แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่320 ภรรยาของรพีพงษ์หาเรื่องไม่ได้



บทที่320 ภรรยาของรพีพงษ์หาเรื่องไม่ได้

บทที่320 ภรรยาของรพีพงษ์หาเรื่องไม่ได้

“ฉันถึงว่าทำไมอารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้นะ ที่แท้มีปัญหาด้านนั้น เหรอ มิน่าล่ะ คนไร้ความสามารถชอบโอ้อวดที่สุด นายใช้อำนาจ บาตรใหญ่แบบนี้ เพื่อปกปิดจุดด้อยของตัวเองไว้สินะ” รพีพงษ์ เห็นนิเวกคุกเข่าลงมา เอ่ยปากบอก

“แม่งเอ๊ยว่าใครไร้ความสามารถวะ” ใบหน้านิเษวกเต็มไปด้วย ความแค้น เห็นได้ชัดว่าถูกแทงโดนที่แผลแล้ว

“ถ้าอาการของนายรักษาไม่หาย ตระกูลพวกนายก็จะหมด ทายาท หรือว่าไม่ใช่ตรงนั้นมีปัญหาเหรอ?” รพีพงษ์จ้องเขา อย่างเย็นชา

ไพรำก็สีหน้าดูแย่เช่นกัน เพียงแต่พอพิจารณาถึงรพีพงษ์เป็น เพื่อนของชุติเทพ ก็ไม่ได้อารมณ์เสียแล้ว

“พ่อหนุ่ม ลูกชายฉันก็ขอโทษนายแล้ว นายไม่จำเป็นต้อง เหน็บแนมเขาแล้วมั้ง” ไพรำพูดขึ้น

รพีพงษ์ทำเสียงฮึดฮัด จากพฤติกรรมแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ของนิเษวกนี้ ต่อให้วันนี้รพีพงษ์หักขาของเขาก็ล้วนไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าที่นี่เป็นสถานที่ของชุติเทพ เขาไม่อยากทําเรื่องราวให้ใหญ่โต ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือ

“เอาแผ่นแปะแก้ปวดเอวมาให้พ่อตาผมสักหน่อยเถอะ ผมไม่อยู่ ต่อนานแล้ว” รพีพงษ์หันหน้ามองทางชุติเทพ

ชุติเทพพยักหน้าแล้วรีบไปเอาแผ่นแปะแก้ปวดสองสามอันให้ รพีพงษ์ เขาก็ไม่อยากให้รพีพงษ์ดีกับคนอื่นขึ้นมา

หลังรพีพงษ์เอาแผ่นแปะแก้ปวดก็ออกจากคลินิกไป ไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับไพรำพ่อลูกคู่นี้มากอีก

ชุติเทพมองทางนิเษวกอย่างอารมณ์เสียอยู่บ้าง เอ่ยปากบอก “สีหน้าคุณฉุนเฉียว อารมณ์ร้อนแรง ที่จริงอาจจะเป็นปัญหาของ ด้านนั้น พูดมาเถอะ มันเรื่องอะไร”

ชั่วขณะนั้นใบหน้านิเษวกเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน บอก ว่า “คือว่า…ก่อนหน้านี้โดนคนถีบมานิดหน่อย หลังจากนั้นก็ดูไม่ ขึ้นแล้ว หาหมอมามากก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นถึงมาที่นี่..….….…..

“ลูกชายผมคนนี้ที่จริงระวังอยู่หน่อย ก่อนหน้านี้หยอกเย้า ลูกสาวของคนอื่นเขา นี่ถึงถูกถีบมาทีหนึ่ง หมอเทวดาชุจะต้อง ช่วยรักษาอาการป่วยนี้ของเขาให้หายนะครับ ผมไม่อยากให้ตระ กูลภัทร์รัฐชัยไร้ทายาท” ไพรำก็พูดขึ้นมาด้านข้าง
หลังเจสสิก้าได้ยินคำพูดนี้ของพวกเขาทั้งสอง จึงพูดว่า “เหอะ หน้าไม่อายจริงๆ นี่ก็สมน้ำหน้าแล้ว ถึงแม้รักษานายให้หาย วัน หลังนายคงโดนคนอื่นถีบให้อีก

ใบหน้านิเวกอัดอั้นจนแดงมาก ดวงตาสองข้างมองทางเจสสิ ก้า ในใจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นอย่างหนึ่ง

นิเษวกคนนี้นิสัยดั้งเดิมดื้อรั้นหัวแข็ง ถูกเลี้ยงแบบตามใจตั้งแต่ เด็ก เรื่องใช้อำนาจบาตรใหญ่นี้สามารถพูดได้ว่าไพร่ำสร้างออก มา เขาอยู่ที่บ้านพวกเขาทางนั้นไม่เคยเห็นใครในสายตา กำเริบ เสืบสานเผด็จการ

เพราะเหตุนี้เขาถึงโดนเตะกล่องดวงใจเข้า เป็นเพราะแทะโลม ลูกสาวของประธานใหญ่คนหนึ่งในท้องที่ของพวกเขา ประธาน ใหญ่คนนั้นมีอิทธิพลอยู่บ้าง พอๆ กันกับตระกูลภัทร์รัฐชัย แต่ว่า นิเษวกยังคงอยากไปหยอกเย้าลูกสาวคนอื่นเขา แสดงให้เห็นถึง ความกำเริบของเขาได้มากพอ

ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอิทธิพลของประธานใหญ่คนนั้น หลังจากที่ นิเษวกโดนเตะกล่องดวงใจ เกรงว่าคงมีหญิงสาวคนนั้นตายไปตั้ง นานแล้ว

ตอนนี้เขามาขอร้องชุติเทพ ดังนั้นถึงเห็นได้ชัดว่าเคารพ นอบน้อมลงมาบ้าง ความในใจเขา เดิมทีไม่เคยเห็นชุติเทพอยู่ใน สายตา คิดว่าเขาก็แค่คนรักษาโรคคนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เหรอ

ตอนนี้เจสสิก้าว่าเขาขนาดนี้ ภายในของเขาย่อมไม่สบายใจ คิด ว่ารอชุติเทพรักษาอาการป่วยเขาให้หาย จะต้องทำให้เจสสิก้า ลองความเก่งกาจของเขาสักหน่อย

“ยัยสาวน้อย กล้าว่าฉันขนาดนี้ รอฉันไว้เถอะ อาการฉันรักษา หายแล้ว จะเอาเธอมาทดลองเป็นคนแรก นิเษวกบ่นพึมพำในใจ

รพีพงษ์ถือแผ่นแปะแก้ปวดไว้เดินมาถึงถนน มองเห็นรถไฟฟ้า ของตนเองคันนั้นโดนบดจนเป็นเศษเหล็กก็ถอนหายใจทีหนึ่ง ด้วยความจำใจอยู่บ้าง

ไม่มีรถไฟฟ้าแล้ว ตอนนี้เขาทำได้เพียงนั่งรถกลับไปแล้ว

เวลานี้เรนจ์โรเวอร์คันหนึ่งจอดลงมาอยู่ด้านข้างเขา กระจกรถ ปลดลงมา รพีพงษ์มองเข้าไปด้านใน เห็นว่าเป็นกุนลโรจน์แห่ง ตระกูลกุลสวัสดิ์

“คุณรพี บังเอิญจริง คุณรอรถอยู่ที่เหรอครับ?” ใบหน้ากุนลโรจน์ เต็มไปด้วยความเคารพกล่าวขึ้น
ตั้งแต่รู้ว่ารพีพงษ์เป็นคนของตระกูลลัดดาวัลย์ที่เกียวโต กุนล โรจน์ก็เห็นรพีพงษ์เป็นบุคคลสำคัญ ภายในใจเขาอย่างชัดเจน มาก ที่เมืองริเวอร์ ไม่ว่าผิดใจใคร ล้วนไม่สามารถผิดใจรพีพงษ์ ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงแม้รพีพงษ์จะไม่มีสถานะผู้สืบทอดของ ตระกูลลัดดาวัลย์นี้ กุนลโรจน์ยังรับรู้ถึงความน่ากลัวของรพีพงษ์

กุนลโรจน์รู้เรื่องบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สลัมละลาย และ เขารู้เช่นกันว่าก่อนหน้าที่บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สจะล้ม ละลาย เรื่องที่สร้างปัญหาอยู่บ้างเพียงหนึ่งเดียวคือทำให้บริษัท ของตระกูลฉัตรมงคลลำบาก

บริษัทของตระกูลฉัตรมงคลเป็นบริษัทของภรรยารพีพงษ์ พอ นำสองอย่างนี้มาเชื่อมโยงกัน ถึงกุนลโรจน์จะโง่แค่ไหน ก็รู้ความ เกี่ยวข้องในเรื่องนี้

“ใช่” รพีพงษ์ตอบกลับคำหนึ่ง

“คุณไปไหนครับ ผมจะไปส่งคุณเอง ลดเวลารออยู่ที่นี่” กุนล โรจน์พูดอย่างกระตือรือร้น

รพีพงษ์คิดแล้วว่าใครนั่งคนนั้นก็ได้ประโยชน์ เขาก็ขี้เกียจไป เรียกรถพอดี จึงยิ้มให้กุนลโรจน์แล้วตอบไป “งั้นก็รบกวนคุณกนลโรจน์ด้วยนะ

รพีพงษ์ นรถไป บอกจุดหมายปลายทางของตนเองแล้ว คนขับ รถรีบขับเข้าไปทางดงเย็นทันที

ถึงแม้ว่าดงเย็นกับสถานที่ที่กุนลโรจน์อยากไปจะไม่ใช่ทาง เดียวกัน ทว่าต่อให้กุนลโรจน์ต้องอ้อม ก็ต้องไปส่งรพีพงษ์กลับ ก่อน จำนวนครั้งที่เขากับรพีพงษ์ติดต่อสื่อสารกันไม่มากนัก ย่อม ต้องคว้าโอกาสแต่ละครั้งไว้

“สองวันมานี้บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สลัมละลายเป็นข่าว โด่งดังเรื่องนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับคุณรพีอยู่หน่อยมั้งครับ?” กุนล โรจน์หันหน้ามองรพีพงษ์ทีหนึ่ง ถามอย่างระมัดระวัง

รพีพงษ์ไม่ได้มองเขา เพียงแค่ตอบนิ่งๆ “ปิยังกูรคนนั้นไม่มีตา เอาเมียผมมาข่มขู่ผม หายนะแบบนี้ ไม่ควรเหลือไว้ที่เมืองริเวอร์”

ภายในใจกุนลโรจน์ตระหนก ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพียงเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับรพีพงษ์นิดหน่อย คาดไม่ถึงรพีพงษ์ยอมรับมาตรงๆ น้ำเสียงยังสบายๆ ราวกับการทำลายบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ สทิ้ง สำหรับเขานั้นเป็นเพียงแค่กำจัดมดตัวหนึ่งทิ้งไป
ต้องรู้ว่ากำลังของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ส ระดับพอเทียบ เคียงกับตระกูลกุลสวัสดิ์ได้เลย รพีพงษ์สามารถกำจัดบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สไปอย่างง่ายดาย นั่นก็สามารถทำลาย ตระกูลกุลสวัสดิ์ได้เช่นกัน

นึกถึงตรงนี้ บนหน้าผากของกุนลโรจน์มีเหงื่อซึมออกมานิดๆ โดยเฉพาะตอนแรกที่ลูกชายเขาโดนรพีพงษ์หักขาก็เป็นเพราะ ภรรยาของรพีพงษ์ ตอนนี้คิดๆ ดู รพีพงษ์ไม่ได้ทำลายตระกูลกุล สวัสดิ์ทิ้งทันทีเพราะเหตุนี้ ถือว่าโชคดีมากแล้ว

ดูแล้วที่เมืองริเวอร์ นอกจากรพีพงษ์ที่หาเรื่องไม่ได้ ภรรยาของ รพีพงษ์ก็หาเรื่องไม่ได้ด้วย

ระหว่างทาง กุนลโรจน์อยู่ในบรรยากาศที่ประหม่าอย่างหนึ่ง เขาอยากพูดอะไรกับรพีพงษ์สักหน่อย แต่กลัวว่าตนเองจะพูดจา ผิดไป พอในใจตื่นเต้น มือทั้งสองข้างก็เหงื่อออกเต็มไปหมด

บนตัวรพีพงษ์มีออร่าที่ทำให้คนตกใจแบบนั้นมาด้วย เป็นคนที่ กุนลโรจน์ยากจะเจอในชีวิตนี้ แน่นอนว่าสาเหตุที่ยิ่งกว่าในนี้คือ หลังจากกุนลโรจน์ได้ยินรพีพงษ์พูดแบบสบายๆ ว่าตนเองกำจัด บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สทิ้งไป ในใจตนเองก็เกิดความรู้สึก สารพัด
ไม่นานนักคนขับรถก็ขับมาถึงหน้าประตูของดงเย็นแล้ว รพีพงษ์ ลงมาจากรถ บอกขอบคุณกับกุนลโรจน์เสร็จ ก็เข้าไปด้านในดง เย็นเลย

เวลานี้กุนลโรจน์ถึงโล่งอกไปทีหนึ่ง นั่งอยู่ด้วยกันกับคนระดับ รพีพงษ์อย่างนี้ สำหรับเขานั้นถือว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง

รพีพงษ์พึ่งเข้ามาได้ไม่นาน กุนลโรจน์ก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เป็นไพร่าโทรมา

“พี่ ผมกับนิเษวกถึงเมืองริเวอร์แล้ว ไว้ตอนเย็นไปกินข้าวด้วยกัน นะ” ในสายนั้นมีเสียงของไพรำลอยมา

กุนลโรจน์หัวเราะ เอ่ยปากตอบ “ไม่มีปัญหา”

เทียบกับเมื่ออยู่ด้วยกันกับรพีพงษ์ กุนลโรจน์ยังชอบไปมาหาสู่ กับคนแบบไพรำมากกว่า ถึงจะบอกว่าไพร่เป็นญาติเขา โดย เฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในท้องถิ่นพวกเขาถือว่าบุคคลมีหน้ามีตา แต่ เดิมทียังเทียบกับกุนลโรจน์ไม่ได้

กุนลโรจน์อยู่ต่อหน้าคนแบบนี้ ยังสามารถวางมาดขึ้นมาได้ อย่างน้อยที่สุดยามเผชิญหน้ากับไพรำ กุนลโรจน์ก็ไม่ต้อง ระมัดระวังเหมือนอยู่ต่อหน้ารพีพงษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตนเอง อยากอารมณ์ขึ้น ไพรำก็ไม่กล้าพูดอะไร
รพีพงษ์กลับมาถึงด้านในคฤหาสน์ ศศินัดดามองเห็นรพีพงษ์ เดินกลับมาก็รีบถามขึ้น “รถไฟฟ้าล่ะ?”

“พังแล้ว ผมให้คนเก็บขยะไปแล้ว” รพีพงษ์อ้างเหตุผลข้อหนึ่ง รถไฟฟ้าคันนั้นใช้มาหลายปีแล้ว ถึงเวลาต้องปลดประจำการ จริงๆ

ศศินัดดารีบหันหน้ามองศักดาไปทีหนึ่ง บอกว่า “ฉันก็บอกแล้ว ว่าเจ้ารพีพงษ์นี้ได้แต่เอาโชคร้ายมาให้ รถไฟฟ้าที่เขาขี่ยังพังได้ เลย ต่อไปของในบ้าน อย่าให้เขาใช้ถึงจะดี”

ศักดามองแผ่นแปะแก้ปวดในมือของรพีพงษ์ เวลานี้ไม่เป็นการดี ที่จะช่วยศศินัดดาพูดอะไร จึงยิ้มเดินเข้ามา เอ่ยปากขึ้น “รถไฟฟ้า คันนั้นก็ใช้มานานหลายปีแล้ว แค่ถึงอายุใช้การปกติเท่านั้น คุณ อย่าเอาแต่คิดว่าเป็นเพราะรพีพงษ์เลย”

ขณะพูด เขาก็หยิบแผ่นแปะแก้ปวดพวกนั้นมาจากในมือของรพี พงษ์ ยิ้มถาม “นี่คือแผ่นแปะแก้ปวดที่เอามาจากหมอเทวดา เห รอ?”

รพีพงษ์พยักหน้า

“คุณดูเถอะรพีพงษ์ยังพึ่งได้มากเลยนะ คนอื่นไปหาหมอเทวดา ชที่นั่น ต่างไม่แน่ใจว่าจะได้ออกมาเลยล่ะ” ศักดายิ้มบอก
“โอ๊ย นั่นเป็นเขาที่ดวง…… ตอนแรกศศินัดดาอยากบอกว่ารพื พงษ์ไม่ใช่แค่ดวงดีเท่านั้นเหรอ แต่พอครุ่นคิดว่าช่วงนี้หล่อน ว่ารพีพงษ์นำโชคร้ายมาให้คนอื่นโดยตลอด รพีพงษ์จะมีดวงดี ที่ไหนกัน

ดังนั้นคำพูดมาจ่อที่ปากจึงรีบกลืนลงไปทันที

“แม่ครับ ที่จริงดวงของผมยังดีอยู่มาก ถูกมั้ยครับ” รพีพงษ์ยิ้ม พูดกับศศินัดดาไปประโยคหนึ่ง

ศศินัดดายื่นปากทันที ตอบว่า นายดวงดีกับผีอะไรล่ะ ฉันแค่พูด ไปเรื่อยแค่นั้นเอง ยานั้นไม่แน่ว่านายอาจไปเก็บมาจากที่ไหน ก็ได้ ศักดา คุณใช้ยาของเขา ตายไปอย่าคิดมาให้ฉันไปร้องไห้ใน งานศพล่ะ”

ชั่วขณะนั้นใบหน้าศักดาเขียนปัดขึ้นมาอยู่บ้าง คิดในใจว่าปาก ของภรรยาตัวเองนี้ยังไม่เกรงใจใครสักนิดจริงๆ คำพูดแบบนี้พูด ออกมาเรื่อยเปื่อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

รพีพงษ์ก็ส่ายหน้าอย่างจำใจ เขาสามารถทำให้หัวหน้าตระกูล กุลสวัสดิ์นั่งแข็งทื่อได้ กลับไม่มีทางทำอะไรแม่ยายของตนเอง ได้เลย

ที่แท้ยังเป็นตบะของแม่ยายลึกกว่าพอสมควร
ตอนเย็นวันนั้น ในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เมืองริเวอร์

นิเษวกและไพรำทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องอาหารที่หรูหรา รอกน ลโรจน์เข้ามา

“พ่อ วันนี้ผมไปหาข่าวของเจ้าหมอนั่นที่ให้ผมคุกเข่ามาแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แค่เจ้าโง่คนหนึ่ง มันเป็นสวะที่โด่งดังของเมืองริเวอร์ พวกเกาะผู้หญิงกินคนหนึ่ง ผมยังคิดว่ามันมีความสามารถอะไร มากมายล่ะ นึกไม่ถึงจะเป็นแค่ขยะ น่าโมโหจริงๆ เลย สวะแบบนี้ ยังกล้าให้ผมคุกเข่าให้มัน แค้นนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว” นิเษวกเอ่ย ปาก

ไพรได้ยินคำพูดของนิเษวก ตะลึงเล็กน้อย ถามขึ้น “เจ้าหนุ่ม คนนั้นไม่ใช่เพื่อนของหมอเทวดาเหรอ ทำไมถึงเป็นพวกสวะไป ได้?”

นิเษวกยื่นมือถือของตนเองให้ไพร่าดู บอกว่า “พ่อดูเอาเองเถอะ ไอ้หมอนี้ชื่อรพีพงษ์ พอค้นหาในเน็ตก็มีเรื่องของมัน ไอ้หมอนี้ เกาะผู้หญิงกินจนโด่งดังแล้ว คนในรูปหน้าตาเหมือนมันเลย นี่ยัง ปลอมได้อีกเหรอ”

ไพร่ำรับมือถือในมือของนิเษวกมา หลังดูไปสักครู่ ก็เบิกดวงตา โตขึ้น พูดว่า “นึกไม่ถึงว่าจริงด้วย คนแบบนี้จะเป็นเพื่อนกับหมอ เทวดาชได้ยังไง”
“โอ๊ย ผมว่าหมอเทวดาชอะไรนั้นก็ธรรมดาๆ ถึงบอกว่าเขาสั่งยา ให้ผม บอกว่ากินเสร็จจะดีเอง แต่ว่าก็ไม่ได้ดูวิเศษแบบที่คนเขาว่า กัน แต่ลูกศิษย์คนนั้นของเขาก็สวยมาก พ่อ ผมอยากจับลูกศิษย์ คนนั้นของเขามาสนุกสักหน่อย พ่อว่ายังไงบ้าง?” เวกเอ่ยปาก ถาม

ไพร่าจ้องมองนิเวกไปทีหนึ่ง ยิ้มบอก “ในเมื่อเขารักษาอาการ ป่วยให้ลูกแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องการเขาอีก แล้วแต่ลูกละกัน

ที่เรียกกันว่าพ่อลูกย่อมเหมือนกัน นิเษวกกำเริบเสืบสานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีสาเหตุ ไพรเองก็ไม่ใช่ต้นแบบที่ดีอะไร

“หึๆ คาดไม่ถึงยัยเด็กสาวคนนั้นยังกล้ามาหัวเราะเยาะผม ถึง ตอนนั้นผมจะต้องให้หล่อนลิ้มลองความเก่งของผมหน่อย ในเมื่อ เป็นแบบนี้ งั้นผมจะจัดการเรื่องนี้ด้วยกันเลย ถือโอกาสสั่งสอนไอ้ คนไม่รู้จักที่ตายคนนั้น อีกเดี๋ยวพ่อบอกกับลุงกุนลโรจน์ว่าขอคน สักหน่อย เชื่อว่าเรื่องแบบนี้ เขาต้องช่วยแน่” นิเษวกเอ่ยปาก

ไพร่าพยักหน้าแล้ว ไม่ได้ต่อต้าน

ไม่นานกุนลโรจน์ก็มาถึงในห้องอาหาร คนเหล่านี้ทักทายถาม สารทุกข์สุกดิบกันหน่อย สามารถพูดได้ว่าไพร่ำเคารพนอบน้อม ต่อกุนลโรจน์อย่างยิ่ง
“พี่ครับ ลูกชาย ล่ะ ทําไมไม่พาเขามาด้วยกัน ไพรําถามขึ้น

กุนลโรจน์หัวเราะแบบอึดอัด ตอบว่า “ก่อนหน้านี้เขาล้มขาหัก เลยพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน

“ไม่ระวังขนาดนี้ ถึงกับล้มขาหักเลย” ไพรําพูดขึ้นมาหน่อย ไม่ ได้คิดอะไรมาก

“ใช่แล้ว พี่ วันนี้พวกผมเจอเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย ไอ้โง่คนหนึ่ง มาให้ลูกชายผมคุกเข่าให้มัน ผมอยากจะยืมคนพี่สักสองสามคน ไปสั่งสอนเจ้าโง่นั้นสักยก” ไพร่าเอ่ยปาก

“คาดไม่ถึงกล้าให้หลานฉันคุกเข่าลง ไม่อยากอยู่จริงๆ เลย คนของฉันนายเอาไปใช้ตามสบาย ที่เมืองริเวอร์ ไม่มีใครกล้า หาเรื่องตระกูลกุลสวัสดิ์ของฉัน” กุนลโรจน์รีบพูดอย่างยิ่งใหญ่ คําฟ้า

เดิมเขาอยากเตือนสติไพรําสักหน่อย ขอเพียงให้เขาอย่าไปหา เรื่องรพีพงษ์ก็พอ แต่นึกถึงไพรำกับนิเษวกก็อยู่ที่เมืองริเวอร์ไม่กี่ วัน เดาว่าคงจะไม่ไปหาเรื่องรพีพงษ์เข้า ดังนั้นจึงไม่ได้บอก

นิเษวกรู้สึกว่าตนเองคุกเข่าให้คนไร้ความสามารถคนหนึ่งขาย หน้าอยู่บ้าง และไม่ได้ให้ไพร่าบอกคนที่อยากจัดการเป็นใคร บอกแค่ว่าเป็นขยะที่ไม่มีฝีมืออะไร พวกเขาจัดการเองก็

พอแล้ว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ