แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่ 143 รู้ว่าผิดแต่ก็ไม่ยอมแก้ไข



บทที่ 143 รู้ว่าผิดแต่ก็ไม่ยอมแก้ไข

ชายวัยกลางคนแทบจะร้องไห้ออกมา ความรู้สึก และเงินจํานวนสองร้อยล้านหายไปในพริบตา มัน ทําให้เขาเจ็บปวดจนทะลุเข้าไปในหัวใจ

อีกอย่างที่นี่เป็นที่ของตระกูลกุลสวัสดิ์ สิ่งที่กุนล โรจน์ก็ไม่ผิด ของที่ออกจากมือเราไปแล้วก็ไม่มี เหตุผลอะไรที่จะทวงคืนกลับมา

หลังจากที่เขาโดนรปภ.กดตัวลงกับพื้น เขาจึงรีบ ท่าตัวเองขึ้นมาทันที

กุนลโรจน์หันไปหารพีพงษ์ ความชื่นชมปรากฏขึ้น บนใบหน้าของกุนลโรจน์ “สายตาของคุณรพีพงษ์ เฉียบแหลมต่างจากคนทั่วไป คิดไม่ถึงว่าจะมอง ออกว่ายังมีภาพที่ซ้อนอยู่ใต้ภาพนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ สายตาอันเฉียบแหลมของคุณรพีพงษ์ ก็คงจะไม่มี ใครเห็นคุณค่าที่แท้จริงของภาพนี้

ทุกคนพากันพูดเสริมว่ารพีพงษ์เป็นคนที่เยี่ยมยอด มาก ขณะนี้ไม่มีใครอยู่ข้าง จารุพิชญ์ แม้แต่คน

เดียว
ท้ายที่สุดแล้วพวกเขามองแค่ผลลัพธ์เท่านั้น รพี พงษ์สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ภาพเลียนแบบ นี่มัน ไม่ใช่ความสามารถที่คนธรรมดาทั่วไปจะมี

สีหน้าของ จารุพิชญ์ ดูไม่ดี เมื่อกี้เขาทายถูกว่ารพี พงษ์จะทําอะไร แต่เขาคิดว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมันมี น้อยมาก จึงไม่ได้สนใจอะไร

ใครจะไปคิดล่ะว่ารพีพงษ์จะทำให้เรื่องที่ไม่คิดว่า จะเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นได้ แถมยังเป็นภาพจริงของWu Daoziปรมาจารย์ด้านการวาดภาพ นี่มันราวกับการ ตบหน้าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าผ่านครั้งนี้ไป ชื่อเสียงด้านการประเมินวัตถุ โบราณอันดับหนึ่งแห่งเมืองริเวอร์ของเขาคงจะลด ลงไม่น้อย

อาชีพการประเมินวัตถุโบราณต้องใช้ชื่อเสียงใน การหาเงิน ครั้งนี้จารุพิชญ์มองไม่เห็นคุณค่าที่อยู่ ใต้ภาพนี้ แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของ เขา เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนคงต้องพูดว่าเขาแพ้ให้กับ เด็กอายุยี่สิบกว่า

สำหรับ จารุพิชญ์ แล้วนี่คือความอับอาย เพราะเรื่องนี้ทำให้หลายคนสงสัยในระดับความสามารถใน การประเมินวัตถุโบราณของเขา

เขาหันหน้าไปมอง จารุกิตติ์ ในใจอยากจะบีบคอ ลูกศิษย์โง่ๆ คนนี้จนใจจะขาด ถ้าไม่ใช่เพราะ จารุ กิตติ์ พูดใส่ไฟ เขาก็คงไม่แข่งกับรพีพงษ์

ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะแพ้ มันยังกระทบต่อชื่อเสียง ของเขาอีกด้วย อย่าบอกนะว่าตอนนั้นที่รพีพงษ์พูด ว่า จารุกิตติ์ จะหาเรื่องให้เขา ดูไปดูมารพีพงษ์พูด ไม่ผิดแม้แต่น้อย

รพีพงษ์มองไปยังทุกคนแล้วพูดว่า “ตอนนี้ถือว่า การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว พวกคุณตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะเลือกใคร”

จารุพิชญ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “ไม่ต้อง ตัดสินใจแล้ว ผมแพ้แล้ว

ทุกคนคิดว่าการที่ จารุพิชญ์ยอมรับว่าตัวเองแพ้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว พวกเขาคิดว่าความสามารถ ของ จารุพิชญ์เทียบไม่ได้กับรพีพงษ์จริงๆ

จารุกิตติ์ก่นด่าในใจแล้วพูดว่า “อาจารย์ งานเลี้ยงคืนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย พวกเราไปกันเถอะครับ

อยากจะไปจากบ้านตระกูลกุล สวัสดิ์ให้เร็วที่สุด

รพีพงษ์หัวเราะแล้วเหลือบมองเขาจากนั้นจึงพูดขึ้น มาว่า “คุณจะไปแบบนี้เหรอ น่าจะไม่ดีเท่าไรนะ ลืม การเดิมพันของเราก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอ”

จารุกิตติ์จ้องรพีพงษ์เขม็งจากนั้นเขาจึงพูดว่า พงษ์ นายอย่ามาเกินไปหน่อยเลย อาจารย์ของ ฉันแค่พลาดไปถึงแพ้ให้นาย การเดิมพันเมื่อกี้ถือว่า ไม่เป็นผล

สําหรับเขาแล้ว รพีพงษ์เป็นแค่ไอ้สวะ ถึงเขาจะ เล่นตุกติกไม่ยอมรับคนอื่นก็คงไม่พูดอะไร

พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่ยอมรับสินะ คิดไม่ถึงว่า ลูกศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจะหน้าไม่อายขนาด นี้ นี่คุณกำลังทำให้อาจารย์ของตัวเองขายหน้านะ รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดออกมา

จารุกิตติ์ด่าออกมาอย่างร้อนรน “พูดบ้าอะไร! แกว่าใครหน้าไม่อาย แกมันแค่ไอ้สวะ มีสิทธิ์อะไรมาด่า ฉัน!”

รพีพงษ์ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนในลานกว้างเริ่มไม่ พอใจขึ้นมา

“นายตาบอดหรือไง ความสามารถในการประเมิน ค่าวัตถุโบราณของเขาสูงกว่าอาจารย์ของนายตั้ง เยอะ ถ้าเขาเป็นสวะ แล้วอย่างนายเรียกว่าอะไร?

“น่าขำสิ้นดี ทุกวันนี้ยังมีคนหน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ อีกเหรอเนี่ย นี่คงจะไม่ใช่สิ่งที่ จารุพิชญ์ สอนมา หรอกนะ ถ้าจารุพิชญ์ก็เป็นคนแบบนี้ งั้นต่อจากนี้คง ไม่มีใครกล้าให้เขาไปประเมินค่าวัตถุโบราณอีกแล้ว ล่ะ”

“คิดไม่ถึงว่า จารุพิชญ์ จะสอนลูกศิษย์ออกมาเป็น แบบนี้ ดูท่าแล้วก็คงไม่มีความสามารถอะไร ต่อจาก นี้ปรมาจารย์ด้านการประเมินค่าวัตถุโบราณคงจะ ต้องเปลี่ยนคนแล้วล่ะ”

เมื่อจารุพิชญ์ฟังคำพูดของทุกคน เขาก็โกรธจนหน้าตำหน้าแดง จารุกิตต์ ทำให้ขายหน้าจนไม่มีชน แล้ว

เขาเดินเข้าไปหาจารุกิตติ์แล้วค่าออกมาทันที “แก มันไอ้สวะ มีสิทธิ์อะไรไปว่าคนอื่น กล้าเดิมพันแต่ไม่ ยอมรับว่าแพ้ การเดิมพันนี้แกเป็นคนพนันกับเขา ตอนนี้กลับไม่ยอมรับ ใครเป็นคนสั่งสอนแก?”

“ถ้าวันนี้แกไม่ยอมทำตามสิ่งที่พนันกันเอาไว้ แกไม่ ต้องมาพูดว่าเป็นลูกศิษย์ของจารุพิชญ์อีกต่อไป!

จารุกิตติ์หวาดกลัวขึ้นมาในทันที ตอนนี้ทุกสิ่งทุก อย่างของเขาคือสิ่งที่จารุพิชญ์มอบให้ ถ้าจารุพิชญ์ ไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ ทุกคนต้องโจมตีเขาเป็น แน่ เมื่อถึงตอนนั้นชีวิตของเขาคงน่าสังเวชเป็นอย่าง มาก

เขามองรพีพงษ์ด้วยสายตาเคียดแค้น หลังจากนั้น เขาก็อ้าปากอย่างไม่เต็มใจ

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง”

เมื่อทุกคนได้ยินจารุกิตติ์เห่าออกมา ต่างก็พากันหัวเราะร่วนออกมา ไม่เหลือเยื่อใยให้กับจารุกิตติ์กับ

จากพืชแม้แต่น้อย

รพีพงษ์ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เห็นท่าทางทุกข์ ระทมของ จารุกิตติ์ แล้ว เขารู้สึกว่ามันน่าขำาสิ้นดี

จารุกิตติ์ ขายหน้าจนไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้อีก ต่อไป หลังจากที่เขาเห่าเสร็จแล้วก็รีบออกจากบ้าน ตระกูลกุลสวัสดิ์ทันที

จารุพิชญ์สีหน้าไม่สู้ดี หลังจากคุยกุนลโรจน์สอง สามคําก็ออกจากที่นี่ไปเช่นกัน

รพีพงษ์ให้กุนลโรจน์นำภาพ’Born of Gautama Buddha’ ไปเก็บไว้ จากนั้นเขาจึงเดินไปหาอารียา

แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คืออารียาไม่ได้อยู่ที่ เดิม รพีพงษ์หันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของอารียา

“นายเห็นภรรยาของฉันไหม” รพีพงษ์ถามกุนล โรจน์

กุนลโรจน์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่าจะไปเข้าห้องน้ำนะ เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลย”

รพีพงษ์ ขมวดคิ้ว ถ้าพูดตามเหตุผลแล้วอารียา ไม่ได้เข้าห้องน้ำนานขนาดนี้ ตอนนี้เมื่อไม่เห็นเธอ ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ

เขารีบถามกุนลโรจน์ทันทีว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน จาก นั้นเขาจึงไปตามหาเธอที่นั่น

เขาเรียกอยู่หน้าห้องน้ำสองสามครั้ง แต่ทว่าไม่มี เสียงตอบกลับมา ทันใดนั้นรพีพงษ์จึงร้อนใจขึ้นมา

“โอ๊ย! นายปล่อยฉันนะ นายอย่าทำแบบนี้” ขณะ นั้นเองก็มีเสียงร้องดังออกมาจากห้องที่อยู่ไม่ไกล

รพีพงษ์ฟังออกว่าเป็นเสียงของอารียา เขารีบบก เข้าไปทันที

เขาใช้เท้าข้างเดียวในการถีบประตูแล้วรีบเข้าไป ในห้อง เขาเห็นกุมุทกำลังกดตัวอารียาลงบนเตียง มือของเขากำลังจับเสื้อของเธออยู่

สีหน้าของอารียาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แวว ตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ตอนนั้นเธอเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วชนเข้า กับกุมุท ตอนนั้นกุมุทกำลังโมโหร พงษ์พอดี เมื่อ เห็นว่าอารียามาเข้าห้องน้ำคนเดียว ความคิดชั่วๆ จึง ผุดเข้ามาในห้องของเขา

ในฐานะที่เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลกุลสวัสดิ์ ปกติเขาก็ทําเรื่องไม่ดีเยอะอยู่แล้ว ถึงรพีพงษ์กับ อารียาจะเป็นแขกที่พ่อของเขาเชิญมาร่วมงาน กุมุท ก็ยังคงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

รพีพงษ์ก็แค่ไอ้สวะ อารียาก็เป็นแค่คนไม่มีอะไรใน ตระกูลฉัตรมงคล ไม่ว่าจะมองยังไง สองคนนี้ก็ไม่ สามารถข่มขู่อะไรเขาได้ การที่พ่อของเขาปกป้อง รพีพงษ์คงจะเป็นเพราะว่าไม่อยากให้คนอื่นคิดว่า ตระกูลกุลสวัสดิ์ก้าวร้าว

ดังนั้นกุมุทจึงจับอารียาเขามาในห้องเพราะอยาก จะทําเรื่องที่สายเกินแก้กับเธอ

ถึงแม้หลังจากเรื่องนี้พ่อของเขาจะสั่งสอนเขา อย่างมากที่สุดก็แค่ทุบตีเขาเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้ เสียกับภรรยาของรพีพงษ์ นี่ถือว่าเป็นการตอบโต้ ครั้งยิ่งใหญ่
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือตอนนี้เขากำลังจะตะครุบ เหยื่อ จู่ๆ ก็มีคนกับประตูเข้ามาจนทําให้ตกใจจน ขวัญหนีดีฝ่อ

“ให้ตายเถอะ ครั้งนี้จะเป็นใครอีกล่ะ ทำไมต้องมี คนมาขีดความสุขของฉันอยู่ตลอด!” กุมุทก่นด่า

เขาหมุนตัวไปมองข้างหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นรพีพงษ์ จึงรีบถุยน้ำลายลงพื้นทันที

“ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้สวะอย่างแกอีกแล้วเหรอ ทำไมนาย ต้องมาหาเรื่องทุกครั้งเลยนะ” กุมุทเอ่ยขึ้น

รพีพงษ์ไม่ได้พูดอะไรแต่กลับเดินเข้าไปจับมือของ อารียาแล้วพาเธอลงมาจากเตียง

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” รพีพงษ์เอ่ยถาม

อารียาส่ายหน้าไปมา ความตื่นตระหนกบนใบหน้า จางหายไปแล้ว แค่รพีพงษ์ปรากฏตัว ก็จะไม่มีอะไร เกิดขึ้นกับเธอ

หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าอารียาไม่เป็นอะไรแล้ว รพี พงษ์จึงหันไปมองกุมุท เขายกเท้าถีบไปยังกุมุทจนตัวของกุมุทกลาไปติดกำแพง

“ฉันเคยให้โอกาสแกแล้วครั้งหนึ่ง แต่แกไม่รักษา มันเอาไว้เอง ครั้งนี้ฉันจะไม่ให้โอกาสแกอีกแล้ว” รพี พงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

กุมุทกุมท้องของตัวเองแล้วลุกขึ้นมาจากพื้น สีหน้า เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“รพีพงษ์ ให้ตายเถอะ! นี่มันบ้านของฉัน แกกล้า มาทําร้ายฉันในบ้านของฉันงั้นเหรอ!” กุมุทพู กัดฟันกรอด

“บ้านของแกแล้วยังไง แกทำร้ายภรรยาของฉัน มาสองครั้ง ถึงจะต่อหน้าพ่อของแกฉันก็จะหักขา ของแก” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น

กุมุทแสยะปากแล้วพูดว่า “นี่แกกล้ามาพูดจาโอหัง ที่นี่ ถ้าฟอของฉันมา แกจะยังกล้าหักแขนหักขาของ ฉันไหม ฝันไปเถอะ!”

กุมุทเอานกหวีดออกมาแล้วใช้แรงเป่าออกไป

นกหวีดอันนี้เป็นสิ่งที่พ่อของเขาเตรียมให้เขาโดยเฉพาะ ขอเพียงแค่ได้ยินเสียงของนกหวีด บอดี้ การตที่เก่งที่สุดในตระกูลกุลสวัสดิ์ก็จะออกมาปก ป้องเขาทันที

เป็นไปตามที่คาดไว้ ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีคน ประมาณเจ็ดถึงแปดคนมาอยู่บริเวณนอกห้องที่ กมทอยู่

“คุณชาย มีอะไรหรือเปล่าครับ มีคนจะทำร้ายคุณ เหรอครับ” หัวหน้าบอดี้การ์ดเอ่ยปากถาม

กุมุท ไปที่รพีพงษ์แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ไอ้หมอนี่มัน จะฆ่าฉัน พวกแกรีบจับมันเอาไว้

บอดี้การ์ดประมาณสองสามคนเดินเข้าไปหาร พงษ์ เมื่อเห็นว่าเป็นคนหนุ่มที่แข่งกับ จารุพิชญ์ เมื่อ ครู่นี้ พวกเขาจึงลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

พวกเขาเห็นความเก่งกาจของรพีพงษ์และรู้ว่าผู้นำ ตระกูลกุลสวัสดิ์ให้ความสำคัญกับรพีพงษ์ เพราะ ฉะนั้นพวกเขาไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรลงมือกับเขา

กุมุทเห็นคนพวกนั้นลังเลอยู่จึงเอ่ยปากด่าทันที “ให้ ตายเถอะ พวกแกยืนอึ้งอะไรกัน ไปจัดการมัน
“คุณชาย ….

“ให้ตายเถอะ นี่มันบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ อย่าบอก นะว่าพวกแกกลัวคนนอก?” กุมุทด้วยสีหน้าที่เต็มไป ด้วยความโมโห

ขณะนั้นเองมีคนหนุ่มสวมสูทจงซานเดินหลังตรง

ผ่านมาทางนี้พอดี

หลังจากที่กุมุทเห็นคนคนนั้นตาของเขาก็เป็น ประกายขึ้นมาทันที เขารีบพุ่งเข้าไป ทำเป็นยิ้มแล้ว พูดขึ้นมาว่า “พี่ ธนาตย์ ตอนนี้พี่มีธุระอะไรไหม พอดีว่ามีคนที่ไม่รู้ความมาก่อเรื่องในบ้านตระกูลกุล สวัสดิ์ของผม พี่ช่วยจัดการมันให้ผมหน่อย”

ธนาตย์เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของโยษิตา ช่วงนี้ โยษิตาอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์

กุมทเห็นความสามารถของ ธนาตย์ ตั้งแต่วันแรก ที่ธนาตย์และโยษิตามาที่บ้าน บอดี้การ์ดในบ้าน ตระกูลกุลสวัสดิ์รวมกันยังไม่สามารถสู้กับ ธนาตย์ ได้เลย
ดังนั้นเขาจึงวิธีที่จะได้เป็นเพื่อนกับ ธนาตย์ นอกจากคอยคุ้มกันโยษิตาแล้ว โดยปกติถ้าไม่มี อะไรเขาก็จะออกไปกินดื่มกับกุมุท ไปๆ มาๆ พวก เขาจึงสนิทกัน

วันนั้นที่โยษิตาเจอรพีพงษ์ ธนาตย์ รออยู่อีกห้อง หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าการที่โยษิตามาเมืองริเวอร์ เพื่อมาหารพีพงษ์

“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาก่อเรื่องในบ้านตระกูลกุล สวัสดิ์ ตระกูลกุลสวัสดิ์ของพวกคุณเป็นตระกูล อันดับหนึ่งของเมืองริเวอร์ไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงมีคน กล้ามาหาเรื่องล่ะ” ธนาตย์ เอ่ยถาม

“ไอ้คนนั้นมันแค่คนโง่ คิดว่าตัวเองมีความสามารถ นิดหน่อย ก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คนพรรค์นี้ต้อง ให้คนที่มีฝีมืออย่างพี่ ธนาตย์ มาจัดการ” กุมุทพูด อธิบาย

ธนาตย์ หัวเราะออกมา เขากำลังเบื่ออยู่พอดี ตอน นี้พอได้ยินกุมุทพูดว่ารพีพงษ์มีความสามารถก็เรียก ความสนใจของเขาขึ้นมาทันที

“ไปกันเถอะ ฉันขอไปดูหน่อยว่าเป็นใครที่กล้าเข้ามาก่อเรื่องในบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์”

กุมุทรีบพา ธนาตย์ เข้าไปในห้องแล้วชี้นิ้วไปทาง รพีพงษ์ จากนั้นจึงพูดว่า “มันไง นอกจากเตะต่อย มันก็ไม่มีอะไรดีแล้ว แถมมันยังเกาะผู้หญิงกิน พี่ ธนาตย์ ช่วยสั่งสอนมันแทนผมหน่อย

ธนาตย์ เหลือบมองรพีพงษ์ แล้วถามขึ้นมาว่า “นาย มีความสามารถด้านการเตะต่อยเหรอ”

“นายมายุ่งเรื่องไม่เข้าเรื่องเหรอ” รพีพงษ์พูดด้วย น้ำเสียงเย็นชา

เมื่อ ธนาตย์ เห็นว่ารพีพงษ์ไม่มีความเกรงใจขนาด นี้ เขาจึงแสยะยิ้มเย็นยะเยือกออกมา จากนั้นเขาก็ พุ่งเข้าไปเพื่อที่จะทำร้ายรพีพงษ์

เมื่อกุมทเห็นว่า ธนาตย์ ลงมือ จึงรีบพูดกับรพีพงษ์ ว่า “ไอ้สวะ แก ฝีมือของพี่ ธนาตย์ไม่ได้หรอก รีบ คุกเข่าสํานึกผิดแล้วฉันจะขอร้องให้พี่ธนาตย์ไว้ชีวิต แก”

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจกุมุท เขาเข้าไปต่อกรกับ ธนาตย์ หลังจากที่สู้กันสักพัก รพีพงษ์เอ่ยถามธนาตย์อย่างประหลาดใจ “นายเป็นคนของตระกูล

ลัดดาวัลย์เหรอ”

ท่วงท่าเมื่อครูมีเพียงคนในตระกูลลัดดาวัลย์ เกียวโตเท่านั้นที่ใช้เป็น

แห่ง

ธนาตย์อึ้งไป ไม่รู้ว่าทำไมรพีพงษ์ถึงดูออก เขาเอ่ย ถาม “นายรู้ได้ยังไง?”

ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของ ธนาตย์ เขา ขาคอเสื้อของกุมุทแล้วถามขึ้น “เขาชื่ออะไร?”

กุมุทตกใจจนสะดุ้งออกมา จากนั้นจึงพูดว่า “ระ รพี พงษ์ไง ไอ้สวะที่ขึ้นชื่อในเมืองริเวอร์

ใจของ ธนาตย์ กระตุกวูบ เขามองรพีพงษ์อย่างไม่ เชื่อสายตา คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้คือคนที่โยษิตามาหา คุณชายแห่งตระกูลลัดดาวัลย์

เมื่อกี้เขาจะทำร้ายคุณชายแห่งตระกูลลัดดาวัลย์ ถ้าโยษิตารู้ขึ้นมาต้องถลกหนังเขาแน่ๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ