แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่ 150 แข่งเกม



บทที่ 150 แข่งเกม

ธีริทธิ์มองชีพนนท์ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ มึนงง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาก็กระวนกระวายขึ้นมา

“พี่ชีพนนท์ พี่เขยของผมเป็นแค่ไอ้สวะ ทุกคนเห็น คนแบบนี้เป็นแค่ตัวตลก ให้จารุวิทย์กับสหรัฐสนุก กับมันไม่เห็นเป็นอะไรเลย พี่จะกระวนกระวายไป ทำไม” ธีริทธิ์เอ่ยถาม

ชีพนนท์ใช้มือตบหัวธีริทธิ์ไปหนึ่งฉาด จากนั้นจึง พูดเสียงดังว่า “ฉันว่านายนั่นแหละที่เป็นสวะ ตัวตน ของพี่เขยนายน่ะ ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่นายคิดไว้ หรอกนะ!”

“รีบขึ้นรถ แกนี่หาเรื่องซวยให้ฉันเรื่องใหญ่เลยนะ ยังจะมีมีหน้ามาขับรถกินลมชมวิว กินลมชมวิวกะผี น่ะสิ!”

ธีริทธิ์ไม่กล้าพูดอะไร เขาทำได้เพียงกลับไปนั่ง ตรงเบาะข้างคนขับอย่างว่าง่ายทำไมพี่ชีพนนท์ถึงให้ความสำคัญกับไอ้รพีพงษ์ ขนาดนี้ ไม่เข้าใจจริงๆ” ธีริทธิ์บ่นพึมพำ

ชีพนนท์ขับรถกลับไปที่คลับด้วยสีหน้า กระวนกระวาย เขาค่าธีริทธิ์มาตลอดทาง

ธีริทธิ์ถามชีพนนท์ว่าทำไมถึงให้ความสำคัญกับรพี พงษ์ขนาดนั้น ชีพนนท์คิดในใจว่าไอ้เด็กนี้คงจะไม่รู้ ว่ารพีพงษ์เป็นใคร ต้องเป็นเพราะรพีพงษ์ไม่อยาก พูดแน่ๆ ถ้าเขาพูดออกไป ไม่แน่รพีพงษ์อาจจะต่อว่า เขาก็ได้

ดังนั้นเขาจึงพูดกับธีริทธิ์ว่า สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่า ถาม ให้ธีริทธิ์สงบปากสงบค่าเสียหน่อ

ผ่านไปไม่นานทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูคลับรอยัล รปภ.เห็นดังนั้นจึงรีบเขามาต้อนรับ

ยังไม่ทันถึงห้องโถง ชีพนนท์ก็ได้ยินเสียงร้องโอด ครวญดังออกมาจากข้างใน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ในทันที เขาคิดว่าคงจะเกิดเรื่องขึ้นข้างในนั้นแล้ว

หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องโถง พบว่าทุกคนกำลังป้นรวมกลุ่มกันแล้วมองไปที่รพีพงษ์ด้วยสีหน้าตื่น

ตระหนก

จารุวิทย์กับสหรัฐนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น สีหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ชาของทั้งสองคนหักเป็นที่เรียบร้อย เมื่อครู่ร พงษ์หักขาของทั้งสองคนโดยไม่มีความลังเลแม้แต่ น้อย ทําให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก

จารุวิทย์กับสหรัฐเพิ่งจะสำนึกได้ว่าไม่ควรไปยั่ว โมโหรพีพงษ์ แต่น่าเสียดายที่กว่าเขาจะสำนึกได้มัน ก็สายไปเสียแล้ว

“แกสองคน ยังไม่ขอโทษใช่ไหม” รพีพงษ์พูดด้วย น้ำเสียงเย็นยะเยือก

จารุวิทย์กัดฟันกรอดแล้วมองไปยังรพีพงษ์จาก นั้นจึงพูดออกมาว่า “ให้ตายเหอะ ให้ฉันขอโทษสวะ อย่างแก ไม่มีทาง!”

“เดี่ยว ชีพนนท์กลับมา แกเสร็จแน่ เขาไม่ได้ ธรรมดาอย่างที่แกคิดหรอก เขาต้องสั่งสอนแกแทน พวกเรา!” สหรัฐพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

พอดีกับที่ชีพนนท์เดินเข้ามาในห้องโถง หลังจากที่ ทุกคนเห็นชีพนนท์ ตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

“พี่ซีพนนท์ พี่กลับมาแล้ว ไอ้สวะนี่มันท้าทาย รีบ มาสั่งสอนมันหน่อยเถอะ”

“ใช่ มันหักขาของจารุวิทย์กับสหรัฐ มันจะโอหังเกิน ไปแล้วจริงๆ นี่มันไม่เห็นพี่อยู่ในสายตาเลยนะ”

“ธีริทธิ์ รีบสั่งสอนพี่เขยสวะของนายเร็วๆ นายให้ มันมาสร้างความวุ่นวายให้เราใช่ไหม”

จารุวิทย์กับสหรัฐเริ่มจะมีความหวัง เขามองไป ยังชีพนนท์อย่างคาดหวัง

“พี่ชีพนนท์ ในที่สุดพี่ก็กลับมา ไอ้สวะนี่มันบ้าไป แล้ว มันหักขาของพวกเรา พี่ต้องจัดการมันแทน พวกเรานะ!”
“โซฟี ผมเจ็บจะตายแล้ว พี่รีบจัดการไอ้งั่ง นเร็วๆ เลย แล้วรีบพาพวกเราไปส่งโรงพยาบาลทีเถอะ”

ชีพนนท์สีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่สนใจคำพูดของคน พวกนั้น แต่กลับเดินเข้าไปหารพีพงษ์แล้วโค้งให้ร พงษ์

คุณรพีพงษ์ ผมมาช้าไปแล้ว พวกมันไม่ได้ทำให้ คุณบาดเจ็บใช่ไหมครับ ผมผิดเองครับ ถ้าผมรู้ว่า คุณจะมา ผมจะต้อนรับคุณเป็นอย่างดีเลย ใครจะ กล้าเมินเฉยคุณล่ะครับ” ชีพนนท์พูดอย่างรู้สึกผิด

ทุกคนต่างพากันงงไปหมด พวกเขามองชีพนนท์ อย่างไม่เชื่อสายตา คิดไม่ถึงว่าชีพนนท์จะนอบน้อม กับรพีพงษ์ขนาดนั้น

ไม่นานทุกคนก็ตั้งสติได้ว่ารพีพงษ์ไม่ใช่คน ธรรมดาอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้

ในบรรดาเหล่าคุณชายแห่งเมืองริเวอร์ชีพนนท์จัด อยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากคุณชายแห่งตระกูลกุล สวัสดิ์ ในเมืองริเวอร์ก็มีแค่ไม่กี่คนที่ทำให้เขากลัวได้
nd

ตอนนี้แม้แต่ชีพนนท์ นอบน้อมกับรพีพงษ์ขนาดนี้ แท้จริงแล้วรพีพงษ์เป็นใครกันแน่?

ทุกคนสูดหายใจลึก ตอนแรกพวกเขานึกว่ารพีพงษ์ เป็นแค่ไอ้สวะที่จะพูดล้อเลียนอะไรก็ได้

ตอนนี้ท่าทีของชีพนนท์ทำให้พวกเขาสำนึกได้ว่า พวกเขาเจอของแข็งเข้าให้แล้ว

จารุวิทย์กับสหรัฐก็มองชีพนนท์ด้วยความตกตะลึง จนอ้าปากค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นชีพนนท์ ก้มหัวขอโทษคนอื่น

“พี่ชีพนนท์ พี่ทําอะไรน่ะ ไปขอโทษมันทำไม พี่ไม่ เคยได้ยินชื่อเสียงของมันเหรอ มันคือรพีพงษ์คนที่ มันเอาไหนไง” จารุวิทย์เอ่ยขึ้น

ชีพนนท์จ้องเขาเขม็งแล้วยกขาเหยียบบนตัวเขา จากนั้นจึงพูดเสียงดังว่า “แกรนหาที่ตายหรือไง ถ้า พวกแกไม่อยากตายก็รีบขอโทษคุณรพีพงษ์ซะ ไม่ งั้นแม้แต่ฉันก็ช่วยพวกแกไม่ได้

จารุวิทย์กับสหรัฐหน้าเปลี่ยนสี ตอนนี้เขาสำนึกได้ ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว
nd

สหรัฐรีบพูดกับรพีพงษ์ว่า “พี่ พวกเราสํานึกผิดแล้ว ผมจะไม่พูดมั่ว วอีกแล้ว ขอโทษครับ พี่ให้อภัยผม เถอะนะ”

จารุวิทย์ดูจากสถานการณ์แล้วก็รีบพูดขอโทษเช่น กัน “ผมฝืดไปแล้ว ให้อภัยผมเถอะ ต่อจากนี้ไปผม จะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีกแล้ว”

ชีพนนท์หันไปหารพีพงษ์ เขาก้มหัวให้รพีพงษ์อีก ครั้ง “คุณรพีพงษ์ เขาทั้งสองสำนึกผิดแล้ว แถมขา ของพวกเขาก็ยังหักอีก ถือว่าเป็นการลงโทษพวก เขาแล้ว คุณรพีพงษ์ปล่อยพวกเขาไปเถอะนะครับ”

รพีพงษ์โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ขอโทษก็จบแล้ว พาพวกเขาไปโรงพยาบาลเถอะ”

ชีพนนทรีบพยักหน้าแล้วรีบเรียกคนให้พาจารุวิทย์ กับสหรัฐไปส่งโรงพยาบาล

ธีริทธิ์มองรพีพงษ์อย่างกล้าๆ กลัวๆ ขนาดชีพนนท์ ยังไม่กล้ายั่วโมโหเขา ก่อนหน้านี้เขาทำไม่ดีกับรพี พงษ์ขนาดนั้น ไม่รู้ว่ารพีพงษ์จะเอาเรื่องตัวเองหรือ เปล่า
ชีพนนท์ตบหัวของไปหนึ่งพูดว่า แกจะ ยืนอึ้งอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบขอโทษคุณรพีพงษ์อีก

ธีริทธิ์เดินเข้าไปหารพีพงษ์ ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ขอโทษครับ พะ พี่เขย

รพีพงษ์จ้องธีริทธิ์ จนเกือบจะทำให้โรคหัวใจของ เขา

แต่ทว่ารพีพงษ์กลับละสายตาแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นจึงพูดว่า “ไอ้เด็กนี่ยังรู้จักขอโทษฉันนะ ดูไป ดูมาคงไม่ต้องสั่งสอนอะไรมาก

เหงื่อผุดเต็มหน้าผากของธีริทธิ์ ดูเหมือนว่าถ้าตัว เองไม่ขอโทษเมื่อครู่นี้ รพีพงษ์ต้องจัดการเขาอย่าง แน่นอน

เขาสามารถหักขาของสองคนนั้นได้ งั้นก็แสดง ว่ารพีพงษ์ก็ต้องหักขาของเขาได้เหมือนกัน เขาไม่ อยากพิการตั้งแต่อายุยังน้อยหรอกนะ

“แฮะ แฮะ พี่เขย ต่อไปนี้ผมจะไม่หาเรื่องวุ่นวายให้ พี่อีกแล้ว พี่เห็นแก่หน้าของพี่สาวผมถึงยอมละเว้นชีวิตผม กลับไปผมจะช่วยพี่พูดเอง” ธีสิทธิ์

หัวเราะออกมา

รพีพงษ์กลอกตามองบนแล้วพูดว่า “พอแล้ว พวก นายสนุกกันไปเถอะ ฉันจะไปนั่งสักพัก”

ชีพนนท์รีบก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณรพีพงษ์ มาส นุกกับพวกเราสักหน่อยไหมครับ”

“ไม่ล่ะ วัยรุ่นอย่างพวกนายสนุกกันไปเถอะ ฉันขอ นั่งพักก่อน”

รพีพงษ์เดินเข้าไปแล้วนั่งลง

ชีพนนท์เหนื่อยใจ เขาจึงสนุกกับธีริทธิ์รวมถึงคน

อื่นๆ

แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้บรรยากาศใน คลับยังคงเย็นยะเยือก บวกกับการที่รพีพงษ์นั่งอยู่ ด้วย ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงดัง ทำให้พวก เขาอึดอัดเล็กน้อย

รพีพงษ์เห็นคนพวกนั้นแล้วรู้สึกขำ เดิมทีพวกเขา เป็นเหล่าคุณชายและคุณหนูแห่งเมืองริเวอร์ แต่ละand

คนโดนตามใจจนทําอะไรตามอำเภอใจ

คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขา แต่ละคนจะว่า นอนสอนง่ายราวกับลูกไก่อย่างไรอย่างนั้น

ผ่านไปไม่นาน รพีพงษ์คิดว่าถ้าตัวเองยังอยู่ที่นี่ คน พวกนี้ก็จะไม่สนุกกัน จึงอยากออกไปหาที่สงบๆ

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนบุกเข้ามาในคลับ ดู เหมือนว่าจะเป็นเหล่าคุณหนูคุณชายลูกคนรวยทั้ง นั้น

คนที่เดินนำเข้ามาเป็นวัยรุ่นอายุประมาณชีพนนท์ ผมทรงหวีเสยไปข้างหลังและเจาะหู

“ชีพนนท์ พวกนายสนุกกันเชียวนะ มีปาร์ตี้ก็ไม่ ชวนพวกเรา กลัวว่าพวกเราจะทำให้พวกนายลำบาก ใจเหรอ” คนที่เดินนำเข้ามาเอ่ยขึ้น

ชีพนนท์สีหน้าเคร่งเครียดแล้วจ้องไปยังคนนั้น จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “มาร์ตี้ นี่มันปาร์ตี้ในกลุ่มเพื่อน เกี่ยวอะไรกับพวกนาย รีบออกไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับ พวกนาย
and

ต้องขอโทษด้วยนะ พวกเรามาแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ จะออกไป นายจะให้พวกเราออกไปก็ได้ แต่ต้องไป เรียกคนในทีมของนายมาแข่งกับพวกเรา ถ้าพวก นายชนะ พวกเราก็จะออกไป” มาร์ตี้พูดขึ้น

รพีพงษ์เห็นคนทั้งสองกลุ่มกำลังเถียงกัน ได้ยินสิ่ง ที่พวกเขาพูดกัน เขาเข้าใจว่าพวกนั้นจะชกต่อยกัน

“พี่ชีพนนท์ ทีมของพวกมันมีคนที่เก่งอยู่สองคน ครั้งก่อนพวกเราแพ้ให้พวกมัน อีกอย่างจารุวิทย์กับ สหรัฐก็ไปโรงพยาบาลแล้ว เราขาดกำลังหลักไป สองคน พวกเราไม่มีทางไปสู้พวกมันได้” มีคนไป กระซิบข้างหูชีพนนท์

“อะไรกัน อย่าบอกนะว่าพวกแกกลัว ครั้งก่อนไม่รู้ ว่าใครกันที่พูดว่าจะเอาชนะกลับ ดูท่าแล้วน่าจะพูด โม้ไปงั้น” มาร์ตี้พูดเยาะเย้ย

ชีพนนท์กัดฟันกรอดแล้วค่าออกมาว่า “ให้ตาย เหอะ ฉันเนี่ยนะจะกลัวนาย เอาสิ พวกเราไปเตรียม ตัวกันเร็ว”

ขณะนั้นก็มีคนมาพูดเตือนชีพนนท์ “พี่ชีพนนท์ ตอนนี้ทีมเราเหลือกำลังอยู่แค่สามคนเองนะครับand

คนอื่นฝีมือถึงทั้งนั้น”

“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ ธีริทธิ์ มาแล้ว เขาอยู่อันดับสูง พา พวกเราชนะได้แน่” ชีพนนท์เอ่ยขึ้น

หลังจากนั้นคนทั้งสองกลุ่มจึงไปเอาเก้าอี้มาสิบตัว นั่งประชันหน้ากันห้าคน

รพีพงษ์หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อครู่เขาคิด ว่าเด็กพวกนี้จะชกต่อยกัน ที่แท้แข่งเกมกันนี่เอง

ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นเกมที่ธีริทธิ์เล่นเมื่อคืนวาน

รพีพงษ์รู้สึกสลดใจขึ้นมา เขาคิดว่าตัวเองแก่แล้ว สมัยตอนที่เขาเรียน ถ้าคนสองกลุ่มยืนเถียงกัน แน่นอนว่าจะจบลงด้วยการชกต่อยเพื่อแก้ปัญหา

แต่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ใช้การแข่งเกมในการแก้ปัญหา มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองตามยุคสมัยไม่ทันแล้ว

ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ มาร์ตี้แสยะยิ้มแล้วมอง ไปยังทีมของชีพนนท์ เขาสังเกตว่าคนในทีมของชีพ นนท์ที่เป็นกำลังหลักหายไปสองคน จึงแสยะยิ้มSB

แล้วพูดออกมา “ชีพนนท์ พวกนายขาดกำลังหลัก ไปสองคน ยังกล้ามาแข่งกับฉัน นายนรนหาที่ตาย

ชัดๆ”

ชีพนนท์ส่งเสียงหีในลำคอแล้วพูดว่า “เลิกพูดเพ้อ เจ้อได้แล้ว ยังไงก็ทำให้พวกนายกลัวจนไปไม่เป็น ได้เหมือนกัน”

พูดจบ เขาก็มองไปยังธีริทธิ์ด้วยความมั่นใจ เมื่อ วานทีมไฟต์นั้นของธีริทธิ์ทำให้เขาคิดว่าธีริทธิ์จะ พลิกเกมได้

ธีริทธิ์มีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เขาเคยได้ยินชีพนนท์เล่า เกี่ยวกับคนพวกนี้ให้ฟัง รู้ว่าอันดับของพวกเขาใน เกมอยู่ที่ประมาณชาเลนเจอร์ 20 ดาว คงจะไม่ต่าง จาก 30 ดาวของเขาสักเท่าไร

ตอนนี้ทีมฝั่งเราเพิ่มคนที่เพิ่งขึ้นอันดับชาเลนเจอร์ มาหนึ่งคน ถึงจะอยากพาทีมให้ชนะ แต่มันก็ไม่ง่าย เลย

มาร์ตี้แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อนายมั่นใจขนาดนี้ งั้นเรามาพนันกันหน่อยไหม ไม่นานมานี้พ่อเพิ่งโอน บริษัทที่มีค่ามากภายใต้ชื่อของเขามาให้ฉันnd

มันเป็นโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมือง รีเวอร์ ท่านให้ฉันบริหาร แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ร้อน เงิน”

“พนันก็พนันสิ นายว่ามาสิจะพนันเท่าไร?” ชีพนนท์ เอ่ยขึ้น

“งั้นเอางี้ คนละหนึ่งล้าน เล่นห้าเกมชนะให้ได้สาม เกม ใครแพ้ก็เอาเงินมา เป็นยังไง?” มาร์ตี้เอ่ยขึ้น

ชีพนนท์กัดฟันกรอดแล้วพูดออกมาว่า “ได้ ก็แค่ห้า ล้าน พวกเราหาได้อยู่แล้ว!”

ธีริทธิ์พูดอย่างร้อนใจขึ้นมาว่า “พี่ชีพนนท์ ผม หาเงินมากขนาดนั้นมาไม่ได้หรอกนะครับ”

ชีพนนท์มองเขาแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ส่วนของ นายฉันจะออกให้เอง

คนในทีมของชีพนนท์ที่เหลืออยู่สี่คนมีสีหน้าไม่รู้ ดีนัก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกของคนรวย แต่ว่าเงิน หนึ่งล้านไม่ใช่ว่าจะเอามาพนันกันตามอำเภอใจแบบ นี้
เมื่อ มาร์ตี้ เห็นว่าชีพนนท์ตอบตกลง จู่ๆ เขาก็สะใจ ขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า ดูเหมือนว่าวันนี้จะได้ ห้าล้านฟรีๆ แล้วล่ะ นี่มันได้เงินเยอะกว่าการเปิด โรงงานอีกนะ”

“ฝันไปเถอะ คนที่จะต้องจ่ายเงินคือพวกนายต่าง หาก!” ชีพนนท์ไรออกมา

ทั้งสองฝั่งเลิกพูดไร้สาระ รีบสร้างห้องแข่งเกมและ เริ่มการแข่งขันทันที

เพราะว่าทีมของชีพนนท์มีผู้เล่นอยู่คนหนึ่งที่เพิ่งขึ้น อันดับชาเลนเจอร์ ทำให้ระดับต่างกันมากและเล่น ไม่เข้ากับทีม ทำให้เป็นอุปสรรคตั้งแต่เริ่ม

ยังไม่ถึงสิบนาที ทีมพวกเขาก็โดนทีมของมาร์ตี้ดัน มาถึงป้อมใหญ่ข้างใน ทำให้แพ้ในเกมแรก

พวก มาร์ตี้หัวเราะร่วนแล้วพูดเยาะเย้ยคนที่เพิ่งขึ้น อันดับชาเลนเจอร์ของทีมชีพนนท์

คนนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เหงื่อไหลเต็มหน้า ผาก สุดท้ายเพราะแรงกดดันทำให้เขาลุกขึ้นมาแล้ว เอามือถือวางลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “พี่ชีพนนท์nd

ผมอ่อนเกินไปครับ ถ้าเล่นต่อไปก็เป็นภาระพวกพี่ เปล่าๆ ผมไม่เล่นแล้ว พี่หาคนอื่นเถอะครับ”

ชีพนนท์ขมวดคิ้วแล้วหันไปหาคนที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นจึงถามไปรอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครมา แทนสักคน

มาร์ตี้มองทีมของชีพนนท์ด้วยสายตาเย้ยหยัน จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พวกนายยังรวมกันได้ห้าคน ไหมเนี่ย ถ้ารวมกันไม่ได้ พวกนายก็เอาเงินมาซะ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ