บทที่ 865 เยี่ยมบ้านตระกูลเซียน
ดังนั้นเขาย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา จึงถามว่า “หมาป่าทะเล ทรายนี้จะร้ายกาจมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
เซียนสวนคาดเดาว่าเฉินเพิ่งจะต้องไม่รู้จักหมาป่าทะเลทราย มากนัก ดังนั้นก็จึงพูดเตือนไป ส่วนเฉินเฟิงตอนนี้ถามเช่นนี้ก็ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ จึงตอบว่า
“ถ้าพูดถึงหมาป่าทะเลทรายแล้ว ก็ย่อมต้องพูดถึงฝูงหมาป่า
ก่อน”
“ฝูงหมาป่าคืออะไร?
เชียนสวนพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฝูงหมาป่าก็คือลูกน้องของ หมาป่าทะเลทราย เป็นเครื่องมือฆ่าคน พวกเขาอยู่ได้ก็อาศัยการ ฆ่าคนเป็นอาชีพ ขอเพียงสามารถฆ่าคนได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธี เล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์อะไร แม้แต่เอาชีวิตแลกชีวิตพวกเขาก็กล้าทำ อย่างไม่เสียดาย”
เฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก จึงถามอีกว่า “น่ากลัวขนาดนั้น เชียวเหรอ?”
“ก็เพราะว่าน่ากลัวอย่างนี้ หมาป่าทะเลทรายถึงได้อาศัยพวก ฝูงหมาป่าจนสามารถมีฐานะยืนหยัดอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ส่วนพวกที่ เคยขัดขวางคนของพวกเขานั้นก็ล้วนตายจมเขียวของพวกฝูง หมาป่าทั้งนั้น”
เฉินเฟิงถามอีกว่า “ถ้ามันน่ากลัวขนาดนี้ ตระกูลเซียนอยู่ใน ทะเลทรายแห่งนี้ก็แทบจะอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วใช่มั้ย? พวกเขาคง ไม่อยากจะสยบอยู่ใต้อิทธิพลของตระกูลเขียนตลอดไป ตระกูล เซียนตอนนี้ก็เหมือนศัตรูที่ขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว”
เซียนสวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณท่านถามได้ตรงประเด็น มากเลย แต่ว่าตระกูลเซียนเราก็ไม่ได้หวั่นกลัวง่ายดายเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาเหิมเกริมขนาดไหน ก็เป็นเพียงแค่หมาป่าฝูงหนึ่ง เท่านั้นเอง”
ความมั่นใจของเขาก็เหมือนมาจากความเชื่อมั่นที่กลั่นออกมา จากใจ นั่นเป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของตระกูลเซียนจึงทำให้เขา มั่นใจได้ถึงเพียงนี้
ในเมื่อตระกูลเซียนปฏิเสธคำขอร้องของเฉินเฟิงแล้ว เฉินเฟิ งก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อไปอีก
“ขอบคุณที่ให้คำชี้แนะ แต่ผมกับหมาป่าทะเลทราย ตอนนี้ก็ คงเลิกแล้วต่อกันไม่ได้แล้ว หากต้องเผชิญหน้ากับพวกฝูง หมาป่าพวกนั้น ก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วล่ะ แต่ว่าวันนี้ ได้มารบกวนมากแล้ว หวังว่าคงให้อภัย
เซียนสวนกลับพูดว่า “ในเมื่อคุณท่านได้มาถึงบ้านตระกูล เซียนเราแล้ว งั้นก็นับว่าเป็นแขกคนหนึ่ง ถ้าไม่รังเกียจขอให้อยู่ พักที่นี่สักสองสามวันก่อน จะได้ทำหน้าที่เจ้าบ้าน ในการต้อนรับ แขกบ้าง คืนพรุ่งนี้พอดีบ้านตระกูลเชียนเราจัดงานหมั้นลูกสาว ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ร่วมดื่มเหล้ามงคลก่อน แล้วค่อยกลับก็ยังไม่สาย
เฉินเฟิงคิดดูแล้ว ตอนนี้หลี่จื่อเยวก็เพียงแค่ถูกพากลับไป เท่านั้น คงไม่มีอันตรายถึงชีวิต อย่างมากก็แค่ถูกขังไว้สองวัน ไม่มีอิสรภาพเท่านั้น
ส่วนวันนัดหมายของชิงฉือนั้น เขาก็ยังหวังที่จะพาหลี่จื่อเยว่ไป ด้วย ดังนั้นก็ยิ่งไม่ต้องรีบร้อนอะไร
จึงรับปากตอบตกลงไป
เขียนสวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีโอกาสได้รับคําอวยพรจาก คุณท่านแล้ว เชื่อว่าน้องสาวกระผมคงจะต้องดีใจมากเลย
เฉินเฟิงก็ยิ้มด้วย ถึงแม้ว่าเขายังไม่รู้ว่าใครแต่งงานกันแน่ เมื่อร่ำลากับเซียนสวนแล้ว ก็มีคนนำทางพาไปยังเขตบริเวณ
ก็ตาม
ลานบ้านที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ทิวไผ่เขียวเป็นแถวรายล้อมระเบียง
ทางเดิน ดอกกุ้ยฮวาส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว ถ้าได้พักอยู่ที่นี่ก็
น่าจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจทีเดียว
หลังจากที่พาเฉินเฟิงมาส่งแล้ว คนนั้นก็เดินจากไป ภายใน ห้องนั้นมีทุกสิ่งครบถ้วนไม่แพ้โรงแรมชั้นหนึ่งเลย ทำให้รู้สึก สบายใจมากยิ่งขึ้น
เพียงแต่นั่งไปสักพักก็รู้สึกเซ็ง จึงเตรียมตัวจะออกไปเดินเล่น บ้าง
เมื่อออกจากประตูทางเข้าลานบ้าน ก็มีคนมาสอบถาม ดู เหมือนเป็นคนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อคอยบริการเฉินเฟิงว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง
เฉินเฟิงจึงบอกกับเขาว่าอยากจะไปเดินเล่น คนนั้นจึงแนะนำ
ว่า
“ถ้าท่านอยากจะเดินชมทางนี้ละก็ ฤดูนี้ควรจะไปชมสวนป่า ยกุ้ย ที่นั่นดอกกุ้ยฮวาเพิ่งเปล่งบานไม่นานมานี้ เหมาะสำหรับไป เดินชมมากเลย”
ด้วยความอย่างรู้อยากเห็น เฉินเฟิงก็พยักหน้าแล้วเดินตาม เขาไปยังสวนป่ายกุ้ย
สวนภายในบ้านตระกูลเชียนใหญ่โตมาก เดินอ้อมถนนไปมา ตามทางเจ็ดแปดสาย ในที่สุดก็ได้กลิ่นดอกกุ้ยฮวาโชยมา กลิ่น หอมแตะจมูก ทำให้รู้สึกดื่มเคลิบเคลิ้มไปด้วย
“นี่ก็คือสวนป่ายกุ้ย ท่านสามารถเดินเข้าไปเองได้เลย หาก กระผมไปด้วยจะทำให้เสียบรรยากาศการชมทิวทัศน์ ข้างในนั้น ยังมีพวกเครื่องดื่มอาหารว่าง ท่านสามารถใช้บริการได้เลย”
พูดจบ เขาก็เดินหันหลังจากไป
เฉินเฟิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดินมุ่งหน้าเข้าไปในสวนนั้น
สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือสวนดอกกุ้ยฮวาที่ปลูกสลับสีขาวกับสี เหลืองเต็มไปหมด สวนดอกไม้นี้ใหญ่โตมาก บนพื้นเต็มไปด้วย กลีบดอกที่ร่วงโรยปกคลุมไปทั่วทั้งสวนแห่งนี้
เฉินเฟิงค่อยๆเดินเข้าไปอย่างช้าๆ สงบเงียบมากราวกับ สัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายทั้งกายใจ
เดินไปยังไม่ถึงร้อยก้าว ในที่สุดก็ได้เห็นอาหารว่างที่ชายคน นั้นเอ่ยถึง มีโต๊ะเก้าอี้หวายสี่ห้าชุดวางอยู่ ไม่ได้ทำลาย บรรยากาศที่นี่เลย กลับเพิ่มความสงบนิ่ง ในบรรยากาศมากขึ้น เฉินเฟิงจึงเดินเข้าไปนั่งลง แล้วหยิบขนมบนโต๊ะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มองดูก็รู้ว่าเป็นขนมดอกกุ้ยฮวา ลองชิมไปคำหนึ่ง รู้สึกรสชาติก็ ไม่เลวเลย
จึงนั่งสบายอารมณ์ที่นี่ เพื่อรอเวลาอาหารเย็น
สายลมยามฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมา กลีบดอกราวกับสายฝนสี เหลืองทอง โปรยปรายลงมา แลดูช่างตระการตายิ่งนัก ร่วงหล่น ลงมาตรงข้างกายของเฉินเฟิง เฉินเฟิงใช้มือปัดกลีบดอกบนไหล่ ออกไป กลับเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาหาจากด้านหลัง
เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เฉินเฟิงเพ่งมองดูก็จำได้ว่าเป็นหญิงสาว ที่อยู่กับเชียงหลันคนนั้น
ส่วนเชียนเสี่ยวหยุนก็นึกไม่ถึงว่าในสวนป่ายกุ้ยก็ยังมีคนอื่น อยู่อีก เดิมที่คิดจะเดินจากไปแล้ว แต่เห็นว่าไม่ใช่คนอื่น เคยพบ หน้ากันครั้งหนึ่งแล้ว
ในเมื่อไม่ใช่คนตระกูลเชียน เธอก็ยิ่งไม่มีความคิดที่จะหลบ หน้า จึงเดินเข้าไปหา
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?” เมื่อมาถึงข้างตัวเฉินเฟิงแล้ว เชีย นเสี่ยวหยุนถาม
“พบกันคราวที่แล้ว ฉันยังไม่ได้ถามชื่อแซ่คุณเลย นึกไม่ถึงว่า คุณจะเป็นคนของตระกูลเซียน” เฉินเฟิงมองหน้าเธอ คราวที่แล้วยังไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจึงมองอย่าง ละเอียด
ตาโตจมูกโด่ง ริมฝีปากบางสีแดงเรื่อ ผมยาวดกด่าเป็นเงา
งามอย่างสาวงามโบราณ
เฉินเฟิงไม่ได้จ้องอย่างเสียมารยาท ได้แต่กวาดสายตาผ่านไป เท่านั้น
เชียงเสี่ยวหยุนนั่งตรงเก้าอี้ด้านข้างของเฉินเฟิง นั่งพิงพนัก เก้าอี้อย่างสบาย แล้วจึงพูดกับเฉินเฟิงว่า “ฉันชื่อเขียนเสี่ยวหยุน แล้วคุณล่ะ?”
เฉินเฟิงพูดว่า “เฉินเฟิง”
เซียนเสี่ยวหยุนมองดูขนมกุ้ยฮัวบนโต๊ะ ถามเหมือนชวนคุยว่า “ขนมดอกกุ้ยฮวานี้ คุณรู้สึกรสชาติเป็นยังไงบ้าง อร่อยรึเปล่า ล่ะ?”
เฉินเฟิงชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเธอถามอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่ว่าก็ได้ชิมแล้วรสชาติดีจริงๆ จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ของบ้านตระกูลเชียน ก็ต้องเป็นของดีทั้งนั้นแหละ”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉินเฟิงพูดอะไรผิดไป สีหน้าของเชียนเสียว หยุนเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที พูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนักว่า “ขนม ดอกกุ้ยฮวานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบ้านตระกูลเชียนเลยแม้แต่ นิดเดียว”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้นแล้ว เฉินเฟิงก็เดาออกว่าระหว่างเธอกับตระกูลเซียนจะต้องมีอะไรบาดหมางกันแน่นอน จึงเปลี่ยน เรื่องพูดคุยว่า “ทิวทัศน์ในสวนป่ายกุ้ยนงดงามเช่นนี้ ก็มีแต่คุณ และฉันสองคนเท่านั้นที่ชื่นชม ก็นับว่ามีวาสนาต่อกันอย่างหนึ่ง ฉันก็แค่รู้สึกเหงาๆ ดังนั้นจึงออกมาเดินเล่นแถวนี้”
เซียนเสี่ยวหยุนมองไปยังที่ห่างไกลออกไปกลีบดอกกุ้ยฮวา ร่วงหล่นไปทั่ว พูดด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “ถึงแม้จะเป็นทิวทัศน์ ที่สวยงามยังไงก็ต้องมีวันที่เลือนหายไป เพียงแต่ว่ายามที่พวก เขาจากไปนั้น กลับไม่มีใครไปสนใจเลย มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ใจมาก”
เฉินเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พวกเขาคงไม่ได้หวังให้ใครมา ชื่นชมความงดงามของพวกเขาหรอก เพียงแต่ทำหน้าที่ของตัว เองเท่านั้น หวังว่าจะได้สืบทอดขยายออกไปให้มากที่สุด”
เชียนเสี่ยวหยุนมองไปยังเฉินเฟิงอย่างสงสัย ราวกับว่าคำพูด ของเฉินเฟิงกำลังเตือนสติเธออยู่ จึงพูดอย่างโกรธเครื่องว่า “คุณไม่รู้อะไรเลย คุณเป็นแค่ผู้มาเยือนเท่านั้น เรื่องที่ทุกข์ ทรมานพวกนั้นคุณก็ไม่เคยเห็น กลับมาพูดจาอย่างนี้ออกมา คุณ มันคนเฮงซวย”
เฉินเฟิงก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องถูกด่าด้วย
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ