คุณชายมาดเข้มกับคุณหนูสุดแสบ

บทที่478: ถกเถียงกัน



บทที่478: ถกเถียงกัน

“ฉัน…..ไม่สบาย จะอ้วกแล้ว”

น้าหวานปิดปากไว้อย่างทรมาน พยายามควบคุม ความสะอิดสะเอียนที่กระเพาะส่งผ่านมาไว้

“จะอ้วก?” ได้ยินคำนี้ ดุสิตถึงเหยียบเบรก และ จอดรถลงที่ข้างทาง

น้ำหวานปลดเข็มขัดนิรภัยออกก็พุ่งลงไปก่อนเป็น อันดับแรกเลย โซเซพุ่งไปที่ข้างถนน ยังวิ่งไม่ถึงข้างถัง ขยะก็อ้วกใส่ข้างต้นหญ้าแล้ว

ทรมานมาก ทรมานมาก………….

อ้วกอาหารที่อยู่ในกระเพาะออกมาจนหมด น้ำ หวานลุกขึ้นมาอย่างหน้าซีดเวียนหัว เพราะอาเจียน ทําให้น้ำตาซึมออกมา เธอยกมือเช็ดน้ำตา ในมือเต็มไป ด้วยน้ำตาเหมือนเพิ่งร้องไห้มา

“ดื่มน้ำหน่อยเถอะ

น้ำขวดหนึ่งยื่นมาที่ตรงหน้าของน้ำหวาน

น้ำหวานลังเลไปหลายวินาที จากนั้นก็ได้ส่ายหัว

ปฎิเสธ

เธอหยิบทิชชูเปียกออกมาเช็ดปาก คำพูดเย็นชากว่าเมื่อกี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า “วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ไม่

ไปบ้านภักดีวัฒนากุลกับคุณแล้ว…..มีเรื่องอะไร ต่อไป ค่อยคุยกันเถอะ”

“นี่คุณงอนอะไรอีกแล้ว?” ดุสิตขมวดคิ้ว มือที่ ถือขวดน้ำไว้ไม่คิดจะดึงกลับมา เขาพูดอย่างดื้อด้าน “คุณบ้วนปากหน่อย เสร็จแล้วขึ้นรถ กลับถึงบ้านก็ไป อาบน้ำอาบท่าก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกัน

อาบน้ำอาบท่า…..

คำนี้ ทิ่มแทงใจน้ำหวานมาก

เธอรู้ว่าดุสิตพูดคำนี้อาจจะไม่ได้มีความหมาย อย่างอื่นแอบแฝง แค่รู้สึกว่าเธอที่เหนื่อยล้าจากการเดิน ทางควรจะไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นหน่อย แต่เธออด คิดมากไม่ได้จริงๆ

คิดว่าเขารังเกียจเธอใช่มั้ย? คิดว่าคำพูดเขาแฝง ด้วยการเหน็บแนมหรือเปล่า?

บางอารมณ์พอถลำลึกเข้าไปปุ๊บ ก็ยากที่จะเดิน ออกมาจากตรงนั้นได้

ตอนนี้เธอก็เป็นแบบนี้แหละ

“คณให้ฉันไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านภักดีวัฒนากลไม่กลัวว่าฉันจะไปทำให้บ้านของตระกูลคุณสกปรก หรือยังไงคะ?” เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยตาแดงก๋า มองไป ที่ดุสิตอย่างผิดหวังและโกรธเคือง “คุณมีหน้าพูดเรื่อง ของฉันให้พ่อแม่คุณฟัง แต่ว่าฉันรับไม่ได้! ฉันไม่อยาก ไปเผชิญกับสายตาแปลกประหลาดของพวกท่าน ไม่ อยากไปฟังคำซุบซิบนินทาของพวกท่านในขณะที่ฉัน ยังทรมานใจขนาดนี้!”

พ่อแม่ของดุสิตก็เฉยๆกับเธอมาก ไม่ชอบผู้หญิงที่ หน้าตาธรรมดา ความสามารถธรรมดา และฐานะทาง ครอบครัวที่ธรรมดาอย่างเธอ

ภายนอกคุณลุงไพโรจน์อาจจะไม่พูดอะไรต่อ หน้าเธอ แต่คุณป้าได้ใกล้ชิดกับเธออยู่ไม่น้อย ตอนที่ ทั้งสองเข้าหากัน ทุกถ้อยคำของคุณป้าแฝงด้วยท่าที ที่เย็นชา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าชอบหรือไม่ ชอบเธอ

ตอนนี้พวกท่านรู้ว่าเธอถูกข่มขืน แถมยังเห็นรูป พวกนั้นแล้วด้วย…………..

แค่คิด น้ำหวานก็รู้สึกสมองของตัวเองจะระเบิดอยู่

แล้ว

“พ่อแม่ผมเคยซุบซิบนินทาคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?” ดุสิตย้อนถาม แล้วพูดต่อว่า “น้ำหวาน ผมรู้ว่าเกิดเรื่อง แบบนั้นขึ้นคณอารมณ์ไม่ดี แต่เรื่องนั้นคือหน้าที่ของพวกเราเหรอ? คุณจะเอาอารมณ์ไปพาลใส่ที่พ่อแม่ผม ไม่ได้ พวกท่านเป็นอาวุโส ไม่ควรจะต้องมาทนรับคํา กล่าวโทษแบบนี้ เด็กดี เชื่อฟังผมนะ อย่าโวยวายแบบ ไร้เหตุผล เราเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ด้วยกันอย่างมีสติ หน่อยได้ไหม?”

พอพูดจบ ดุสิตเดินมาข้างหน้ากอดเธอไว้ ตบที่ ไหล่เธอเบาๆ ดูเหมือนว่าจะปลอบใจเธอ

แต่ว่าถูกเขาโอบกอดไว้ในอ้อมอก น้ำหวานกลับ รู้สึกเพียงว่าอยากร้องไห้

ทรมานจนเหมือนจะตาย

เธอโวยวายแบบไร้เหตุผลหรอ?

คงจะมั้ง

แต่ว่า เธอแค่อยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก ไม่ อยากมาฟังคนบ่นเจ๊าะแจ๊ะเรื่องที่เธอปล่อยวางไม่ได้ และลืมไม่ได้อยู่ที่ข้างหูตลอด หรือว่านี่ไม่ถูกเหรอ?

ก็เหมือนบาดแผลที่ยังไม่หายดีถูกคนฉีกแผลออก เลือดไหลซิบ เจ็บจนเธอจะตายแล้ว แต่ผู้ริเริ่มทำเรื่อง ชั่วกลับยังมองดูเธออย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่รู้ว่าตัวเองทำ อะไรผิด
เธอจะอธิบายยังไง?!

“ขอโทษค่ะ” น้ำหวานผลักเขาออกเบาๆ “ตอนนี้ ฉันรู้สึกไม่สบายจริงๆ ทรมานมาก ให้ฉันพักหน่อยจะได้ มั้ย?”

เธอใจเย็นลงมา ในที่สุดดุสิตก็รู้ว่าเธอไม่ได้พูด เพราะความโมโห

“งั้นผมส่งคุณกลับบ้าน

“ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้” น้ำหวานส่ายหัว

นั่งรถไฟใต้ดิน และเดินอีกไม่ไกลก็ถึงห้องเช่าของ ตัวเองแล้ว สะดวกมาก ถึงจะยุ่งยาก เธอก็ยอมที่จะ ยุ่งยากหน่อย เธอแค่อยากอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ตอนนี้ เป็นต้นไป

“ไม่ได้” ดุสิตปฏิเสธด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ตอนนี้ อารมณ์คุณกำลังย่ำแย่อยู่ ร่างกายก็ไม่สบาย ผมจะให้ คุณเดินอยู่ข้างถนนคนเดียวได้ยังไง? ผมส่งคุณกลับ บ้าน เอาตามนี้แหละ”

“ ……โอเคค่ะ” น้ำหวานพยักหน้า

เธอไม่อยากขัดขืนแล้วจริงๆ
พอขึ้นรถ หลังจากดุสิตสตาร์ทรถ แต่กลับขับรถ อย่างเชื่องช้ามาก

ตลอดทางขับแค่ความเร็ว50กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้า เจอรถติด เขาก็ขับยิ่งช้าลงไปอีก

เขาพยายามที่จะพูดอะไรสักหน่อย พยายามพูด ออกมาหลายประเด็น เพื่ออยากให้บรรยากาศผ่อน คลายลง น้ำหวานรู้ว่าเขาอยากอธิบาย แต่เธอไม่อยาก ในขณะที่ตัวเองกล้ำกลืนมากแล้วยังจะต้องมาให้ความ ร่วมมืออีก

สายตาของนํ้าหวานมองไปที่นอกหน้ากระจกรถ ตลอด ตอบเขาคำสองคำเป็นพักๆ แต่สีหน้าเหมือนไม่มี อารมณ์จะพูดคุยอะไร พอนานเข้า ดุสิตก็เงียบกริบลง มา

รถขับมาถึงใต้ตึกของน้ำหวาน น้ำหวานลงจากรถ แล้วเดินไปที่ลิฟท์โดยตรง

ดุสิตตะโกนอยู่ข้างหลังเธอ “น้ำหวาน คุณจะต้อง ทำแบบนี้ให้ได้เลยหรอ?”

น้ำหวานหยุดฝีเท้าไว้

“ผมคิดๆดูแล้ว คุณไม่พอใจที่ผมเอาเรื่องนั้นไป บอกกับพ่อแม่ผม ไม่อยากให้พี่ชายผมรู้เรื่องนั้นใช่ไหม?”

น้ำหวานไม่ได้ตอบ

“ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดีเอง ตอน นั้นผมไม่กล้าเชื่อจริงๆว่าทั้งหมดนั้นจะเป็นความจริง ดัง นั้น…..สรุปก็คือ เรื่องนี้ผมเป็นคนผิดเอง คุณยกโทษให้ ผมได้ไหม?”

เดินมาที่ด้านหลังของน้ำหวาน ดุสิตโอบกอดเอว ของเธอไว้ คางวางอยู่ที่บนศีรษะเธอ เสียงใสๆแฝงด้วย ความเหนื่อยล้า “คุณวางใจเถอะ ผมจะรังเกียจคุณได้ ยังไง? ก่อนหน้านั้นผมเองก็เคยมีแฟนมาก่อน คุณก็ยัง ไม่รังเกียจผมเลยไม่ใช่เหรอ? ขอแค่คุณกลับมาอย่าง ปลอดภัย ผมก็ดีใจที่สุดแล้ว คุณไม่ต้องบังคับตัวเอง และอย่าผลักใส่ไล่ส่งผม โอเคมั้ย?”

.อืม” ในที่สุดน้ำหวานก็พยักหน้า เธอหัน หลังมากอดเขาเบาๆ “ขอโทษค่ะ ตอนนี้ฉันยังลืมความ เจ็บปวดเหล่านั้นไม่ได้ คุณให้เวลาฉันหน่อย ให้ฉันได้ บรรเทาเองได้มั้ยคะ?

“โอเค”

“ขอบคุณค่ะ ดุสิต

“อย่าเกรงใจกับผมขนาดนี้สิ..อืม ฉันขึ้นไปก่อนนะคะ”

มองดูร่างเงาที่ผอมบางของน้ำหวานเดินจากไป ไกล ดุสิตเพิ่งพบว่าไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน เธอผอมลง ไปเยอะมาก เสื้อผ้าที่ใส่ก่อนหน้านั้นก็ดูหลวมไปเลย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ