แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่ 45 นาฬิกามูลค่า 380,000



บทที่ 45 นาฬิกามูลค่า 380,000

เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินคำตอบของรพีพงษ์ ก็แทบ คลั่งทันที เกลียดจนอยากถลาไปกระทืบรพีพงษ์สัก หลายๆที่

เขากระทั่งค่อนข้างสงสัยว่าสมองของรพีพงษ์จะ ป่วยจริงๆ ไอ้หมอนี่ไม่เพียงแค่บอกว่าตัวเองอีคิวต่ำ ยังบอกว่าตัวเองสมองไม่ดีและสายตาไม่ดีอีกด้วย เปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าทุกคนจะโกรธจนกระอัก เลือด

“ฉันนึกว่าคุณแค่สมองไม่ทำงานซะอีก เห็นได้ชัดว่า คุณก็แค่ไม่มีตัวตน คุณยังมีหน้าว่าคนอื่นแบบนั้นอีก” บุษบากรต่อสู้ทวงความอยุติธรรมเพื่อเจตนิพัทธ์

“โอ้” รพีพงษ์ตอบกลับเพียงคำเดียว

บุษบากรก็แทบจะถูกรพีพงษ์ทำให้เป็นคลั่งแล้วเช่นกัน

อารียามองดูท่าทางประหนึ่งไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ของรพีพงษ์ก็ปิดปากหัวเราะขึ้นมาอีก เขาปกติทั่วไป แล้วไม่ใช่คนแบบนี้ เมื่อกี้ที่พูดแบบนี้ เพราะไม่อยาก ให้เจตนิพัทธ์มาหยอกล้อเขา

1 vies ช่างเถอะ วันนี้ทุกคนกินข้าวด้วยกัน ไม่ จำเป็นต้องทำให้ไม่มีความสุข” เจตนิพัทธ์แสร้งทำ ที่ประหนึ่งใจกว้างอย่างมาก

“ที่ ดูคนอื่นแล้วดูคุณฉันสิ ไม่รู้จริงๆว่าทำไม แค ลร์ ถึงยังเก็บคุณเอาไว้ข้างกาย” บุษบากรพึมพำ ประโยคหนึ่ง

ทั้งสี่คนเริ่มกินอาหาร รพีพงษ์ไม่รักษามารยาทเลย สักนิด ในเมื่อเป็นอาหารของ เจตนิพัทธ์ต้องกินให้ เต็มที่

อารียามีทัศนคติเช่นเดียวกับ รพีพงษ์ เธอก็ไม่ชอบ เจตนิพัทธ์ ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยคง ยอมรับเขาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ก็คือให้ตัวเองกินเต็มที่

ไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่เป็นการเดินทางเสียเที่ยว หรือไง

กระทั่งกินใกล้จะเสร็จ เจตนิพัทธ์ ก็หยิบกล่องที่มี นาฬิกาข้อมืออันนั้นออกมาจากเสื้อของตัวเอง ตั้งใจ

วาจะมะยมเห้อารียา

รพีพงษ์เห็นกล่องใบนั้นของเขา ก็เข้าใจทันทีว่าเขา คิดจะทำอะไร

รพีพงษ์ก็จะมอบนาฬิกาข้อมือให้อารียาเหมือนกัน แน่นอนว่าเขาไม่อาจให้ เจตนิพัทธ์ตัดหน้าได้

ดังนั้นฉวยโอกาสที่เจตนิพัทธ์ยังไม่ได้เปิดปาก รพี พงษ์จึงหันไปมองอารียา แล้วเปิดปากพูดว่า “ภรรยา วันนี้ผมเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้คุณด้วยนะ”

อารียาชะงัก คิดไม่ถึงว่า รพีพงษ์จะพูดแบบนี้ในเวลาเช่นนี้

เจตนิพัทธ์ ที่ได้ยิน รพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็ต้องยัด นาฬิกาเรือนนั้นกลับเข้าไปอีกครั้ง

“ของขวัญอะไร?” อารียาเปิดปากถาม

“นาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่ง” รพีพงษ์ตอบ

เจตนิพัทธ์หัวเราะเยาะเสียงหนึ่งทันที ในใจคิดว่า ไอ้เด็กนี้จริงๆเลยให้อะไรไม่ให้ กลับจะให้นาฬิกาข้อ มืออารียา

ที่เขาเตรียมไว้ให้อารียาก็เป็นนาฬิกาเรือนหนึ่งเช่น กัน และด้วยทรัพยากรทางการเงินของ รพีพงษ์เกรง ว่าจะสามารถซื้อสินค้าแผงลอยสักชิ้น หรืออาจจะ เป็นสินค้ามือสองที่คนอื่นไม่ต้องการแล้ว

หลังจากที่รพีพงษ์หยิบนาฬิกาของเขาออกมาเจตนิ พัทธ์ ก็จะมอบ บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์เรือนนี้ที่มีมูลค่ากว่า 40,000 ให้กับ อารียาอีกที เมื่อ เปรียบเทียบกันแบบนี้ เชื่อว่า อารียาน่าจะรู้ว่าควร เลือกใคร

เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่ารพีพงษ์จะเริ่มช่วยเหลือเขา ก่อน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลแล้ว กำลังคิดว่าจะรอ ๑จังจากที่รพีพงษ์หยิบนาฬิกาออกมา แล้วตัวเอง ค่อยแสดงความจริงใจอีกต่ออารียาอีกที

บุษบากรเมื่อได้ยินว่า รพีพงษ์จะมอบนาฬิกาข้อมือ ให้อารียาใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เปิด ปากพูดว่า “เงินของคุณไม่ใช่ว่าทั้งหมดเป็นแคลร์ให้ เหรอ ของดีๆอะไรก็มอบออกมาได้ ฉันคิดว่าคุณไม่ ควรเสียเวลาอวดอ้างเรื่องน่าละอายออกมาหรอก”

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจคำพูดของ บุษบากรเลยด้วยซ้ำ หยิบนาฬิกาคู่นั้นที่เธียรวิชญ์มอบให้เขาออกมาทันที

บุษบากรมองนาฬิกาคู่นั้นปราดหนึ่ง และเปิดปาก พูดว่า “ดูๆไปก็สวยดี น่าจะหาจากแผงขายข้างถนนไม่น้อยเลยกว่าจะซื้อได้สินะ มิน่าล่ะคุณถึง ได้ใช้โอกาสนี้เอามันออกมา”

เธอไม่รู้จัก วาเช่อรอง คอนสแตนติน ดังนั้นจึงไม่ ชัดเจนว่านาฬิกาคู่นี้ของรพีพงษ์ราคา 380,000 หยวน

บุษบากรไม่รู้จักนาฬิกา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เจตนิพัทธ์ ไม่รู้จัก เมื่อเขาเห็นเครื่องหมายการค้า ของวาเชอรอง คอนสแตนติน ภายในใจก็กระตุกครา หนึ่ง

นาฬิกาของแบรนด์นี้แพงแค่ไหนเขาย่อมชัดแจ้ง อยู่ในใจ เมื่อเทียบคาร์เทียร์ชิ้นนั้นของเขากับวาเชอ รอง คอนสแตนตินชิ้นนี้ มันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ด้วยซ้ำ

นาฬิกาสองเรือนนี้ของ รพีพงษ์เรือนหนึ่งก็ราคา หลายแสน เพียงพอที่จะซื้อของเขาหลายเดือนแล้ว

น่าจะเป็นของปลอมสินะ ไอ้หมอนี่จะสามารถซื้อนาฬิการาคาแพงขนาดนี้ได้ยังไง เจตนิพัทธ์ คิด

ในใจ

รพีพงษ์เปิดกล่องที่ถูกบุเอาไว้อย่างดี จากนั้นก็นำ นาฬิกาที่อยู่ข้างในออกมา พลางส่งสัญญาณให้ อารี ยายื่นมือออกมา

หลังจากที่อารียาเห็นนาฬิกาเรือนนั้น ดวงตาก เป็นประกายทันที ทันใดนั้นผลงานของวาเชอรอง คอนสแตนตินก็ดึงดูดเธอ และเพียงแค่ดูรูปลักษณ์ ภายนอก เธอก็รู้ว่า นาฬิกาเรือนนี้ไม่ถูกอย่าง แน่นอน

หลังจากที่เจตนิพัทธ์เห็นนาฬิกาเรือนนั้นที่อยู่ข้าง ใน ทันใดนั้นกลับสูดหายใจคราหนึ่ง กล่องของ นาฬิกาเป็นของปลอมได้ แต่นาฬิกาวาเชอรอง คอน สแตนตินของจริงไม่สามารถปลอมแปลงได้ง่าย ขนาดนั้น

แวบแรกที่เขาเห็นนาฬิกาเรือนนั้น ก็มั่นใจแล้วว่า

เรือนนี้เป็นของจริง
เจตนิพัทธ์ สัมผัส บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ ใน อ้อมแขนของเขาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นอารมณ์ที่น่า อับอายอย่างมากชนิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาในหัวใจของ

เขา

เดิมที่เขาคิดจะให้ รพีพงษ์โยนอิฐเพื่อดึงดูดหยก “จลัพธ์ตอนนี้ดูเหมือนว่า สิ่งที่ รพีพงษ์นำออกมา คืออิฐทองคำ

ตอนนี้ถ้าหากว่าเขาหยิบนาฬิกาเรือนนั้นออกมา จากนั้นก็คงจะตกอันดับแล้ว

“แม่งเอ๊ย ไอ้หลานชายคนนี้ได้นาฬิการาคาแพง แบบนี้มาจากไหน นี่ต้องไม่ใช่เขาซื้อเองแน่ ไม่แน่ว่า เขาจะขโมยออกมาจากร้านของใครสินะ

แม้ว่านาฬิกาที่ รพีพงษ์เอาออกมาจะเป็นของจริง เจตนิพัทธ์ ก็ไม่มีวันเชื่อว่านี่คือสิ่งที่รพีพงษ์ซื้อด้วย ตัวเอง

รพีพงษ์สวมนาฬิกาเรือนนั้นให้อารียา ซึ่งอารียา ชอบมันมาก ดูอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่หลายครั้งรฟพงนามอีกเรือนไว้บนข้อมือของตัวเอง ที่นี้ก็ สือได้ว่าทั้งสองคนมีสิ่งของที่เป็นคู่กันของพวกเขา ทั้งสองคนเป็นครั้งแรก

“ขอบไหม?” รพีพงษ์เปิดปากถาม

อารียาพสักหน้า เปิดปากถามว่า: “นาฬิกานี่แพง มากสินะ คุณซื้อมาเท่าไหร่?

เงินไม่เท่าไหร่ รพีพงษ์พูดกลั้วหัวเราะ

เมื่อเห็นว่า รพีพงษ์ไม่กล้าบอกราคาของนาฬิกานี่ ออกมา เจตนิพัทธ์ยิ่งมั่นใจว่านาฬิกานี้เป็นรพีพงษ์ ขโมยออกมา สายตาส่วนหนึ่งจึงดูแคลนเขามากขึ้น

เอานาฬิกาที่ขโมยมามอบให้คนอื่น ก็เพียงพอที่จะ ขายหน้าแล้วจริงๆ

แต่ถึงแม้ว่า เจตนิพัทธ์ ภายในใจจะดูถูก รพีพงษ์ แต่นาฬิกาเรือนนั้นของเขา จะหยิบออกมาตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว

“แคลร์นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่รพีพงษ์มอบสิ่งของให้ เธอตั้งแต่แต่งงานมาสินะ ยังจะซื้อมาจากแผงลอย ข้างถนนอีก ทุเรศจริงๆ เธอดูหัวหน้าห้องส อายุยัง น้อยก็กลายเป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทซันบับเบิล เ หล้า ถ้าเขาจะมอบของให้เธอ ต้องไม่ซื้อมาจาก แผงลอยข้างถนนแน่” บุษบากรเปิดปากพูด

เจตนิพัทธ์ สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ในเมื่อ นาฬิกาไม่ได้มอบออกไป ถ้าอย่างนั้นเขาต้องแสดง ข้อได้เปรียบของตัวเองต่อไป

“ก็ไม่มีอะไรหรอก งานนี้ของผม..เจตนิพัทธ์คุย จ้อขึ้นมาไม่จบไม่สิ้น บุษบากรตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็อิจฉามากด้วย

ในระหว่างนั้นยังนำมาลองเปรียบเทียบกับรพีพงษ์ เป็นครั้งคราว ให้ อารียาลองมาพิจารณา เจตนิพัทธ์ บ้าง
รพีพงษ์รู้สึกค่อนข้างรำคาญ เจตนิพัทธ์จึงส่ง ข้อความถึง เธียรวิชญ์: “โทรหาคนนั้นที่ชื่อ เจตนิ พัทธ์ให้เขาไปดื่มชากับคุณ”

“งานนี้ของผมโดยทั่วไปจะว่างมาก และในบริษัท ผมเป็นหัวหน้า จึงไม่มีใครสั่งผมได้ เหมือนวันนี้ ถึง แม้ว่าผมจะไม่ไปที่บริษัท อยู่กับพวกคุณทั้งวัน ก็ไม่มี ใครว่าอะไร

เจตนิพัทธ์เพิ่งจะพูดจบ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น มาแล้ว เป็นท่านประธานกรุ๊ปที่โทรมา เขาจึงไม่กล้า ละเลย รับสายอย่างรวดเร็ว

“เจตเหรอ ได้ยินว่าตอนนี้คุณยังไม่มาที่บริษัท? เนื่องจากคุณไม่ไปที่บริษัทงั้นก็มาดื่มชากับผมสิ”

เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังมาก บุษบากรและ อารียาต่างก็ได้ยินเสียงของปลายสายนั้นแล้ว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ