แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่318 ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี



บทที่318 ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี

บทที่318 ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี

สองวันต่อมา

ดงเย็น คฤหาสน์กลางเมือง

“ไม่ได้เด็ดขาด ตอนนั้นพวกลูกสองคนจัดงานแต่งกัน คนครึ่ง เมืองริเวอร์ก็เห็นเป็นเรื่องตลกกันหมด หรือว่าพวกลูกยังอยาก โดนหัวเราะเยาะอีกครั้งเหรอ? แม่ไม่เห็นด้วย พวกลูกอยากจัด งานแต่งอีกครั้งงั้นเหรอ ไม่มีทาง” ศศินัดดาโมโหเดือดดาลจ้อง รพีพงษ์กับอารียา ราวกับจะกินสองคนนี้ลงไป

ศักดาก็สีหน้าดูแย่กำลังมองทั้งสองคนเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยปาก บอก “อารี ตอนนี้แม่ของลูกไม่บังคับให้พวกลูกสองคนหย่ากันก็ดี แค่ไหนแล้ว พวกลูกอย่าหาความคิดที่ไม่ดีอะไรอีกเลย”

อารียากัดริมฝีปากไว้มองพ่อแม่ของตนเอง บอกว่า “เมื่อก่อน พวกเขาหัวเราะเยาะพวกเรา เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ความดีของ รพีพงษ์ ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว รพีพงษ์ทำอะไรมากขนาดนี้ เพื่อพวกเรา หนูกับเขาจะจัดงานแต่งอีกสักครั้งจะเป็นอะไรกัน?
“ยัยลูกโง่ของฉัน รพีพงษ์มีอะไรดี หรือเพราะช่วงก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลลัดดาวัลย์ เขาก็ดีแล้วเหรอ ถึงแม้เขาจะเป็นคนของตระกูลลัดดาวัลย์ แต่ก็เป็นแค่เด็กโดนทิ้ง ของตระกูลลัดดาวัลย์ สมบัติของตระกูลลัดดาวัลย์ไม่เกี่ยวข้อง อะไรกับเขาสักนิด ตอนนี้เงื่อนไขชีวิตของพวกเราดีจริงอยู่ แต่นั่น ก็เพียงแค่ส่วนน้อยนิดที่เขาเอามาด้วยตอนโดนไล่ออกมา แค่นี้จะ พอทำอะไรได้ เขาจะไปเทียบกับผู้สืบทอดแท้จริงของตระกูลลัด ดาวัลย์ได้ยังไง” ศศินัดดาตอบโต้กลับ

“ถึงแม้รพีพงษ์จะไม่ใช่ผู้สืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ แต่นั่นก็โดด เด่นกว่าคนตั้งมากมาย เขาเป็น…. อารียาตื่นเต้นพอสมควร เกือบพูดเรื่องที่รพีพงษ์เป็นประธานของบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ป ออกมา

แต่ว่าเธอยังกลั้นไว้ทัน รพีพงษ์เคยกำชับเธอ สถานการณ์ อันตรายบนโลกใบนี้ช่างมากมาย ทำตัวกำเริบเกินไม่ได้ บางครั้ง การปิดซ่อนก็เป็นเรื่องดี

ถ้าเธอพูดเรื่องที่รพีพงษ์เป็นประธานของบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ป ออกมา บางทีอาจสามารถทำให้ศศินัดดาเลื่อมใสสุดจิตสุดใจได้ แต่ว่าด้วยนิสัยปากมากของศศินัดดา จะต้องกระจายเรื่องนี้ออก ไปเป็นแน่

ตอนนี้รพีพงษ์ยังไม่ถือว่าปลอดภัยแน่นอน ตระกูลลัดดาวัลย์ที่เกียวโตคิดว่าเขาตายแล้ว ถ้าเวลานี้เรื่องแพร่ออกไป ตระกูลลัดดาวัลย์ทางนั้นต้องรู้ว่าเขายังไม่ตายแน่ๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเรื่องที่จักรพันธ์ถูกจับก็จะถูกเปิดโปงออกไปด้วย

“เขาเป็นอะไร พูดไม่ออกล่ะสิ ตอนที่เจ้าหมอนี่โดนไล่ออกมา จากตระกูลลัดดาวัลย์ก็เอาสมบัติตระกูลมานิดหน่อย ข้อดีอย่าง อื่นมีอะไร ลูกสาวแม่ดีเลิศขนาดนี้ มีเพียงแค่ผู้สืบทอดแท้จริง ของตระกูลลัดดาวัลย์ต่างหากที่คู่ควร” ศศินัดดาพูดอย่างเหยียด หยาม

อารียากัดริมฝีปาก เกือบตะโกนขึ้นมาใส่ศศินัดดา

เวลานี้รพีพงษ์ยื่นมือประคองไหล่ของเธอไว้ เอ่ยปากบอก “อย่า เถียงกับเขาเลย งานแต่งผมจะจัดให้ แต่ว่ายังไม่รีบ สถานการณ์ ในตอนนี้ยังไม่เหมาะจะทำเรื่องนี้ รอถึงโอกาส จัดอีกทีก็ไม่สาย

ที่รพีพงษ์บอกว่าโอกาสยังมาไม่ถึง ย่อมเป็นเพราะตระกูลลัด ดาวัลย์ที่เกียวโต ถ้ารพีพงษ์กับอารียาจัดพิธีแต่งงานอีกครั้ง ต้อง กลายเป็นข่าวใหญ่ของเมืองริเวอร์แน่นอน วีธรารู้ว่าจักรพันธ์อยู่ ที่เมืองริเวอร์ ต้องติดตามข่าวทางนี้แน่

ดังนั้นรพีพงษ์อยากจะจัดพิธีแต่งงานกับอารียาอีกครั้ง คงต้อง รอหลังจากจัดการความวุ่นวายของตระกูลลัดดาวัลย์ที่เกียวโตทางนั้นเสร็จก่อน

อารียาได้ยินรพีพงษ์เกลี้ยกล่อม จึงไม่ทะเลาะกับศศินัดดาต่อไป

ศศินัดดามองรพีพงษ์อย่างดูถูกแวบหนึ่ง บอกว่า “ยังรอโอกาส ซะด้วย ฉันว่าชาติ นายไม่มีโอกาสนี้แล้วล่ะ นายตัดใจไปซะ เถอะ”

ศักดาจ้องมองรพีพงษ์ทีหนึ่ง บนหน้าเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ย ปากบอก รพีพงษ์ เรื่องงานแต่งไว้พวกเราค่อยคุยกัน ช่วงหลาย วันนี้ฉันปวดหลังอีกแล้ว พอกลางดึกทุกวันจะนอนไม่หลับ ไม่ใช่ ว่านายรู้จักหมอเทวดาชุติเทพคนนั้นเหรอ นายไปเอาแผ่นแปะแก้ ปวดให้ฉันหน่อยสิ

อารียาจ้องศักดาตาเขม็ง บอกว่า พ่อ พ่อยังมีหน้าที่ไหนมา ให้รพีพงษ์ไปช่วยเอาแผ่นแปะแก้ปวด เมื่อกี้ตอนที่พ่อตำหนิร พงษไม่มีอะไรสักอย่างตามแม่ทำไมถึงไม่คิดบ้างว่าตัวเองจะมา ขอร้องรพีพงษ์ ในเมื่อพ่อกับแม่คิดว่ารพีพงษ์เป็นสวะ งั้นก็ไปเอา เองสิ ยังขอให้เขาทําอะไรอยู่อีก

ศักดาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาทันที ตอบว่า “นี่พ่อไม่ใช่เชื่อฟัง แม่เขาเหรอ พ่อไม่กล้าขัดหล่อนน่ะ นิสัยของหล่อนเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าลูกไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อปวดจริงๆ ไม่สบายตัวมาก ดีเลวยังไงรพีพงษ์ก็เป็นลูกเขยพ่อ ไปช่วยเอาแผ่นแปะแก้ปวดหลังหน่อยนี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเหรอ”

“เชอะ ตอนที่ขอร้องเขา เขาก็เป็นลูกเขยพ่อ ตอนที่ขอไม่ได้ พ่อ แม่ก็คิดหาทุกวิถีทางไล่เขาไป พ่อกับแม่ทำเกินไปจริงๆ” อารียา พูดออกหน้าช่วยเพื่อรพีพงษ์ที่โดนรังแก

ศศินัดดาโกรธเคืองมาก ตะโกนขึ้น “อารียา ทำไมลูกพูดกับพวก เราแบบนี้ นี่จะเป็นการขอร้องเขาได้ยังไง นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เขา ควรทำ พวกเรายังต้องขอร้องเขาเหรอ? เขาติดค้างบ้านพวกเรา อยู่ พวกเราให้เขาทำงาน เขาก็จำเป็นต้องทำ

“แม่” อารียาโมโหศศินัดดาจนลุกขึ้นมาทันที เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมตนเองถึงมีพ่อแม่ที่ไร้เหตุผลขนาดนี้

รพีพงษ์มองพวกเขาทะเลาะกันก็ปวดหัวอยู่บ้าง ยื่นมือจับแขน อารียาไว้ ดึงเธอออกไปด้านนอกคฤหาสน์ พลางบอกว่า “อย่า ทะเลาะกับพวกเขาเลย ผมจะไปหาชุติเทพเพื่อเอาแผ่นแปะแก้ ปวด เรื่องงานแต่ง อย่าพึ่งไปปรึกษากับพวกเขา ถึงเวลาผมจะคิด หาวิธีเอง”

อารียาถอนหายใจทีหนึ่ง เอ่ยปากบอก “ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขา ทำเกินไป พวกเขาทำกับนายแบบนี้ได้ยังไง”

“ความคิดแรกมักเป็นความคิดฝังใจเท่านั้นเอง ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องมีสักวัน พวกเขาคงรู้จักความผิดของตัวเอง” รพีพงษ์ หัวเราะ

อารียาพยักหน้า สูดหายใจลึกๆ ที่หนึ่ง พูดขึ้น “แผ่นแปะแก้ปวด ของพ่อฉันนั้นนายไม่ต้องสนใจเขา ให้เขาหาวิธีเอง ตามใจพวก เขาแบบนี้ไม่ได้”

รพีพงษ์หัวเราะแล้วบอกว่า “เรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แค่นี้ ยิ่งผมต้องไปหาชุติเทพอยู่ด้วยพอดี ครั้งก่อนช่วยเขาเล่น หมากรุก เขายังไม่ได้ตอบแทนผมเลย จะให้เขาเอาเปรียบแบบนี้ ไม่ได้

เห็นรพีพงษ์พูดขนาดนี้ อารียาจึงได้แต่พยักหน้า หลังรพีพงษ์ เดินไป ก็ไปผ่อนคลายอารมณ์ในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์คน เดียวแล้ว

รพีพงษ์ขี่จักรยานไฟฟ้าออกจากดงเย็น รีบเข้าไปที่คลินิกของ ชุติเทพตลอดทาง

เพราะคลินิกของชุติเทพอยู่กลางซอยเส้นหนึ่ง รพีพงษ์จอด รถจักรจักรไฟฟ้าไว้ในซอยก็ดูจะเกะกะอยู่บ้าง ดังนั้นจึงจอดรถ จักรยานไฟฟ้าไว้ที่ข้างถนนแล้ว

เวลานี้รถเบนซ์ทรงใหญ่รุ่นจีคันหนึ่งขับเข้ามาทางนี้ กระจกรถ ของรถคันนั้นปลดลงมา คนที่ขับรถเป็นวัยรุ่นแต่งตัวทันสมัย ส่วนที่นั่งข้างคนขับก็คือชายวัยกลางคนที่ไว้จอนผมเป็นสี ขาว ระหว่างใบหน้าสองคนมีความคล้ายคลึงกันบางส่วน

“นี่ เอารถไฟฟ้าพังๆ คันนั้นของนายเข็นไปด้านข้างให้ฉันเลยนะ ฉันจะจอดรถตรงนี้” วัยรุ่นตะโกนไปทางรพีพงษ์อย่างไม่เกรงใจ

รพีพงษ์หันหน้ามองวัยรุ่นบนรถคันนั้นที่หนึ่ง บอกว่า “พื้นที่นี้ มีไว้ใช้จอดรถไฟฟ้ากับจักรยาน นายอยากจอดรถก็ไปหาที่อื่น เถอะ”

วัยรุ่นได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ รีบด่าไปทันที “แม่งเอ๊ย ตาบอด ไง ที่อื่นยังมีให้จอดรถที่ไหนกัน ฉันจะเอารถจอดตรงนี้ รีบเอา รถไฟฟ้าพังๆ คันนั้นของนายถอยไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันบดให้ดู

รพีพงษ์ขมวดคิ้วแล้ว คาดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะหยาบคายไร้ เหตุผลเช่นนี้ แวบเดียวสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเย็นเฉียบขึ้นมา “วันนี้ฉันจะจอดรถไฟฟ้านี้ไว้ตรงนี้ ฉันจะดูว่าใครกล้าแตะ

“แม่งเอ๊ย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีใช่มั้ย คิดว่าฉันไม่กล้าทำรถนายใช่ มั้ย?” วัยรุ่นตะคอกใส่รพีพงษ์ไป
“คนที่ไม่รู้จักดีเลวคือพวกนายต่างหาก” รพีพงษ์พูดอย่างเมิน เฉยประโยคหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในซอยด้านข้าง ไม่ สนใจวัยรุ่นคนนั้นว่ามีปฏิกิริยาอะไร

ถ้าที่นี่เป็นที่จอดรถยนต์ งั้นรพีพงษ์อาจจะขยับรถไฟฟ้า ก หน่อย แต่ว่าที่นี่เป็นที่จอดรถไฟฟ้ากับจักรยาน รพีพงษ์ไม่ได้จอด ผิดตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าวัยรุ่นคนนี้

“พวกตาต้อยคนหนึ่ง กล้ามาเสแสร้งต่อหน้าฉัน คิดว่าฉันนิเวก หาเรื่องได้ง่ายจริงเหรอ รถไฟฟ้าคันนี้นายไม่ต้องเอาอีกแล้ว”

นิเษวกแอบด่าสักที จากนั้นเหยียบคันเร่งทันที บดบนรถไฟฟ้า ของรพีพงษ์แล้ว

ชายวัยกลางคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างคนขับมองนิเษวกทำแบบนี้ แต่ไม่ได้ขัดขวาง เพียงแค่เอ่ยปากบอก “นิเษวก นิสัยของลูก ฉุนเฉียวไปบ้าง ต่อไปบันยะบันยังหน่อย

“พ่อ กับไอ้พวกต่ำต้อยแบบนี้มีอะไรต้องบันยะบันยัง ในสังคมนี้ คนมีเงินถึงเป็นคุณชาย ถึงแม้พวกเรามาจากที่อื่น แต่ว่าพวกเรา ก็มีญาติที่เมืองริเวอร์ พ่อไม่ใช่บอกว่าตระกูลกุลสวัสดิ์เป็นตระกูล อันดับหนึ่งของเมืองริเวอร์เหรอ เป็นญาติห่างๆ ของพวกเรา ไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้พ่ออยากไปเยี่ยมเยียนคนอื่นเขาด้วยนี่ มีตระกูล อันดับหนึ่งแบบนี้เป็นที่พึ่ง ยังมีใครกล้าหาเรื่องพวกเราอีก” นิเษวกพูดอย่างเหยียดหยาม

ชายวัยกลางคนหัวเราะพลางส่ายๆ หน้า และไม่มีความหมาย ตำหนิ เอ่ยปากบอก “จอดรถให้เสร็จก่อนเถอะ ไปเยี่ยมเยียน ตระกูลกุลสวัสดิ์เป็นเรื่องรอง เป้าหมายสำคัญในครั้งนี้คือมาหา หมอเทวดา ท่านนั้นเพื่อช่วยรักษาอาการบนตัวลูกให้หาย ครั้ง นี้ขอให้หมอเทวดา ท่านนี้ลงมือได้ พ่อเสียไปมากมาย เดี๋ยวไป แล้ว ลูกต้องพูดจากับคนอื่นเขาดีๆ ด้วย”

“ได้เลย รู้แล้วครับพ่อ” นิเษวกพูดอย่างไม่อดทน

รพีพงษ์ไม่รู้ว่ารถไฟฟ้าของตนเองโดนคนอื่นบดเข้าให้ เขาเดิน มาถึงด้านในคลินิกของชุติเทพ หลังเข้าไป ก็มองเห็นชุติเทพกับ เจสสิก้าทั้งสองคนกำลังต้มยาอยู่

“นี่ใครไม่สบาย ต้มยาทำไมกัน?” รพีพงษ์ยิ้มถามประโยคหนึ่ง

ชุติเทพกับเจสสิก้าทั้งสองหันหน้าเข้าไป หลังเห็นว่าเป็นรพี พงษ์ ชุติเทพกับเจสสิก้าก็เอ่ยปากพร้อมกัน “นี่คือ……”

สองคนมองหน้ากันและกัน ชุติเทพหัวเราะขึ้นมา บอกว่า “เธอ ดูสิ ทุกครั้งพอรพีพงษ์มา เธอยัยเด็กคนนี้ก็ชอบแสดงออกขึ้นมา เลย ทำไมพอคนอื่นมา ไม่เห็นเธอจะกระตือรือร้นขนาดนี้”
ชั่วขณะนั้นเจสสิก้าทำเสียงฮึดฮัด บนหน้าเผยสีแดงเขินอาย ออกมา บอกว่า “ใครอยากพูดกัน ฉันไม่ได้พูดสักหน่อย”

รพีพงษ์มองผู้ใหญ่และเด็กสองคนนี้แบบไม่รู้จะร้องไห้หรือ หัวเราะดี คิดในใจว่าที่พวกเขากลายมาเป็นอาจารย์กับศิษย์กันได้ เกรงว่าไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ

“นี่คือยาของคนคนหนึ่งที่จ่ายเงินมามากเพื่อให้ฉันปรุงให้ วันนี้ เขาจะเข้ามารับยา ถือโอกาสให้ฉันช่วยดูอาการลูกชายเขาด้วย ฉันต้มยานี้ไว้ก่อน ถึงตอนนั้นให้พวกเขาเอาไปได้เลย” ชุติเทพ พูดขึ้น

รพีพงษ์พยักหน้า ยิ้มบอก “ชุติเทพ ครั้งก่อนที่ผมช่วยให้คุณ ชนะคนของตระกูลธนาพชร์กุล หรือว่าจะให้แล้วกันไปอย่างนี้เห รอ หรือว่าคุณไม่ควรจะแสดงน้ำใจหน่อยเหรอ?”

ชุติเทพหัวเราะชอบใจ ตอบว่า “ฉันไม่ใช่บอกแล้วเหรอว่าจะยก เจสสิก้าให้เป็นเมียน้อยนาย นายก็ไม่เอาอีก นี่โทษฉันไม่ได้นะ

เจสสิก้าได้ยินคำพูดของชุติเทพ ชั่วพริบตาเดียวก็ถลึงตาใส่ชุติ เทพ กัดฟันพูด “อาจารย์ คุณค้นหลังมากสินะ ฉันทุบหลังให้คุณ หน่อยมั้ย”

“ไม่ล่ะๆ อาจารย์ยังอยากมีชีวิตอีกหลายปี” ชุติเทพรีบบอก
รพีพงษ์จำใจ รู้ว่าตนเองอยากเอาผลประโยชน์หน่อยคงเป็นไป ไม่ได้แล้ว ได้แค่มาเอาแผ่นแปะแก้ปวดแทนศักดาแล้ว

ตอนที่สามคนพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ด้านนอกคลินิกก็มีสองคน เดินเข้ามา นั่นคือนิเษวกและบิดา ไพรำ

“หมอเทวดาช พวกเรามารับยา ไม่ทราบว่าตอนนี้สะดวกมั้ย ครับ?” ไพรตะโกนเสียงดังไปทางด้านใน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ