บทที่ 75 นายไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว
บทที่ 75 นายไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว
รพีพงษ์ออกจากบ้านตอนเช้า เพราะว่าศศินัดดาและ ศักดาไม่ให้เขาแตะต้องรถแลนด์โรเวอร์ ตอนนี้อารียาจึง ขับรถไปกลับด้วยตัวเอง
รพีพงษ์ก็ไม่ได้สนใจรถคนนั้น เพราะการที่ซื้อรถมาก เพื่อความสะดวกในการไปทำงานของอารียา ส่วนเขา เองเมื่อจะไปไหนก็สามารถเรียกแท็กซี่ได้
วันนี้เขาจะไปเอาสัญญาที่สำนักงานสาขาบริษัทซัน บับเบิล เมื่อวานเขาได้คุยกับเธียรวิชญ์แล้ว เธียรวิชญ์ บอกที่อยู่สำนักงานสาขากับเขาแล้วให้เขาเข้ามาเอา สัญญา
รพีพงษ์เดินมาถึงป้ายรถเมล์ เขากะว่าจะนั่งรถเมล์ไป
ระหว่างที่รอรถเมล์ ก็มีรถออดี้คันใหม่เอี่ยมมาจอดเทียบ ที่ป้ายรถเมล์ หน้าต่างรถค่อยๆ เลื่อนลง คนที่นั่งสวมสูท อยู่ในรถก็คือเจตนิพัทธ์
คนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ต่างก็พากันมองเจตนิพัทธ์ที่นั่ง อยู่ในรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
เจตนิพัทธ์เหลือบมองรพีพงษ์แล้วพูดว่า “นี่ไอ้สวะรพี พงษ์ไม่ใช่เหรอ รอรถเมล์อยู่เหรอ กำลังจะไปไหนล่ะ”
รพีพงษ์มองเจตนิพัทธ์แล้วพูดว่า “ไปคุยธุรกิจ”
สักพักเจตนิพัทธ์ก็หัวเราะร่วนออกมา “นี่ฉันไม่ได้ฟังผิด ใช่ไหม นายจะไปคุยธุรกิจเหรอ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยิน คนพูดว่านั่งรถเมล์ไปคุยธุรกิจ”
เมื่อผู้คนที่ป้ายรถเมล์ได้ยินสิ่งที่เจตนิพัทธ์พูดก็ต่างพา กันหัวเราะเยาะรพีพงษ์
“คนนี้ตลกจัง เจ้านายที่ไหนเขาจะนั่งรถเมล์ไปคุยธุรกิจ กัน จะโม้ก็ยังโม้ไม่เป็น”
“น่าตลกสิ้นดี เขาโง่หรือเปล่าเนี่ย สงสัยจะอยากเป็น เหมือนคุณคนหล่อคนนั้น ทำเป็นเท่เหรอไง”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น คนหล่อคนนั้นขับรถหรูขนาดนั้น ดู ก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้านาย อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าไปคุยธุรกิจ ไอ้บ้านนอกนี้จะไปคุยธุรกิจอะไรได้”
เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินคนที่ป้ายรถเมล์พูด เขาก็มีสีหน้า พออกพอใจ
อีกอย่างเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาได้ตกลงกับชรินทร์ทิพย์ เรียบร้อยแล้ว ขอแค่ชรินทร์ทิพย์ไปคุยเรื่องนี้กับท่าน ปู่นภทีป์ อารียาก็จะเลิกกับมัน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ทันที
ท่าทางรพีพงษ์จะยังไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัว เองอยู่เหนือกว่ารพีพงษ์เข้าไปใหญ่
รพีพงษ์เผชิญหน้ากับคำเยาะเย้ยของคนรอบๆ เขาไม่ ได้แสดงสีหน้าอะไรราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
เจตนิพัทธ์กลอกตาไปมา เขาเดาว่าที่รพีพงษ์พูดว่าจะไปเจรจาธุรกิจ อาจจะเป็นเรื่องโครงการที่บริษัทซัน บับเบิ้ล กรุ๊ป
ดูเหมือนว่าอารียายังไม่บอกเรื่องนี้ให้รพีพงษ์รู้ ไม่งั้น ไอ้หมอนี่ก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้
“นายจะไปเจรจาธุรกิจที่ไหน ฉันไปส่งนายดีกว่า ไม่ แน่เราอาจจะไปทางเดียวกัน” เจตนิพัทธ์หัวเราะแล้วพูด ออกมา
ไม่จำเป็น” รพีพงษ์ตอบ
เจตนิพัทธ์แสยะยิ้มในใจ เป็นไปตามคาดว่าไอ้หมอนี่ยัง ไม่รู้ว่าเขาคือคนรับผิดชอบโครงการนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นรอให้ไปถึงบริษัทเขาจะจัดการไอ้หมอนี่อีกสักรอบ
“งั้นฉันไปละ ขอให้นายเจรจาสำเร็จละกัน ถึงตอนนั้น อย่าให้เขาไล่นายออกมาก็ถือว่าดีแล้ว”
เจตนิพัทธ์พูดจบก็เหยียบคันเร่งออกไปทันที
คนที่ป้ายรถเมล์ต่างพากันชี้ไปที่เขาแล้วหัวเราะเยาะใน
ใจ
แน่นอนว่ารพีพงษ์ไม่รู้ว่าเจตนิพัทธ์เป็นคนรับผิดชอบ โครงการนี้ สำหรับเขาแล้ว คนทั้งบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป ต้องฟังเขา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบโครงการก็ไม่เห็นมี อะไรต่าง
ไม่นาน รถเมล์ก็มาจอดที่ป้าย รพีพงษ์ขึ้นรถเมล์ เพื่อ ตรงไปยังสำนักงานสาขาบริษัทซันบับเบิล
หลังจากที่ลงรถ รพีพงษ์หันมองตึกซันบับเบิลที่อยู่ ข้างตัวเอง เขาเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่กี่ปีมานี้ บริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปเจริญเติบโตเร็วมาก สำนักงาน สาขามีมากมายนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถไปดู สำนักงานสาขาทั้งหมดภายได้ในระยะเวลาอันสั้น
อีกอย่างเรื่องของบริษัทก็มีเธียรวิชญ์เป็นคนจัดการ ตอนแรกเขาก็เป็นกังวล แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่ปล่อยวาง แล้ว
เขาเดินเข้ามาภายในตึก จนกระทั่งถึงป้ายบอกทางไป ห้องผู้จัดการ เขากำลังจะเดินไป ขณะนั้นก็ได้ยินเสียง ที่พูดลอยๆ ของผู้หญิงดังขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณมาทำ อะไร”
เธอเห็นเสื้อผ้าตามตลาดอยู่บนตัวของรพีพงษ์ ดู เหมือนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัท ดังนั้น เธอจึงไม่ได้มีท่าทีที่ดีสักเท่าใด
“ผมมาหาผู้จัดการของพวกคุณ” รพีพงษ์พูด
“งั้นคุณนัดไว้หรือเปล่า” ฝ่ายต้อนรับเอ่ยถาม
รพีพงษ์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เธียรวิชญ์ให้ผมมา”
ฝ่ายต้อนรับได้ยินสิ่งที่รพีพงษ์พูดก็เบิกตาโต เธียรวิชญ์ คือประธานสาขา ปกติแล้วไม่มีใครกล้าเรียกชื่อของเขา ตรงๆ
“คุณรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปถามผู้จัดการสักครู่ค่ะ” ฝ่าย ต้อนรับพูด
จากนั้นเธอก็ไปโทรศัพท์
ไม่นาน เธอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าสลด
เมื่อครู่ที่รพีพงษ์เรียกชื่อของเธียรวิชญ์ เธอนึกว่าเขาจะ เป็นคนใหญ่คนโตอะไร แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือผู้จัดการ บอกว่าเขาเป็นคนต้มตุ้น
เธอเห็นเสื้อผ้าบนตัวของรพีพงษ์ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคน ต้มตุ้น ในใจก็หงุดหงิดขึ้นมา
“ผมขึ้นไปได้หรือยัง” รพีพงษ์เอ่ยถาม
“ขึ้นไปเหรอ นายรีบไสหัวออกไปเลยนะ คนต้มตุ้น อย่างนายจะมาเจอผู้จัดการของเรา ฝันไปเถอะ” ฝ่าย ต้อนรับพูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด
รพีพงษ์อิ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าฝ่ายต้อนรับจะมีท่าที เปลี่ยนไปขนาดนี้
“นี่เราเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” รพีพงษ์ถาม
“ฉันกับนายจะมีอะไรเข้าใจผิดกันได้ นายรีบไสหัวออก ไปจากบริษัทของเราซะ ไม่งั้นฉันจะเรียกรปภ. มา” ฝ่าย ต้อนรับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนต้มตุ้นใน บริษัทของตัวเอง
“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใคร” รพีพงษ์ถาม
“รู้ สิ ก็แค่คนต้มตุ้น” ฝ่ายต้อนรับพูดด้วยความไม่พอใจ
รพีพงษ์ไม่อยากจะพูดไร้สาระกับเธออีก แม้ว่าเขาจะมี ความอดทน แต่เขาไม่ยอมให้คนอื่นมาพูดใส่ร้ายเขา ยิ่ง ไปกว่านั้นนี่คือบริษัทของเขา ตำแหน่งเล็กๆ อย่างฝ่าย ต้อนรับ จะมาพูดแบบนี้กับเขาได้อย่างไร
“หลีกไป ผมจะขึ้นไปเอง”
รพีพงษ์เดินตรงไปยังลิฟต์
ฝ่ายต้อนรับเห็นสถานการณ์ก็รีบเข้าไปรั้งเขาไว้”อะไรของนาย นายนึกว่าอยากเจอผู้จัดการของเราก็จะ
ได้เจองั้นเหรอ”
“ถ้านายก้าวไปอีกก้าวเดียว ฉันจะเรียกรปภ. มา เมื่อถึง ตอนนั้นเรื่องมันคงไม่ง่ายแล้วนะ”
รพีพงษ์ไม่สนใจเธอ เขาเดินไปข้างหน้าต่อ
ขณะนั้นเอง ก็มีคนเดินออกมาจากลิฟต์ คนนั้นก็คือเจต นิพัทธ์
รพีพงษ์อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าเจตนิพัทธ์จะอยู่ที่นี่
เขาแสยะยิ้มให้รพีพงษ์ ในแววตาของเขาดูมีเลศนัย
“โอ้ รพีพงษ์นี่นา บังเอิญอะไรขนาดนี้ นายมาเจรจา ธุรกิจที่บริษัทฉันเหรอ” เจตนิพัทธ์พูด
ฝ่ายต้อนรับเดินเข้ามา พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ รังเกียจว่า “ผู้จัดการ ฉันบอกให้คนต้มตุ้นนี่ออกไปแล้ว แต่เขาไม่ไป ยังดื้อด้าน เราเรียกรปภ. มาเถอะค่ะ”
เจตนิพัทธ์โบกมือไปมา เป็นสัญญาณว่าเขาจะจัดการ
เอง
“นายเป็นผู้จัดการที่นี่เหรอ” รพีพงษ์ถาม
“ใช่ ถ้าฉันทายไม่ผิด นายคงมาที่นี่เพราะโครงการนั้น สินะ ฉันจะบอกนายตามตรงนะ คนที่รับผิดชอบโครงการ นี้คือฉันเอง นายคงไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็นแบบนี้ล่ะสิ” เจต
นิพัทธ์พูดอย่างพออกพอใจ
รพีพงษ์เบะปาก เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆ นั่นแหละว่าคนที่รับ ผิดชอบโครงการนี้จะเป็นเจตนิพัทธ์
แต่ว่าไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย
“เอาสัญญาของโครงการนั่นมาให้ฉัน ฉันไม่อยากทำ อะไรให้ยุ่งยาก” รพีพงษ์พูด
เจตนิพัทธ์แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “รพีพงษ์ นายคิดว่าตัว เองเป็นใคร เจ้าของบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปเหรอ ถึงจะ บอกให้ฉันเอาสัญญาให้นาย ฉันก็ต้องให้นายงั้นเหรอ”
“ฉันจะบอกให้นะ นายมันก็แค่ไอ้สวะฉันไม่ไล่นายออก ไปก็ถือว่าไว้หน้านายแล้วนะ”
เมื่อคนในบริเวณนั้นได้ยินสิ่งที่เจตนิพัทธ์พูดก็พากัน ซุบซิบกัน พวกเขาเริ่มจะรู้ว่ารพีพงษ์คือใคร
“อย่าบอกนะว่าเขาคือไอ้สวะที่รู้จักกันทั่วเมืองริเวอร์ คิด ไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามาที่บริษัทของเรา ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร อยู่”
“ยังมาทำท่าเหมือนเป็นเจ้านายของเรา ไม่ตักน้ำใส่ กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง น่าขำสิ้นดี”
“ดูท่าว่าผู้จัดการก็จะไม่ค่อยชอบหน้าเขานะ ฉันว่าเขา ต้องแย่แน่ๆ”
รพีพงษ์ถอนหายใจ เขารู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เจตนิพัทธ์ ต้องไม่เอาสัญญาให้เขาแน่ๆ ดูท่าว่าจะต้องเรียกเธียร วิชญ์มาแล้วล่ะ
“ถ้าตอนนี้นายยังไม่เอาสัญญามาให้ฉัน นายจะต้อง
เสียใจแน่นอน” รพีพงษ์พูด
“ฉันต้องเสียใจเหรอ นายอย่ามาพูดอะไรตลกๆ ที่นี่ สวะ อย่างนายจะทำอะไรฉันได้” เจตนิพัทธ์แสยะยิ้ม “รพี พงษ์ ถ้านายต้องการสัญญานี้ ก็ได้ งั้นนายรีบไปหย่ากับ อารียาซะ แล้วให้เธอแต่งงานกับฉันแล้วฉันจะเอาสัญญา นี่ให้นายตอนนี้เลย”
รพีพงษ์หรี่ตาลง แววตาของเขาเหมือนจะฆ่าคนได้
“นายไม่ได้กำลังหาเรื่องใส่ตัวนะ แต่นายกำลังรนหาที่ ตาย” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อย่ามาอวดดีกับฉัน ฉันจะบอกความจริงให้นายรู้ไว้ เรื่องนี้แม้นายจะไม่ตกลง แต่อารียาต้องตกลง สัญญานี้ ฉันจะให้ตระกูลฉัตรมงคล แต่ต้องให้อารียามาเอาด้วย ตัวเอง นายอย่ามาเสียเวลาที่นี่เลย”
เจตนิพัทธ์พูดจบก็หันไปหาฝ่ายต้อนรับ “ให้คนมาพา มันออกไป ต่อจากนี้อย่าให้คนต้มตุ้นแบบมันเหยียบเข้า มาที่บริษัทอีกแม้แต่ก้าวเดียว”
ฝ่ายต้อนรับรีบพยักหน้าทันที จากนั้นก็รีบวิ่งไปเรียก
รปภ.
รพีพงษ์รู้สึกเบื่อหน่าย ขนาดอยู่ในบริษัทของตัวเอง ยัง โดนคนพวกนี้ปฏิบัติแบบนี้กับเขา มันไม่ยุติธรรมจริงๆ
แต่ว่าตอนนี้ความอดทนของเขาไม่ได้ไร้ความหมาย บุรุษที่ซ่อนอาวุธเอาไว้ ต้องลงมือในโอกาสที่เหมาะสม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะเปิดเผยตัวตน
ภายในพริบตา ฝ่ายต้อนรับก็พารปภ. มาตรงหน้าเขา เธอจ้องเขาอย่างน่ากลัว “จะให้โอกาสนายครั้งสุดท้าย ออกไปซะ ไม่งั้นฉันจะให้คนโยนนายออกไป
รปภ. พวกนั้นมองเขาด้วยแววตาดุร้าย กล้ามเนื้อของ พวกเขาเป็นมัดๆ
รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นมา ขยับกล้ามเนื้อกันหน่อยละกัน ฉันจะได้รู้ว่ารูปภ. ของที่นี่ เป็นยังไง ผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์กันแน่”
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ