บทที่347: ใบหน้า แมส
“คุณผู้หญิงรีบช่วยดิฉันด้วยค่ะ ดิฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม คนพวกนี้ต้องจับดิฉันด้วย……….ดิฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่ เป็นเพราะอะไรคะ?
จอยมองมาลาตีด้วยความใจร้อน ขอความช่วยเหลือ อย่างตื่นตระหนก
อาจจะเป็นเพราะว่ากลัว เธอจึงไม่กล้าขัดขืน แต่ ร่างกายที่ผอมบางกลับสั่นไหวอย่างไม่หยุด คนทั้งคน เหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง อาจจะถูกสายลมพัดหล่น ลงพื้นและเสียชีวิตได้ อย่าให้พูดเลยว่าน่าสงสารมากแค่ ไหน
ทำไมดูแล้วเหมือนตระกูลดำรงกูลกำลังรังแกคนที่ อ่อนแอกว่าเลย
แต่ว่า ตอนนี้มาลาตีเองก็ยากที่จะเอาตัวรอด แล้วจะ ไปช่วยคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายได้ยังไงล่ะ?
สำหรับตระกูลภิรมย์ภักดีแล้ว จะลงมือกับมาลาก็ ยังต้องเกรงใจอยู่บ้าง เพราะยังไงซะมาลาตีก็เป็นแม่ของ พิงกี้ ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกจะร้ายแรงแค่ไหน ภายใต้สาธารณชนลงมือหนักกับมาลาตีก็ไม่ค่อยดีเท่า ไหร่
คนเราอยู่บนโลกนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แคร์สายตา ผู้คนเลย ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลภิรมย์ภักดีก็ยังต้องคำนึงถึง มนิมหาชนอยู่
แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามคือคนข้างกายของมาลา งั้นก็ ไม่มีอะไรที่ต้องคำนึงถึงแล้ว
สั่งสอนคนข้างกายของมาลาตี ก็แค่ไม่ไว้หน้ามาลาตี เฉยๆ ไม่มีคนต่อว่าอะไร และไม่มีใครกล้าต่อว่าตระกูล ภิรมย์ภักดีซึ่งๆหน้าด้วย
จอยตะโกนเรียกด้วยความใจร้อน ก็ไม่เห็นมาลาตีมา ช่วยเหลือ มาลาตีรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้เธอเองก็ยากที่จะเอา ตัวรอด ถ้ายังสมองเพี้ยนอยากไปปกป้องจอยอีก เกรงว่า ตัวเองก็คงต้องตกกระไดพลอยโจรด้วย
เธอคิดอยู่ว่าตระกูลภิรมย์ภักดีก็ยังเอาหน้าอยู่ จัดการ จอยครั้งนี้ก็แค่ให้เธอทนทุกข์ทรมานหน่อยเฉยๆ ไม่ถึงขั้น เอาชีวิตเธอ จอยกล้ำกลืนหน่อยจะเป็นไรไป กลับไปเธอ ให้เงินจอยเยอะหน่อย ชดใช้ให้เธอหน่อยก็พอแล้ว
ในใจเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา มาลาก้มหน้าหลีก เลี่ยงไม่กล้าสบตากับจอย และปิดปากไว้เงียบ
เควินยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “ดึงแมสเธอออก ฉันจะดูซิว่าเมื่อกี้ใครกันที่เป็นคนกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลัง ไม่ นึกเลยว่าจะกล้ากลอกหูคุณหญิงมาลามาหาเรื่องว่าที่ ภรรยาของฉัน!”
“ไม่ อย่า! อย่ามาแตะต้องตัวฉัน อย่าดึงแมสของฉัน ออก! ” จอยส่งเสียงกรีดร้องแหลมคมออกมา และยิ่งอยู่ ยิ่งขัดขืนรุนแรงขึ้น ราวกับว่ากลัวคนอื่นเห็นใบหน้าของ เธอ
แต่แล้วเธอถูกบอดี้การ์ดสองคนหิ้วอยู่ในมือ เหมือน ไก่น้อยตัวนึงที่ขัดขืนไม่หลุด
บอดี้การ์ดหนึ่งในนั้นยื่นมือออกมาดึงแมสสีขาวของ เธอออกอย่างไม่แยแส พริบตาเดียวใบหน้าของจอยก็ เผยอยู่ที่ตรงหน้าของผู้คน ทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ต่างก็ตกใจ กันทั้งนั้น
“นี่ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ…….
“ก็ใช่น่ะสิ เป็นแบบนี้ได้ยังไง นี่คงไม่ใช่ถูกทารุณ อะไรมามั้ง?” คนที่พูดคำนี้มองมาลาตีทีนึง เห็นได้ชัดว่า กำลังสงสัยเธอเล็กน้อย
“ฮ่า ไอ้คนขี้เหร่!”
“หน้าบวมขนาดนี้ยังกล้าออกมาเจอผู้คนอีก ไม่รู้ จริงๆว่าไปมั่นหน้ามันโหนกมาจากไหน นี่คงถูกคนซ้อมมา ล่ะสิท่า? ชิ…….แต่ดูแล้วก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่”
เสียงต่ำๆที่อยู่ในระยะประชิดขนาดนี้ซ่อนไม่อยู่ด้วย ซ้ำ ฟังอยู่ในหูของจอยแล้ว เธอสีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งซีด แววตา เต็มไปด้วยความหวาดผวา
ภายใต้สายตาของผู้คนที่จ้องดู เธอรู้สึกตัวเอง เหมือนลิงในละครสัตว์ที่ถูกคนห้อมล้อมดู
เธออยากใช้มือปิดหน้าตัวเองไว้ แต่เธอถูกคน ควบคุมไว้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ ท่าทางที่ ง่ายดายยังไงก็ทำไม่ได้ ได้แต่หลับตาไว้แล้วกรีดร้องออก มาเสียงดัง
พิงกี้สํารวจใบหน้าของลิสาแล้วขมวดคิ้วไว้แน่น
ใบหน้าของหญิงสาวคนนี้มีแต่รอยเขียวช้ำ นอกจาก ช่วงหน้าผาก บนใบหน้าสามารถบอกได้ว่าไม่มีจุดไหนดี เลย เหมือนถูกคนซ้อมอย่างหนักไปรอบนึง ยาMethyl violetที่ทาอยู่บนใบหน้ายิ่งทาจนดูสีผิวเดิมของเธอไม่ ออก
หน้าตาขี้เหร่จริงๆ
แต่ว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
“หน้าเธอเป็นอะไร?” พิงกี้ถาม
“เอ่อ ถูกคนทุบตีค่ะ” จอยเริ่มร้องไห้ขึ้นมา “ก่อนที่ ดิฉันจะมาทำงานอยู่ที่บ้านดำรงกูล อยู่บ้านถูกตีเป็นประจำ เวลาพ่อของดิฉันเมาเหล้าก็จะทุบตีดิฉัน แม่ของดิฉันก็ถูก เขาซ้อมจนตายค่ะ ฮือๆ……..ดังนั้น ดิฉันจึงหนีออกมา แล้วได้เจอกับคุณหญิงมาลาตีค่ะ……….
“เธอเพิ่งมาที่บ้านดำรงกูลไม่นานหรือ?”
“ใช่ ใช่ค่ะ…..คุณผู้หญิงคะ ขอร้องล่ะค่ะ คุณผู้หญิง รีบบอกทุกคนเถอะค่ะ……… จอยมองมาลาตีด้วยสายตา ที่คาดหวัง
เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่พูดออกมายาก มาลาตีจึงได้เปิด ปากพูด “ก่อนหน้านี้ฉันถูกชิงทรัพย์อยู่บนถนน อีกนิด เดียวก็เกือบจะเกิดเรื่อง จอยเป็นคนมาช่วยชีวิตฉันไว้ อย่างไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย เธอมี พระคุณเคยช่วยชีวิตฉัน ฉันเห็นเธอน่าสงสารก็เลยพาเธอ กลับมาบ้าน ให้เธอทำงานอยู่ที่บ้านดำรงกุล
“ก็ไม่ใช่ค่ะ………….” จอยสีหน้าซาบซึ้งใจ “ถึงแม้ดิฉัน จะช่วยชีวิตคุณผู้หญิงไว้ แต่คุณผู้หญิงก็เป็นผู้มีพระคุณ ช่วยชีวิตของดิฉันเหมือนกันค่ะ ถ้าไม่ใช่คุณผู้หญิง ดิฉัน คงหิวตายอยู่ข้างถนนไปตั้งนานแล้วค่ะ”
“จอย เธอนี่เป็นเด็กซื่อสัตย์จริงๆเลย
ทั้งคู่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เป็นละครอีกฉากนึงเลย
แววตาที่มีความสงสัยของพิงกี้ไม่ลดน้อยลงเลย แต่ เธอไม่ได้เปิดปากพูดอีก คิยดูการเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ
เควินเห็นพิงกี้ไม่มีอะไรจะถามแล้ว จึงได้พยักหน้าใส่
รังสิต
รังสิตเดินมาข้างหน้าก้าวนึง เปิดปากพูดเสียงดัง ใส่จอย “ในเมื่อเธอเป็นคนของบ้านดำรงกุล งั้นก็ควรจะ เกลี้ยกล่อมให้เจ้านายของตัวเองทำเรื่องดีหน่อย ไม่นึก เลยว่าเธอจะกลอกหูคุณหญิงมาลาตีให้มาอาละวาทที่นี่ นี่เท่ากับว่าไม่เห็นตระกูลภิรมย์ภักดีอยู่ในสายตาเลย ถ้า หากไม่สั่งสอนหน่อย เกรงว่าคนอื่นคงจะดูแคลนตระกูล ภิรมย์ภักดีเราได้ไ
“ดิฉันเปล่าค่ะ…
“เมื่อกี้คุณหญิงมาลาตีลังเลว่าจะหาเรื่องคุณพิงกี้ อยู่ หรือว่าไม่ใช่เธอที่คอยพูดกลอกหูอยู่ข้างๆ คุณหญิง มาลาตีถึงได้กัดฟันทำให้คุณพิงกี้ลำบากใจ? เรื่องชั่วที่ เคยทำไว้ ยังไงก็ปรากฏขึ้นในสักวัน ถ้าไม่อยากให้คนอื่น รู้ก็เว้นแต่ว่าอย่าทำ จะให้ฉันเปิดกล้องวงจรปิดให้เธอดู มั้ย?”
“ดูกล้องวงจรปิดได้เลยค่ะ ขอร้องคุณเชื่อฉัน เถอะ!” จอยพยักหน้า
มาลาตีสีหน้าแข็งทื่อ
แต่รังสิตกลับหัวเราะเยาะทีนึง “ใช่ ดูกล้องวงจรปิด ได้ก็จริง แต่ทำไมฉันต้องดูด้วย? เพื่อแมลงที่ไม่คุ้มค่าแก่ การเสียแรงอย่างเธอน่ะหรอ? เมื่อไหร่กันที่ตระกูลภิรมย์ ภักดีจัดการคนอย่างเธอต้องใช้เหตุผลด้วย? นายหน่อง นายตู่ ลากเธอออกไปเฆี่ยนห้าสิบที!
ได้ยินคำพูดนี้ของรังสิต สีหน้าของจอยได้เปลี่ยนไป อีก “ไม่ๆ อย่านะ!
เธอตะโกนเสียงดัง แต่กลับไม่อาจทำตามใจตัวเอง
และไม่มีคนขอร้องช่วยเธอเลย
บอดี้การ์ดทั้งสองที่คุมตัวจอยไว้พยักหน้าให้รังสิต และลากเธอที่ร้องไห้เห่าหอนออกไปจากห้องโถง ห้อง โถงถึงได้สงบลงเสียที
เห็นภาพนี้แล้ว มือที่กุมไว้แน่นของมาลาตีได้จับ ไว้อย่างแน่น ริมฝีปากเริ่มสั่นขึ้นมา “พิงกี้ คุณ…คุณเค
“ถ้าหากคุณหญิงไม่สบาย ผมสั่งให้คนไปส่งคุณที่ บ้านดีมั้ยครับ?”
“ดีค่ะ ดีๆๆ!”
มาลาตีกล้าต่อต้านซะที่ไหน?
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ