คุณชายมาดเข้มกับคุณหนูสุดแสบ

บทที่352: ทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเองด้วยถึงจะสะใจ



บทที่352: ทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเองด้วยถึงจะสะใจ

“ฉันยอมตัดใจไปตายไม่ได้? นี่แกแทบอยากจะให้ ฉันไปตาย แทบอยากจะให้พ่อแท้ๆอย่างฉันติดคุกตลอด ชีวิต แกถึงจะพอใจใช่มั้ย?” ไกรสรอารมณ์ขึ้น ทนไม่ไหว อยากจะกระทืบเตชิตสักสองที

เพียงแต่ นึกอะไรขึ้นมาได้ สุดท้ายเขาก็ได้ทนเอาไว้

เตชิตหัวเราะเยาะทีนึง ใบหน้าคือรอยยิ้มที่ทำให้คน เครียดตายก็ไม่ต้องชดใช้ชีวิต “ยังไงซะพ่อก็เป็นคนที่มี ตำแหน่งสูงส่งอยู่ ไม่นึกเลยว่ากฎหมายแค่นี้ยังไม่รู้อีก ผมเกรงว่าพ่อคงจะคิดอย่างชิวๆเกินไปแล้ว เรื่องที่พ่อทำ เหล่านั้น ติดคุกตลอดชีวิตยังถือว่าโชคดีแล้ว ผลลัพธ์ที่ เป็นไปได้มากที่สุดที่พ่อจะได้รับก็คือประหารชีวิต แถมยัง ประหารในทันทีทันใดนั้นนั้นด้วย”

เมื่อก่อนเตชิตเคารพนับถือพ่อมากแค่ไหน เห็นเขา เป็นวีรบุรุษที่แข็งแกร่ง ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกมากแค่ไหน ตอนนี้ในใจของเตชิตก็ดูถูกมากแค่นั้น

เหมือนความศรัทธาได้พังทลายลงเลย

แต่ถึงเขาจะทรมานมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางทำ เรื่องที่ไร้มโนธรรม

คำพูดที่ทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเองแบบนี้ เขาพูดออกมาก็รู้สึกสะใจมาก!

เหมือนเอามีดมากรีดที่หัวใจของตัวเองทีละแผล มองดูหน้าตาที่ลนลานหวาดกลัวของไกรสร เขาถึงรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้ด้านชาไม่มีความรู้สึกเหมือนในความเป็นจริง เลย ไม่มาคิดด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองยังไม่ไปแจ้งรายงาน เรื่องของไกสร……..

ว่าไกรสรไร้ยางอาย แล้วเขาดีกว่าเขาตรงไหน? เขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย!

“นี่แก………” เกสรทนเอาไว้ และทำเสียงให้ซอฟ ลง “เตชิต ลูกคิดว่าพ่อไม่อยากเป็นคนดีหรือไง? พ่อเป็น คนดีมาหลายสิบปี ก่อนที่แม่ของลูกจะป่วย แล้วพ่อไม่ใช่ คนดีที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานเสียที่ไหนล่ะ คิด อยู่ทุกวันว่าจะทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนยังไง? แต่ว่าแม่ของลูกป่วย พ่อทนดูเธอตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ ได้ ตอนนั้นพ่อมีแค่ทางเลือกนั้นทางเดียว!

ลูกชายที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก ไกรสรรู้นิสัยของ เตชิตดี

นี่เป็นลาที่ดื้อด้านตัวนึงชัดๆ ถ้ามาตามนิสัยเขายังดี หน่อย ถ้ามาอย่างต่อต้าน เตชิตมีแต่จะยิ่งดื้อด้านไม่ยอมเชื่อฟัง ตอนนี้ชาตรีถูกเควินส่งเข้าคุกไปแล้ว ตระกูลดก รงกูลถือว่าล้มละลายแล้ว เวลานี้เขาจะมาตามนิสัยของตัว เองไม่ได้

ฝั่งของเควินป้องกันตัวและเฝ้าระวังอย่างแน่หนา ถ้า จะสืบหาข่าวสารจากทางฝั่งของเควิน ก็มีแต่ให้เตชิตเข้า ใกล้พิงกี้ถึงจะมีโอกาศแล้ว

“…….เหอะๆ”

เสียดาย คำพูดที่ทำให้คนประทับใจ และมีเหตุผล ของไกรสร แลกมาแค่เสียงหัวเราะเยือกเย็นของเตชิต

มองดูไกสรอย่างเงียบๆไปสักพัก เห็นไกสรใกล้จะ โมโหอีกแล้ว เตชิตถึงใช้น้ำเสียงที่ต่างไปจากเมื่อกี้พูด ว่า “ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของแม่หรือของผม ถ้าพ่อทำเรื่องไร้ มนุษยธรรมแบบนี้ พวกเรายอมไปตายดีกว่า! ดังนั้น นี่มัน ไม่ใช่เหตุผลของพ่อด้วยซ้ำ!

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตอนแรกถูกอาการป่วยของคุณหญิง เพียงดาวดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ทำไม่ได้ แล้วต่อจากนั้น ล่ะ? ทำไมผิดแล้วผิดอีก แม้กระทั่งเพื่อผลประโยชน์แล้ว ยังต่อรองกับองค์กรSC?

ถูกบังคับหรือว่าสมัครใจเอง เรื่องที่ทำมันมีความแตกต่างกันนะ!

นาทีนี้ ในใจของเตชิตยิ่งดูถูกไกรสรขึ้นไปอีก

เขาเดินจากไปพร้อมใบหน้าที่มีรอยฝ่ามืออย่างไม่

ลังเล

เดินออกจากคฤหาสน์ของภิรมย์ภักดีพร้อมรอยฝ่ามือ เตชิตก็ไม่สนสายตาของคนอื่น ในใจแค่คิดอยากจะเดิน ออกไปข้างนอกอย่างเดียว เดินออกมาจากคฤหาสน์ของ ตระกูลภิรมย์ภักดีถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองลืมขับรถออกมา

แต่ให้เขากลับเข้าไปคฤหาสน์ของตระกูลภิรมย์ภักดี อีก เขาก็ไม่ยอม

เขารู้สึกอากาศของที่นั่นมันอัดอั้นจนเขาไม่สามารถ หายใจได้ เขาไม่อยากกลับเข้าไป แต่สภาพแวดล้อมของ คฤหาสน์ของตระกูลแถวนี้เงียบสงบมาก หรือต้องบอกว่า อยู่ในที่เปลี่ยวมาก

ที่นี่อย่าบอกว่ารถเมล์เลย กลางคืนแม้แต่รถส่วน บุคคลยังยากที่จะได้เห็น

เตชิตได้เพียงแต่หยิบมือถือออกมา สไลด์ดบันทึกการสื่อสาร

เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ไม่อยู่กับที่ มีเพื่อฝูงเยอะ แต่ ส่วนมากก็เป็นเพื่อนที่มาประสบสอพลอเขาทั้งนั้น ถ้า หากเขาทุกข์ยากลำบากก็คงพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทำ เป็นไม่รู้จักเขาแล้ว ดีที่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ถูกคนที่มีจุด ประสงค์พวกนั้นหลอก

เพื่อนไม่ได้สำคัญที่เยอะเท่าไหร่ แต่สำคัญที่ดีเท่า ไหร่ เพื่อนที่เขาคบอย่างจริงใจก็มีอยู่ไม่กี่คน

ครอบครัวของภูวเนศเป็นทหาร เรื่องของตระกูล ภิรมย์ภักดีคนส่วนใหญ่ไม่รู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าบ้าน ของภูวเนศจะไม่มีช่องทางได้ข่าว เตชิตรู้สึกไม่มีหน้าไป เจอเพื่อนรักคนนี้ จึงไม่อยากเรียกภูวเนศออกมา

ปฐพีคนนี้ก็ไม่เอางานเอาการเหมือนเขา เปิดสถาน บันเทิงด้วยใจเล่นๆ แต่ไม่นึกเลยว่าธุรกิจยังไปได้สวย แต่ ปฐพีเหมือนเขา ต่างก็เป็นคนโผงผางพูดจาตรงไปตรงมา ปากของเขายังไว้ใจไม่ได้เท่าตัวเองเลย

ส่วนธีระ ตอนนี้เตชิตสะอิดสะเอียนจนแทบอยากจะ ลงมือฆ่าเขาตาย ธีระถูกต่อต้านออกจากวงการเล็กๆของ พวกเขาไปตั้งนานแล้ว
คิดไปคิดมา เพื่อนซี้ที่อยู่ข้างกายพวกนี้ คนที่เขา สามารถเรียกออกมาได้ก็มีแต่สาครเท่านั้น สารคเป็นคน ที่นิสัยเยือกเย็น ไม่ชอบพูดจา แต่ผู้ชายไม่มาแคร์เรื่อง นี้หรอก ในเวลานี้สามารถดื่มเหล้าเป็นเพื่อนกับเขาก็ พอแล้ว

สาครบริหารธุรกิจของครอบครัวได้ดีเลยทีเดียว เขา ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่แน่สามารถออกความคิด เห็นให้เขาได้

ยืนอยู่ข้างถนน เขาโทรหาสาคร

หลังจากสาครรับสายแล้วรู้สึกแปลกใจ แต่เคยเงย หน้ามองรอบๆที่คึกคักและครึกครื้นรอบนึง เขาก็ไม่ได้เผย สีหน้าแววตาที่ผิดสังเกตุ แค่พูดกับเตชิตไปครู่เดียว เขาก็ บอกว่าจะออกไปหาเขา

ผู้ชายจะไปไหนมาไหนก็ว่องไวกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว บอกกับภูวเนศและปฐพีคำนึงว่าที่บริษัทของตัวเองมีธุระ ด่วน สาครก็ได้ขับรถออกจากคฤหาสน์ของตระกูลภิรมย์ ภักดีเลย มองเห็นใต้ต้นไม้ของนอกคฤหาสน์มีร่างเงานึง ยืนอยู่ คือเตชิต สาครกำลังจะกดแตร แต่จู่ๆกลับหยุดมือ เอาไว้ มองดูร่างเงาที่อยู่ตรงหน้าแล้วเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา

ถึงแม้นิสัยจะต่างกันมาก แต่ความเป็นเพื่อนรักระหว่างเตชิตกับสาครไม่เฟคเลยสักนิด

ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นเตชิตที่โอหังอวดดีและกำเริบ เสิบสาน เคยเห็นเตชิตที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เคยเห็นเต ชิตที่หน้าชื่นตาบาน แต่หนึ่งเดียวที่เขาไม่เคยเห็นก็คือเต ชิตที่โดดเดี่ยว ก้มหน้าสูบบุหรี่ บนตัวราวกับว่ามีภาระหนัก หน่วงมากขนาดนี้มาก่อน

ลงจากรถ เขาก้าวเท้าเดินไปที่ข้างกายของเตชิต

“เฮ้ย นี่นายเป็นอะไร?” เขาถาม

“ฉันไม่เป็นไร……” เตชิตดับบุหรี่ในมือ ตอนที่โยน ไปที่พื้นยังได้ใช้เท้าก้นบุหรี่ไปหลายที ทีนี้ถึงได้เงย หน้ามองไปที่สาคร ฉีกรอยยิ้มออกมา แล้วแกล้งถามอย่าง ชิวๆ “รถล่ะ? ฉันขึ้นรถเองก็พอแล้ว นายยังมาจู้จี้จุกจิก ถามน่นถามนี่อีก”

สาครก็ไม่ได้พูดอะไรมาก “ไป ขึ้นรถเถอะ”

พอรถขับเคลื่อนได้สักพัก หันหน้าไปดูโดยไม่ได้ ตั้งใจ อาศัยแสงไฟของข้างถนน สาครถึงได้เห็นรอย ฝ่ามือที่อยู่บนใบหน้าของเตชิต

แต่ว่าพอเห็นสีหน้าที่ซีเรียสของเตชิต เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเยอะ

สาครเป็นคนพูดจาน้อย ส่วนเตชิตก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะ เปิดปากพูด ก็เลยเงียบขรึมอยู่ตลอดทาง

รถจอดลงที่หน้าร้านสะดวกซื้อข้างร้านนึง

สาครลงไปซื้อเบียร์มาหลายลัง จากนั้นก็ได้ขึ้นรถขับ

ไปต่อ

รถขับเคลื่อนอยู่บนถนนมาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ รถได้ขับ

ไปที่จุดชมวิวบนเขาที่นึง

ที่นี่เป็นโซนชมวิวที่ไม่เลว ถึงแม้ไม่ใช่สถานที่ๆ หรูหรามีระดับ แต่กลางคืนก็มีคนเฝ้าอยู่ สาครสนิทกับคน เฝ้าประตูของที่นี่มาก โยนเบียร์ให้เขาลังนึงกับบุหรี่แถว นึง คนเฝ้าประตูก็เปิดไม้กั้นให้เขาเข้าไปแล้ว

สายมยามดึกได้พัดเข้ามาผ่านกระจกรถ อุณภูมิค่อยๆ ลดลง พอมาถึงจุดชมวิว อุณภูมิต่ำกว่าข้างล่างหลาย

องศา

เวลาก็ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว แต่ชีวิตกลางคืนของเมือง หลวงยังคึกคักอยู่เลย
มองจากจุดชมวิวนี้ลงไป สามารถมองเห็นครึ่งค่อน เมืองหลวงเลย แสงไฟนับหมื่นดวงกับดวงดาวบนท้องฟ้า ที่อยู่เหนือศีรษะกำลังแข่งกันเปล่งประกาย ทำให้คน มองแล้วมีอารมณ์ที่ชิวๆและผ่อนคลาย ความอัดอั้นตั้นใจ ราวกับว่าได้ถูกสายลมพัดลอยไปไกล รู้สึกโล่งขึ้นเยอะ เลย

หยิบเสื้อกันหนาวออกมาจากท้ายรถสองตัว สาคร โยนไปให้เตชิตหนึ่งตัว แล้วเอาเบียร์กับบุหรี่ออกมา แถม ยังเอากลับแกล้มลงมาด้วย

ถึงเตชิตจะอารมณ์ไม่ดี แต่ก็รู้สึกแปลกใจมาก “นาย เตรียมได้ครบครันดีหนี่ หรือว่านายเป็นคนดูดวงที่สามารถ รู้ล่วงหน้าว่าวันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงได้เตรียมพร้อม ขนาดนี้?

“นายนี่พูดมากจังเลยนะ” สาครหัวเราะเสียงต่ำ หยิบเบียร์ขึ้นมาหนึ่งกระป๋องแล้วโยนไปให้เตชิต “ดื่ม เบียร์เถอะ มีเรื่องในใจอะไรก็พูดออกมา ไม่แน่อาจจะมา เป็นกลับแกล้มได้

เตชิต “….

ที่แท้ความเจ็บปวดจนปัญญาของเขามาถึงที่สาครจะ กลายเป็นกลับแกล้ม
นั่งลงบนพื้น เตชิตดึงฝาออก กรอกเหล้าไปครึ่ง กระป๋องถึงเปิดปากพูด เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “สาคร ที่บ้านฉันเกิดเรื่อง

“หา อะไรนะ?” สาครแปลกใจ

เขาคิดตลอดว่าที่เตชิตอารมณ์ไม่ดี อาจจะเพราะช่วง นี้จีบสาวไม่ค่อยราบรื่น ใครไม่รู้บ้างว่าเตชิตไปชอบผู้หญิง ของเควินเข้า หลงหัวปักหัวป๋าเข้าไปเหมือนไม่มีสมอง?

เมื่อก่อนถ้าเควินสู้รบไปตาย งั้นค่อยยังชั่วหน่อย เต ชิตก็อาจจะมีโอกาศได้ครอบครองสาวสวย แต่ตอนนี้เควิน กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องไม่มีความ หวังแม้แต่เสี้ยวเดียวอยู่แล้ว

ก็ไม่แปลกที่จะอารมณ์ไม่ดี

แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือ เตชิตเปิดปากพูดปุ๊บก็บอกว่า ตระกูลมหาเจริญศิลป์เกิดเรื่อง

“นี่มันอะไรกัน?” สาครสีหน้าจริงจังขึ้นมา จากนั้นก็ พูดต่อว่า “มีเรื่องอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ก็บอกมาเลย จะเอาเงินหรือเอาคนฉันพร้อมทั้งนั้น

“ฉันรู้” เตชิตเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา เพียงแต่เขาไม่ได้คิดจะคาดหวังอะไรจากสาคร แค่อารมณ์ไม่ดี อยากหาเพื่อนคุยเท่านั้น

สาครเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ถึงแม้เรื่องบางเรื่องเตชิตไม่ สามารถพูดให้ชัดเจนขนาดนั้น แต่ก็ได้พูดสถานการณ์ ออกมาอย่างคร่าวๆแล้ว ภาระหนักในใจได้เบาลงไม่น้อย ถึงเรื่องยังแก้ไขไม่ได้อีกเช่นเคย แต่อย่างน้อยก็รู้สึก สบายใจขึ้นหลังจากได้ระบายออกมา

“เพราะฉะนั้น ตอนนี้นายไม่รู้ว่าจะเปิดโปงพ่อนาย มั้ย?” สาครถาม

“ใช่”

“นายยังจงใจลวนลามพิงกี้ต่อหน้าเควิน ก็เพื่อจะหา ข้ออ้างทำลายแผนการของพ่อนาย?”

“ใช่”

“นี่นาย……เฮ้อ!” สาครถอนหายใจทีนึง “นี่นาย ไม่รู้หรอว่านายทำแบบนี้ ไม่เพียงแต่ตัดขาดความคิดของ พ่อนาย แต่ยังตัดขาดทางหนีทีไล่ของนายเองด้วย? ต่อ ไปนายอย่าว่าแต่จะเป็นเพื่อนกับพิงกี้เลย แม้แต่คนรู้จัก ธรรมดายังเป็นไม่ได้แล้ว นายรู้มั้ย?”
ครั้งนี้ เตชิตเงียบไปตั้งนานก็ไม่พูดจา

ถึงแม้สาครจะไม่ชอบพูด มีนิสัยเงียบขรึมและพูด น้อย แต่ยังไงซะเตชิตก็เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของตัวเอง เห็นตอนนี้เขาได้ถลำลึกเข้าไปในสถานการณ์ที่มีปัญหา หนักสุดๆแบบนี้ เขามีใจอยากพูดอะไรอีกหน่อย แต่พอหัน หน้ามองไปที่เตชิต เขากลับพูดอะไรไม่ออกแล้ว………

ภายใต้แสงจันทร์ ภายใต้ดวงดาว

เตชิตนั่งขัดสมาธิ ขาข้างนึงชันเข่าขึ้นมา มือวางไว้ที่ หัวเข่า ฝ่ามือปิดตาไว้ ทำให้ไม่สามารถเห็นแววตานาทีนี้ ของเขา แต่น้ำตาที่ไหลออกมาจากซอกนิ้วกลับปิดไม่อยู่


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ