แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่ 44 ผมไม่โทษคุณที่คุณมีคิวต่ำ



บทที่ 44 ผมไม่โทษคุณที่คุณมีคิวต่ำ

ดวงตาของ เจตนิพัทธ์ เบิกกว้าง รอยยิ้มน่าอึดอัด ปรากฏบนใบหน้าคราหนึ่ง จากนั้นเขาก็อยากจะลอน มือตัวเองออกไป

แต่ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ รพีพงษ์ไม่ตั้งใจจะปล่อย เมื่อเห็นว่าเขาจะถอนออก กลีบบีบแน่นขึ้นแทน

ไอ้เด็กนี้ไม่ใช่สวะหรอกเหรอ? ทำไมแรงเยอะ ขนาดนี้? ช่วงนี้ฉันออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่ง โค้ช ในยิมยังแทบจะแข็งแรงไม่เท่าฉันด้วยซ้ำ

เจตนิพัทธ์ ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อ เห็นว่า รพีพงษ์ไม่ยอมปล่อยมือ กำลังคิดจะเริ่ม ออกแรง อยากจะให้บทเรียนรพีพงษ์สักหน่อย

อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน มือของ รพีพงษ์ล้วนไม่มีการไม่ตอบสนองใดๆ กลับเป็นมือของเขา ที่ถูก รพีพงษ์บีบจนยิ่งมายิ่งเจ็บ

เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเจตนิพัทธ์ มือ ของเขาก็เจ็บไม่อาจใช้แรงได้อีก แต่เขาก็ต้องอดทน ต่อไป เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าหากให้บุษบากรกับอารียาเห็นว่าอันที่จริงเขา เทยบ เม เตแม้แต่สวะชิ้นหนึ่งด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นไปได้ ว่าน่าอับอายเกินไปแล้วจริงๆ

รพีพงษ์หัวเราะเยาะในใจ ตั้งแต่แรกเขาก็เดาเอา ไว้แล้วว่าเจตนิพัทธ์คนนี้จะต้องให้เขาลงจากหลังม้า น่าเสียดาย ที่เขาไม่ให้โอกาสนี้กับ เจตนิพัทธ์

“พวกคุณสองคน ทำไมไม่นั่งลง จะยังจับมือกันเพื่อ อะไร?” บุษบากรถามขึ้นประโยคหนึ่งอย่างค่อนข้าง แปลกใจ

“นั่นสิรพีพงษ์คุณนี่กระตือรือร้นเกินไปแล้ว ถ้าจับ ต่อไปอีก มือผมคงจะแตกแล้ว” เจตนิพัทธ์ฉวยโอกาสนี้ รีบเอ่ยประโยคหนึ่ง

รพีพงษ์ด้วยเหตุนี้จึงปล่อยเขา ดูท่าทีของ อารียาก็ นั่งลงแล้ว

เจตนิพัทธ์ ทันใดนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกครา หนึ่ง มือของเขาตอนนี้กลายเป็นสีม่วงหน่อยๆ ซึ่ง เป็นอาการของเลือดไม่ไหลเวียน

ถ้าหากว่าตอนนั้น รพีพงษ์ยังดึงดันจะจับต่อไป มือ ข้างนี้ของเขาอาจจะใช้การไม่ได้แล้ว

เจตนิพัทธ์ ไม่มีทางให้บุษบากรกับอารียาเห็นมือ ข้างนี้ของเขา เขายื่นเมนูให้ แล้วฉวยโอกาสขณะ ที่ บุษบากรกำลังสั่งอาหาร ลูบมือของตัวเองอย่าง รวดเร็ว

แม่มันเถอะช่างเป็นตัวชั่วร้ายจริงๆ ไอ้เด็กนี่พละ กำลังบนมือเยอะมากจริงๆ ดูเหมือนว่าวันนี้ไม่ได้เขา ดูสีหน้าสักหน่อย เขาคงไม่รู้ว่าตัวเองกี่จินกี่เหลี่ยง

แล้ว
เจตนิพัทธ์พึมพำอย่างร้ายกาจในใจ กำลังคิดว่า ต้องหาโอกาสล้างแค้นคราวนี้ให้ได้

“ใครๆต่างก็บอกว่ารพีพงษ์ได้ชื่อว่าเป็นสวะแห่ง เมืองริเวอร์ วันนี้ได้พบกันครั้งแรก ก็ไม่ได้รู้สึกเหลือ ทนขนาดนั้นเหมือนที่คนอื่นพูด” เจตนิพัทธ์ แสรังพูด อย่างใจเย็น

“งั้นคุณก็มองเขาสูงแล้วจริงๆ เขาเป็นได้แค่สวะ ตั้งแต่หัวจรดเท้า คุณดูสิฉันว่าเขาแบบนี้ เขายังไม่ กล้าพูดอะไรเลย” บุษบากรพูดไปพลางเล่นมือถือไป

พลาง

“บุษ!” อารียาเรียกเธอเสียงหนึ่งอย่างค่อนข้าง

หงุดหงิด

บุษบากรแลบลิ้นใส่ อารียาแล้วไม่พูดอีก

ทันใดนั้นเจตนิพัทธ์ก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมา ในใจคิดว่ารพี พงษ์คนนี้ประมาณว่าวันวันเอาแต่ทำงานบ้าน พละ กำลังจึงมากขนาดนี้ นอกจากจุดนี้แล้ว เขาก็เป็นได้ แค่สวะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
เขาหัวเราะสองเสียง และเปิดปากพูดว่า: “ผมคนนี้ เป็นคนพูดตรงๆ คำพูดเมื่อกี้ดูเหมือนจะพูดไม่ถูกอยู่ บ้าง หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะ”

รพีพงษ์มองเขาแวบหนึ่ง พูดเบาๆว่า : “คุณอีคิวต่ำ ผมไม่โทษคุณ”

เจตนพหn ตกตะลึงทันที บุษบากรกับอารียาทั้ง สองคนเพราะประโยคที่จู่ๆก็โพล่งออกมานี้ของ รพี พงษ์ เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา

เดิมที่เขากำลังคิดจะแสดงต่อ เขาจึงตั้งใจพูดแบบ นั้น จากนั้นให้รพีพงษ์ช่องโต้แย้งใดๆก็ยังไม่มี

คิดไม่ถึงว่า รพีพงษ์จะพูดความจริงโต้งๆว่าเขาอีคิว ต่ำ จึงทำให้เป็นเขาที่ไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนายังไง แทน

“อะแฮ่ม” เจตนิพัทธ์กระแอมอย่างอึดอัดใจสอง เสียง “รพีพงษ์ช่างเป็นคนมีอารมณ์ขันจริงๆ”
อารียาหันไปมองรพีพงษ์ยิ้มๆแวบหนึ่ง จู่ๆเธอก็รู้สึก ว่า เจตนิพัทธ์ พูดไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ ดูเหมือนว่าจะ ค่อนข้างมีอารมณ์ขันจริงๆ

“อารียาคุณดูสิว่ามีเมนูที่คุณอยากกินรึเปล่า อาหาร หูหนานของที่นี่อร่อยเป็นพิเศษ ” เจตนิพัทธ์ไม่อยาก จะสนใจรพีพงษ์สวะตัวนี้อีกต่อไป จึงหันไปคุยกับ อารียา

อารียาหรี่ตายิ้มๆ แล้วพูดว่า “ให้บุษสั่งเถอะ เธอกิน อะไรฉันก็กินอันนั้นแหละ”

“คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้ คุณจะยังสบายๆ เช่นนี้อยู่ ” เจตนิพัทธ์พูดกลั้วหัวเราะ

หลังจากนั้นเขาก็ยื่นเมนูให้ รพีพงษ์แล้วเปิดปากพูด ว่า “ลองดูสิว่ามีเมนูที่อยากกินรึเปล่า คิดจะมากินข้าว ที่ภัตตาคารสปริงแยงซีชั้นหก ไม่ใช่จะมาได้ง่ายๆ ผมจองที่นั่งอยู่นานมากกว่าจะได้ ปกติรพีพงษ์น่าจะ ยากมากที่จะมากินข้าวในสถานที่แบบนี้ใช่ไหม คุณ ต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้ กินให้เยอะหน่อย”
คำพูดนี้ของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการโอ้อวด ความสุดยอดของเขา ภัตตาคารสปริงแยงซีแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าแกรพีพงษ์ผู้ยากจนเช่นนี้จะมาได้ ให้แกดู เมนูแวบหนึ่ง แล้วให้ราคาของอาหารเหล่านั้นทำให้ แกตกใจตาย

รพีพงษ์แค่รู้สึกว่าเจตนิพัทธ์คนนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าให้ตัวเองสั่งอาหาร ถ้า อย่างนั้นตามธรรมเนียมแล้วจะเกรงใจไม่ได้

“คุณเลี้ยงใช่ไหม?” รพีพงษ์ถามประโยคหนึ่ง

“ตามธรรมเนียมผมเป็นคนเลี้ยง ปกติคุณน่าจะใช้ เงินของอารียาจ่ายทุกอย่างสินะ ให้คุณเลี้ยงก็ไม่ สมเหตุสมผลไปหน่อย” เจตนิพัทธ์กล่าวอย่างจงใจ

รพีพงษ์เม้มปาก จากนั้นก็เรียกบริกรมา และเปิด ปากพูดว่า “อันที่อยู่ในหน้านี้ ยกเว้นปลาตัวนี้ เอา มาให้ผมทั้งหมดชุดหนึ่ง แล้วก็หน้านี้อีก เอาหมด เลย แล้วก็เอาไวน์แดงระดับไฮเอนด์มากอีกสองขวด ส่วนอันอื่นเอาไว้ผมอยากได้แล้วจะเรียกสุนอีกที

ทุกคนต่างก็สั่งกับวิธีการสั่งอาหารชนิดนี้ของรที พงษ์ปริตรถังล้าปากค้าง เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นการ สั่งอาหารอย่างถึงใจขนาดนี้

บุษบากรกับ อารียาก็พากันจ้อง รพีพงษ์ด้วยความ ตกเจ มุม 1กรรู้สึกว่ารฟัพงษ์สั่งอาหารแบบนี้น่า สับอายเกินไปจริงๆ อย่างกับคนไม่เคยกินงั้นแหละ

แต่ที่อารียารู้สึกได้ก็คือ นี่เป็นความตั้งใจของรพี พงษ์เขาอยากจะผลักเจตนิพัทธ์ลงหลุม

เจตนิพัทธ์เหลือบมองอาหารในเมนูสองหน้านั้น ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกค่อนข้างเจ็บปวด อาหาร สองหน้านี้รวมกัน เกรงว่าจะมีสองพันหยวน

แต่ก็ยังอยู่ในกรอบความอดทนของเขา นี่ยิ่งทำให้ เขาเชื่อว่า รพีพงษ์เป็นแค่คนยากจน ไม่เคยกินอะไร เลย ถึงได้สั่งอาหารทีละหน้า
เขาจึงยิ่งดูลูกรพีพงษ์รุนแรงขึ้น รู้สึกว่ารพีพงษ์ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยด้วยซ้ำ และอารียาก็คงไม่ ชอบคนจนเช่นนี้แน่นอน

ไม่นานนัก บริกรก็นำอาหารจานเล็กจานใหญ่ขึ้นมา วางจนเต็มโต๊ะไปหมด

เจตนพทยที่รินไวน์ หยิบขึ้นมาและยื่นแก้วให้อารี ยากับบุษบากรข้ามรพีพงษ์คนเดียวเท่านั้น

รพีพงษ์ก็ไม่สนใจเช่นกัน หยิบตะเกียบกินอาหาร

บุษบากรอยากให้ รพีพงษ์อับอายมากขึ้น จึงถาม ว่า: “หัวหน้าห้อง ทำไมคุณไม่ให้เกียรติรพีพงษ์เลย ล่ะ?”

เจตนิพัทธ์แสร้งทำเป็นนึกอะไรขึ้นได้ทันที รีบหยิบ แก้วไวน์ขึ้นมา และเปิดปากพูดว่า “คุณดูความจำของ ผมนี่สิ ลืมแล้วว่ารพีพงษ์ยังอยู่ที่นี่ ความรู้สึกถึงการ มีอยู่ของเขาต่ำเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าไม่พูด ผมก็แทบ จะมองไม่เห็นเขาด้วยซ้ำ”
บุษบากรหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปมอง รพีพงษ์นึก สงสัยว่าเขาจะแก้ไขความลำบากใจนี้ยังไง

สุดท้ายแล้วการเป็นคนที่ถูกเมิน ก็ยังเป็นเรื่องที่ ทำให้ผู้คนรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ถ้าหากเปลี่ยน เป็นบุษบากร เกรงว่าจะกินอะไรไม่ลงไม่นานแล้ว

ทาทางของรพีพงษ์ยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย เขา เงยหน้าขึ้น แล้วมอง เจตนิพัทธ์ แวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ ชนแก้วกับ เจตนิพัทธ์ จิบไวน์เอง และพูดว่า:

“ไม่เป็นไร คุณสมองไม่ดี สายตาไม่ดี ผมไม่โทษ

คุณ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ