอง ทั้งยังสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งความกลมกลืนของ สวรรค์และโลก และทั้งหมดนี้ก็คือความลับที่พวกเราเหล่ามหา ปรมาจารย์ต้องพยายามปกป้องเอาไว้

“ในเมื่อมีสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าแล้ว พวกคุณทำไมถึงไม่ เข้าไปค้นหาความลับที่มันมีอยู่ข้างในนั้น แต่กลับแยกมันมาปก ป้องกันคนละเม็ดแบบนี้ด้วยล่ะ และทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าในนั้นมีของ ล้ำค่าซ่อนอยู่กลับยังอดทนไม่เข้าไปแตะต้องมันอีก” เฉินเฟิง ถามด้วยความสงสัย

แต่ว่าชิงจือกลับไม่ให้คำตอบใดๆ ราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดไป ทั้งหมดนั้นได้อธิบายข้อสงสัยของเฉินเฟิงไปหมดแล้ว และสิ่งที่ เธอต้องการรู้มากที่สุดก็คือตอนนี้เม็ดบัวของชายชราหยางไปอยู่ ที่ไหนแล้ว
เฉินเฟิงที่เห็นแบบนั้นก็ไม่คิดที่จะปกปิดอะไร เขาจึงได้บอกค่า

พูด หยางลงได้บอกกับเขาให้กับชิงจือ “คิดไม่ถึงเลยว่าเต้าสวนจะยังมีชีวิตอยู่ ตึกใหมือช่างใจกล้า

แม้แต่เต้าสวนยังกล้ารับเอาไว้

แน่นอนว่าชิงจือเข้าใจความหมายในประโยคนั้น ในขณะที่ เงินเฟิงที่อยากจะถามให้เข้าใจ แต่ชิงฉือราวกับว่าไม่อยากจะ สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว

สําหรับเรื่องของตึกไหลือและเต้าสวนอะไรนั่น เฉินเพิ่งรู้สึกว่า ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเฟ้นหาคำตอบ เพราะสถานที่ต่อ ไปของชิงจือก็คงจะไม่พ้นจากตึกไหลือแน่นอน ดังนั้นรอจนขับรถ เข้าสู่ถนนใหญ่ เฉินเฟิงจึงได้ถามขึ้นมา

“พวกเราต้องไปอีกไหลือใช่หรือเปล่า? แต่ว่าชิงจือกลับบอกชื่อสถานที่ที่เฉินเฟิงไม่รู้จักอีกครั้ง

“หอเทียนเสี้ย”

เฉินเฟิงมองไปยังชิงจือด้วยความสงสัย อยากให้เธออธิบาย เรื่องนี้ให้ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นผู้หญิงที่หาก สามารถพูดให้น้อยลงได้ เธอจะไม่มีทางพูดอะไรเกินจําเป็นกว่า นั้นเด็ดขาด

เฉินเฟิงจึงต้องถามเอาค่าตอบเองเท่านั้น แล้วหอเทียนเสี้ย เป็นทีแบบไหน? ”

แต่ในตอนที่เฉินเฟิงยังไม่ทันได้คำตอบก็มีรถซูเปอร์คาร์สีแดงคันหนึ่งขับไล่ตามเขามาจากด้านหลัง รถคันนั้นขับแซงขึ้นไป จอดลงตรงหน้ารถของเงินเฟิงเพื่อบังคับให้เขาจอดรถอย่างไม่ สนใจอะไรทั้งสิ้น

เมื่อสักครู่นี้เขาเหลียวหันไปมองชิงจือเลยทำให้ตอนที่หันหน้า กลับมา ข้างหน้าก็มีรถซูเปอร์คาร์คันหนึ่งจอดขวางหน้าเขาแล้ว เขาจึงรีบหักพวงมาลัยรถหลบไปอีกทางทันที ก่อนจะเหยียบ เบรกจนสุด

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงชนเข้ากับราวกั้นถนนอย่างเลี่ยงไม่ ได้

รอจนกระทั่งทุกอย่างจบลง เฉินเฟิงที่รู้สึกเจ็บแค่ตรงบริเวณ ข้อมือ โดยส่วนอื่นๆ ของร่างกายไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาจึงหัน ไปดูอาการของชิงจือ

ชิงจือหันมามองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองราวกับกำลังบอกว่า เขานั้นขับรถไม่ระวัง

เฉินเฟิงเองก็รู้สึกเอือมระอา แต่เมื่อเห็นว่าชิงจือไม่น่าจะเป็น

อะไร เขาจึงโล่งอกขึ้นมาทันที

แต่ว่ารถซูเปอร์คาร์สีแดงที่จอดอยู่ขวางทางพวกเขา ไม่ว่า อย่างไรเฉินเฟิงก็ไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด

เขาเดินลงจากรถพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเตรียมตัวที่จะ จัดการเรื่องนี้ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นเฉินเฟิงเดินลงมาจาก รถ เขาจึงลงมาจากรถด้วยเช่นกัน
คนที่เดินลงมาเป็นชายหนุ่มท่าทางเป็นผู้ดีคนหนึ่ง แต่เมื่อย้อน

คิดถึงการกระทําของเขาแล้ว เฉินเฟิงรู้สึกว่าเขาไม่มีความเป็น

ผู้ดีอะไรเลยแม้แต่น้อย เมื่อเดินไปถึงหน้าของเขาคนนั้น เฉินเฟิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก

อะไร เขาก็ชิงพูดออกมาก่อน

“คุณคือเงินเฟิงสินะครับ?”

เฉินเฟิงตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ

“มาตามหาบรรพบุรุษนายทําไมไม่ทราบ?

ถึงจะถูกต่อว่า แต่เขาคนนั้นกลับไม่โกรธเคืองเลย แถมยังยิ้ม กลับเบาๆ

“อย่างนั้นก็ถูกคนแล้ว ช่วยไปกับผมหน่อย

เฉินเฟิงตอกกลับทันที

“ไปกับคุณ? ผมไม่รู้จักคุณ และก็ไม่อยากไปกับคุณด้วย ตอน นี้ผมแค่อยากจะต่อยหน้าคุณสักหมัดเท่านั้น”

เขาพูดไปพลางพุ่งเข้าไปหวังจะต่อยหน้าของอีกฝ่ายทันที ถึง จะไม่สามารถเอาเขาให้ถึงตายได้ แต่อย่างน้อยการทำให้เขา บาดเจ็บก็นับว่ายังพอจะทำได้

แต่หมัดที่เขาส่งออกไป อีกฝ่ายกลับหลบตัวได้ทันเสียอย่าง

“ผมรู้ว่าคุณนั้นร้ายกาจ ผมคงจะสู้กับคุณไม่ได้ แต่ผมแค่คิดว่าถ้าคุณไม่ไปกับผม คุณอาจจะต้องเสียใจ”

เฉินเฟิงไม่รอให้เขาได้พูดจบก็สะบัดหมัดออกไปอีกครั้งแล้ว เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายก็เคยฝึกวิชาต่อสู้มาบ้าง ครั้งนี้เฉินเฟิงจึงไม่ใช้ เวลาคิดอะไรเลย

หมัดนั้นเลย ใต้คางของเขาขึ้นไป จากนั้นเดินเฟิงก็รีบเปลี่ยน การเคลื่อนไหวทันที เดิมทีเขาไม่คิดอยู่แล้วว่าการออกหมัดครั้ง นี้จะโดนเป้าหมายอย่างจัง จึงรีบค่อยเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย แล้วตามด้วยอีกหมัดเสริมเข้าไปอีก

ทำให้ชายคนนั้นที่พยายามเอียงตัวเพื่อหลบหมัดของเฉินเฟิง ล้มลงไปกับพื้นทันที

เฉินเฟิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาพร้อมกับพูดขึ้นมา “ตอนนี้ผมเริ่ม

จะหายโมโหแล้ว เรื่องที่คุณพูดเมื่อคุณสามารถพูดใหม่อีกทีได้

แล้ว”

ที่จริงอีกฝ่ายจะพูดเรื่องเมื่อกี้นี้อีกครั้งหรือเปล่า เฉินเฟิงไม่คิด จะสนใจอยู่แล้ว

แต่ด้วยความที่เรื่องนี้อาจมีความจำเป็น ชายผู้คนนั้นจึง พยายามกุมหน้าอกของตัวเองเอาไว้แล้วพูดอีกครั้ง

“มีคนอยากพบกับคุณ และถ้าหากคุณไม่ไป เรื่องการ เคลื่อนไหวของคุณจะถูกแจ้งไปยังสำนักเทียนซานโดยเร็วที่สุด”

เฉินเฟิงพูดออกมาด้วยความเย็นชา “คิดจะขู่ผมงั้นหรอ? ”

อีกฝ่ายเพียงแต่กุมหน้าอกเอาไว้ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เฉินเฟิงที่เห็นแบบนี้จึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณก็คงจะเป็นแค่ตัวส่งสารสินะ ผมไม่คิดจะเอาเรื่องกับคน แบบคุณหรอก พาผมไปหาเขาคนนั้น ผมอยากจะเห็นว่าเขาเป็น ใครกันแน่”

จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่รถ

เงินเฟิงเอ่ยปากบอก โดยที่ซึ่งถือไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น

“ไม่รู้ว่าใครกำลังตามหาผมอยู่ ผมคงต้องไปจัดการซะหน่อย ถ้าเกิดว่าคุณไม่อยากจะไปด้วย ผมจะส่งคุณยังเมืองใกล้ๆ นี้ ก่อน”

ชิงจือถาม “คุณจะใช้เวลานานเท่าไหร่”

“ไม่รู้อีกฝ่ายเป็นใครผมยังไม่รู้เลย ต้องไปดูเท่านั้นจากนั้น ค่อยว่ากันอีกที”

“ฉันไม่อยากให้มันวุ่นวาย รอให้คุณเสร็จธุระ พวกเราก็ออก เดินทางเลยจะดีกว่า”

ทางด้านชายคนนั้นที่ล้มอยู่กับพื้นพยายามลุกขึ้นมาอย่างยาก ลำบาก ถึงจะถูกเฉินเฟิงทำร้ายไปที่หนึ่ง แต่เขายังคงนำทางให้ กับเฉินเฟิง นับว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาให้การสั่งสอนผู้อยู่ใต้ บัญชาได้ดีทีเดียว

รถซูเปอร์คาร์เริ่มขยับอีกครั้ง และเพื่อที่จะรักษาระดับ ความเร็วของเฉินเฟิง เขาเลยขับรถไม่เร็วมาก
ในขณะที่ขับรถตามเขาไปก็ย้อนกลับมายังทางเดินและผ่าน หมู่บ้านที่เพิ่มขับรถออกมาเมื่อสักครู่นี้ ก่อนจะขับรถต่อไปตาม ถนนจากนั้นก็เข้าสู่ถนนเล็กๆ เส้นหนึ่ง

ถึงแม้ว่าถนนเส้นนี้จะเลี้ยวเข้ามาจากถนนใหญ่ แต่กลับมี ความกว้างที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าถนนใหญ่เลย ซึ่งตรงสุดถนนเส้นนี้ มีวิลล่าหลังหนึ่งตั้งอยู่พอดี และจากการคำนวณของเฉินเฟิงแล้ว คนที่เขาจะต้องไปเจอจะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน

แม้จะบอกว่าอีกฝ่ายอยากจะเจอกับเฉินเฟิง แค่ตอนนี้ที่ เฉินเฟิงไปถึงกลับต้องนั่งรออยู่ในห้องรับแขกเป็นพักใหญ่เลยที เดียวกว่าเฉินเฟิงจะได้พบกับอีกฝ่าย

ชายชราถือไม้เท้าพยุงตัวเองค่อยๆ เดินลงมาตามบันได พร้อมกับมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามหลังลงมา พร้อมกับในมือ ถือของบางอย่างที่ถูกคลุมเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

เฉินเฟิงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่คิดว่าจะต้องยืนขึ้นเพื่อให้การ เคารพการมาของอีกฝ่ายเลย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ