แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่ 504 ผิดคน



บทที่ 504 ผิดคน

บทที่ 504 ผิดคน

กรุ๊ปKIN

จิรเวชนั่งอยู่ในห้องทํางาน เขาจ้องเอกสารที่โยษิตาเอามาจน คิ้วขมวด

ในตอนนี้บาดแผลบนใบหน้าของโยษิตาเริ่มดีขึ้นมากแล้ว แต่ ที่แขนของเธอยังมีผ้าพันแผลและใส่ผ้าคล้องแขนอยู่ อาการ ยังน่าเป็นห่วง

“เงินที่เราลงทุนไปในโครงการแผนฟื้นฟูเมืองเก่าถูกใช้ไป เกือบครึ่งแล้ว จากที่ฉันรู้ ถึงแม้ว่าตระกูลลัดดาวัลย์กับหอการ ค้าสมน.จะลงทุนไปเยอะเหมือนกัน แต่ทว่าตั้งแต่เริ่มจนถึง ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้เงินของพวกเขาเลย กลัวว่าครั้งนี้เราจะถูก หลอกแล้วล่ะสิ” โยษิตาเอ่ยขึ้น

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโยษิตา จิรเวชรีบลุกขึ้นมาทันที เขาหยิบเอกสารขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นๆ

“ไอ้นั่นมันซื้อใจไกรเดชได้ยังไงกัน ตระกูลลัดดาวัลย์ใกล้จะ ล่มสลายแล้วนิ ไกรเดชเห็นอะไรในตัวรพีพงษ์ ถึงยอมร่วมมือ กับมัน!” จิรเวชพูดอย่างบ้าคลั่ง

โยษิตาก็ดูเหมือนจะหงุดหงิด แต่ว่าสิ่งที่เธอมีทั้งหมดในตอนนี้คือสิ่งที่จิรเวชมอบให้ ถ้าจิรเวชทำอะไรรพีพงษ์ไม่ได้ เธอก็จนปัญญาเหมือนกัน

“หลังจากที่ฉันร่วมมือกับพี่ไล่รพีพงษ์ออกจากบ้าน มันก็ไม่ เหมือนเดิมอีกเลย ฉันไม่รู้เลยว่ามันมีแผนอะไร หรือเราจะ ประเมินมันต่ำไป” โยษิตาเอ่ยขึ้น

จิรเวชมีสายตาอาฆาต เขากัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ไม่ว่า มันจะมีแผนการอะไร มันก็เป็นคนที่ทรยศตระกูล ถึงมันจะมี แผนการเยอะ แล้วจะทำอะไรฉันได้เหรอ”

“หึ ถึงแม้จะกำจัดตระกูลลัดดาวัลย์ออกจากวงการธุรกิจไม่ ได้ งั้นฉันก็จะเปลี่ยนวิธี ตอนนี้ตระกูลลัดดาวัลย์พึ่งรพีพงษ์แค่ คนเดียว แค่กําจัดมัน ตระกูลลัดดาวัลที่ไม่มีหัวหน้าตระกูลจะ อยู่ได้อย่างไรล่ะ”

โยษิตาสัมผัสได้ถึงรังสีอาฆาตจากตัวจิรเวช เธอแอบตกใจ เล็กน้อย และเข้าใจแล้วว่าคุณชายแห่งตระกูลนิธิวรสกุล แตก ต่างจากเหล่าคุณขายในเมืองเกียวโต

ในใจของเธอคิดว่ารพีพงษ์เทียบไม่ได้กับจิรเวช

“ครั้งก่อนที่นายพูดถึงคนที่มีฝีมือจากเทือกเขากิสนา เขาเก่ง ขนาดเลยเหรอ แล้วเทือกเขากิสนาคืออะไร ทำไมฉันถึงไม่ เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” โยษิตามองจิรเวชแล้วเอ่ยถามขึ้น

“เทือกเขากิสนาคือสถานที่ลึกลับที่คนชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ คนระดับเธอจะไปรู้จักเทือกเขากิสนาได้ยังไง” จิรเวชแบะปาก “อันดับเทพเจ้าแห่งสงครามแห่งเทือกเขากิ สนา คือสิ่งที่แสดงความแข็งแกร่งของเหล่านักสู้ คนที่ฉันเชิญ มา อยู่ในอันดับต้นๆ ของอันดับเทพเจ้าแห่งสงคราม ในเทือก เขากิสนา คนคนนี้ได้รับการขนานนามว่าราชัน เขาแค่คน เดียวสามารถต้านทานพวกอันธพาลที่ไม่ได้เรื่องนับร้อยนับ พันคน ถ้าในสมัยโบราณเขาก็คือกองทัพกองทัพหนึ่งเลยล่ะ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่จิรเวชพรรณนาออกมา โยษิตารู้สึกหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าในสมัยนี้ยังมีคนที่สามารถต้านทานคนได้เป็นกอง ทัพ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงแม้ว่ารพีพงษ์จะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ คงไม่สามารถต้านทานคนที่จิรเวชพูดถึงได้อย่างแน่นอน

“แล้วคนที่นายเชิญมา จะมาถึงเมื่อไร” โยษิตาเอ่ยถาม

เทือกเขากิสนาห่างจากเกียวโตมาก อีกทั้งการที่จะเชิญคน ออกมาจากเทือกเขากิสนาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แต่จากที่ ฉันคาดการณ์ เขาน่าจะถึงเกียวโตในอีกไม่ช้า”

“ฉันคิดไว้หมดแล้วว่าจะจัดการกับรพีพงษ์อย่างไร ตอน นี้ขาดแต่คนที่มีฝีมือคนนี้เท่านั้น ขอแค่เขามาถึง ฉันจะได้ ดำเนินการตามแผน

“ครั้งนี้ฉันจะทำให้มันตายไม่มีที่ฝัง!”
รอยยิ้มเผยขึ้นที่มุมปากของจิรเวช แววตาของเขาเต็มไป ด้วยความคาดหวัง

คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์

ขณะนี้รพีพงษ์กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องนั่งเล่นกับชายสวมชุด สูทสีฟ้า และมีแว่นตากรอบทองประดับอยู่บนใบหน้า

ชายผู้นี้มีชื่อว่าณัฐปภัสร์ เขาคือประธานบริษัท อสังหาริมทรัพย์บันดุงในเกียวโต บริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุ งมีชื่อเสียงในเกียวโตไม่น้อยเลยทีเดียว ในยุครุ่งเรือง บริษัทนี้ ต่างชั้นกับตระกูลลัดดาวัลย์เพียงนิดเดียว

ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าตระกูลลัดดาวัลย์มีฐานะอย่างไรในเกียวโต บริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงก็ไม่พลาดโอกาสที่จะได้ประจบ ประแจงรพีพงษ์

และประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุง เป็นหนึ่งในผู้ที่มี คุณสมบัติไม่กี่คนที่จะได้นั่งพูดคุยกับรพีพงษ์

“ความสามารถของนายใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์นานทีจะได้ เจอสักคน อายุเพียงเท่านี้ ก็สามารถพาตระกูลลัดดาวัลย์มา อยู่มาถึงระดับนี้ นี่เป็นเรื่องน่าอายสำหรับคนที่มีใช้ชีวิตมานาน อย่างพวกผม” ณัฐปภัสร์พูดชมรพีพงษ์
“คุณก็พูดเกินไป” รพีพงษ์ตอบกลับอย่างมีมารยาท

“ตอนนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงชอบที่ผืนหนึ่งที่อยู่ไม่ ไกลจากเมืองเก่า ตอนนี้ยังเป็นสถานสงเคราะห์เด็ก ผมซื้อที่ ผืนนั้นไว้แล้ว และวางแผนจะรื้อถอนสถานสงเคราะห์เด็ก แล้ว ค่อยลงมือก่อสร้าง ไม่แน่อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจาก นายใหญ่ หวังว่านายใหญ่จะช่วยดูแลพวกเราด้วยนะครับ” ณัฐปภัสร์เอ่ยขึ้น

ตอนนี้รพีพงษ์กำลังคิดถึงเรื่องที่อารียาประสบมา โดยไม่ได้ ฟังคำพูดของณัฐปภัสร์เลยแม้แต่น้อย เขาจึงพยักหน้าไปตาม ที่ณัฐปภัสร์พูด

“ใบชาพวกนี้ผมให้คนไปซื้อมาจากยูนนาน เป็นใบชาที่เก็บ ด้วยมือและเป็นใบชาที่ได้รับการคัดเลือกอย่างดี ถึงมันจะ ไม่ใช่ของขวัญอะไร หวังว่านายใหญ่จะไม่ถือสาและรับเอาไว้ ครับ”

ณัฐปภัสร์ยื่นกล่องใบชามาทางรพีพงษ์ บนกล่องมีกระดาษ อยู่ใบหนึ่ง บนกระดาษนั่นมีรายชื่อของกำนัลชิ้นโต รวมๆ กัน ก็ราคาประมาณล้าน ใบชาก็แค่เปลือกนอก สิ่งที่ณัฐปภัสร์ ต้องการให้คือรายชื่อของที่อยู่ในกระดาษ

รพีพงษ์ก้มมองกล่องใบชา แล้วเอากระดาษที่อยู่บนกล่องคืน ให้ณัฐปภัสร์ และรับเพียงกล่องใบชาเอาไว้

“ผมจะรับกล่องใบชานี่ไว้ เดี๋ยวจะเอาไปให้พ่อตาดื่ม ส่วนที่เหลือนั่นก็ช่างมันเถอะ นี่ก็สายแล้ว ผมจะแวะไปหาพ่อตาสัก หน่อย ท่านคทา ช่วยดูแลคุณณัฐปภัสร์ด้วยนะ”

รพีพงษ์พูดพลางลุกขึ้นจากโซฟา และเดินออกไปข้างนอก

คนที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างท่านคทายิ้มและพูดกับณัฐปภัสร์ว่า “นายใหญ่ของเราไม่ชอบคนที่ส่งของแพงๆ ให้ คุณณัฐปภัสร์ เก็บกลับไปเถอะครับ”

ถึงแม้ณัฐปภัสร์จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เขาก็ไม่กล้าพูด อะไร อย่างน้อยรพีพงษ์ก็รับกล่องใบชาไป เขาเคยได้ยินมา ว่าไม่เคยมีใครมอบของให้รพีพงษ์ได้สำเร็จสักคน นับว่าเขาดู ดีแล้วเหมือนเทียบกับคนอื่น

หลังจากที่รพีพงษ์ออกมาจากคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดา วัลย์ และมาถึงที่พักของศักดา เขาเอากล่องใบชาให้ศักดา และถามศักดาว่าชินกับการอยู่ที่นี่หรือยัง

เมื่อรพีพงษ์เพิ่งมาถึง ศักดาก็เอาแต่ซาบซึ้ง และสารภาพสิ่งที่ เคยทำผิดพลาดและปฏิบัติไม่ดีกับเขาในอดีต

รพีพงษ์ทนไม่ไหวที่ศักดาเอาแต่พึมพำอยู่ข้างหู เขาจึงอยู่ได้ ไม่นาน เขาพูดว่ามีธุระและออกมาจากที่นั่น

เมื่อถึงหน้าประตู ตอนแรกรพีพงษ์กะไว้ว่าจะเรียกแท็กซี่ไปดูอาการของจารุณีที่อาคารTY ขณะที่เขาเดินมาถึงริมถนน และกำลังจะยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ มีใครบางคนโผล่มาชน เข้ากับมือของเขา

ผู้หญิงคนนั้นตัวบอบบาง และกำลังหอบเอกสารอยู่ ตอนที่ เธอชนกับรพีพงษ์ เธอเสียการทรงตัวจนล้มลงไปกับบนพื้น

เธอรีบเก็บเอกสารที่กระจายเต็มพื้น ดูเหมือนว่าเธอจะรีบ รพี พงษ์รู้สึกผิดจึงรีบคุกเข่าลงไปช่วยเก็บเอกสารขึ้นมา

“ขอโทษจริงๆ ครับ พอดีผมไม่ทันเห็นคุณ เลยยื่นมือออกไป ขวางทางคุณ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” รพีพงษ์ถามอย่าง เป็นห่วง

ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้าและยิ้มให้รพีพงษ์ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเก็บ

เองได้”

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ถึงกับอึ้งไป เพราะว่าผู้หญิงตรงหน้า เหมือนอารียาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่เธอยิ้ม รพีพงษ์ นึกว่าอารียากลับมาแล้ว

“อะ อารี ใช่คุณหรือเปล่า”

ผู้หญิงคนนั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “อารีคือใคร

รพีพงษ์เพิ่งตั้งสติได้ เขามองเธอใหม่อีกครั้ง และพบว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแค่มีแววตาเหมือนอารียาเท่านั้น ทั้งสองคน มีความแตกต่างกันอยู่มาก รพีพงษ์คงคิดถึงอารียามากไปจน ทําให้มองผิดไป

“ขะ ขอโทษครับ ผมจำผิดคน” รพีพงษ์พูดอย่างประหม่า

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเก็บเอกสารเสร็จก็รีบวิ่ง ออกไป

รพีพงษ์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ผู้หญิงคนนั้นเรียกความทรงจําของ เขาที่มีต่ออารียา เมื่อคิดว่าไม่รู้อารียาอยู่ที่ไหน เขาก็เจ็บปวด ใจขึ้นมา

“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เหมือนจะรีบมาก เหมือนเจออะไรมา เธอ เหมือนอารียา น่าจะเป็นคนจิตใจดี ไปดูให้รู้ว่าเธอเจออะไรมา น่าจะดีกว่า จะได้ช่วยเธอด้วย ฉันจะได้วางใจขึ้นด้วย”

รพีพงษ์พูดพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็วิ่งตามผู้หญิงคนนั้นไป

ผู้หญิงคนนั้นรีบมาก ร่างอันบอบบางวิ่งอย่างรวดเร็วเหมือน กับเจอเรื่องอะไรมาจริงๆ

รพีพงษ์เดินตามหลังผู้หญิงคนนั้น เขาคิดในใจว่าถ้าเป็นเรื่อง ไม่ดีจริงๆ เขาจะได้ช่วยเธอไว้ แต่ถ้าไม่ใช่หรือเป็นเรื่องที่เขา ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ เขาจะได้ปล่อยมันไป

ไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นเลี้ยวเข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง มันเป็นทางลัดออกมาที่หน้าประตูใหญ่แห่งหนึ่ง

หลังจากที่รพีพงษ์ตามมา เขาพบว่าที่บนประตูนั่นเขียนว่า “สถานสงเคราะห์เด็ก” แต่ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นสนิมหมดแล้ว ดูเหมือนว่าที่นี่จะอยู่มานาน

อีกทั้งในเวลานี้มีรถแมคโครสองคันจอดอยู่หน้าประตูสถาน สงเคราะห์เด็ก อีกทั้งยังมีวัยรุ่นหลายคนยืนถือไม้ตะบองอยู่ ข้างรถแมคโคร ดูเหมือนว่าจะมาทำเรื่องไม่ดี

ที่หน้าประตูสถานสงเคราะห์เด็กมีผู้ใหญ่สองสามคนพาเด็ก ออกมาจ้องรถแมคโครทั้งสองคนอย่างไม่ชอบใจนัก สีหน้า ของพวกเขาเหมือนกำลังโกรธอยู่

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า รพีพงษ์ก็พอเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

การรื้อถอนไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคที่ที่ดินมีค่าดั่งทอง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ