บทที่ 1 ไอ้สวะ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับพวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์”
“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำผิดพลาด ในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่อง บาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ส่วนรวม”
“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของประเทศจะ
ขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ”
รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้งตัวด้วย ท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา
“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะควบคุม ตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้านอย่างไร้ความ เมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอกลัวว่าฉันจะแก้แค้น เลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถม ยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็นลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยา เข้าบ้าน ต้องยอมไปเป็นเขยบ้านคนอื่น”
“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่คิดว่าสาย เกินไปหน่อยเหรอ”
“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูลฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิงกิน ฉันไม่ สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดาวัลย์ได้อีก พวก นายกลับไปเถอะ”
พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือลงถัง แล้ว เดินจากไป
ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์จะเป็น เรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออกจากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดาวัลย์อีกแล้ว
ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูลฉัตรมงคล ตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้งเขายังเป็นไอ้สวะที่ รู้จักกันในเมืองริเวอร์
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโต
แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะใช้ชีวิต อย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขา กลับไม่เสียใจ
รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูลฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติสนิทของตระกูล ฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยง การพูดเปรียบเทียบไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับ ทำให้ครอบครัวของอารียาเป็นเรื่องตลก
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่างพากันนำ ของขวัญมามอบให้คุณปู่
“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้คือ (ภาพ ฤาษีตกปลาในซีชาน ) ของ ถางหูโป๊เป็นรูปภาพจริงที่ผม ตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ชายชรา
“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่อยู่ต่าง ประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรักคนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา
ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอาอกเอาใจ
คุณปู่
“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับ ในปีนี้ สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาคจากผู้ที่มี เมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขึ้นเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู่”
ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา
เกิดความโกลาหลขึ้น
ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้หน้าของ เขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือไง รู้ไหมว่าแก กำลังพูดอะไรอยู่”
สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่งเป็นภรรยา ของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนั้นออกมาเหมือน กัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของเขาเลยค่ะ”พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่างรุนแรง
สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบบังคับให้ อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์
เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับในสายตาของชาว โลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน
สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่ เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทั้งขยะ ผู้คนในเมืองริเวอร์ ขนาน นามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาคภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็ กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวันเกิดของ คุณปู่อีก
“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ปีมานี้นายทำให้ ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีกเหรอ นายอุตส่าห์มา ยืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูด คือธายุกร ลูกหลานที่ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมา ตลอด
“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของคุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิดอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมาสินะ”
หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูดเสริม พวก เธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูดใส่ร้าย อารียา
เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผมหมุนเงินไม่ ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาดนั้น ผมจะต้องหา เงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”
“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงาน ยังไม่มีให้ทำ ถ้าให้นายยืม นายจะเอาปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน
“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แกยืม เงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแกเหรอ ฉันว่าทางที่ ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ ทิพย์พูดด้วยสีหน้าประชดประชัน
รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟันกรอด ตอนที่ เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามารับตัวเขา ไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมาถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับ เลี้ยงเด็กกำพร้ากำลังลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมัน กะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียง การยืมเงินเท่านั้น
ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วยเหลือสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชา แบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดอะไรออกมา
ชายชรานภทีปี โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาจ้องรพีพงษ์ เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำตามอำเภอใจได้ แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะมาเพิ่มความวุ่นวาย กันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยงของฉันไม่ต้องการคนไร้ ประโยชน์อย่างแก ต่อไปถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่ อนุญาตให้แกเข้าร่วมอีกต่อไป”
“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบากมากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพีพงษ์กัดฟันพูด อย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์
อารียาเห็นท่าทีจริงจังของเขาแล้ว ก็ถอนหายใจออกมา อย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีปี “คุณปู่คะ เขาต้องการ ช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่นมาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”
นภทีปี ส่งเสียงในลำคอแล้วพูดออกมาว่า “ฉันว่าแกก็น่า จะโดนไอ้คนไร้ประโยชน์นี่เป่าหูเข้าให้แล้ว แกก็ไสหัวไป พร้อมกันมันซะ อย่ามาทำให้ฉันอับอายอีก!”
ศศินัดดาเห็นสถานการณ์แล้ว เธอรีบพูดกับ อารียา “ยังจะ ยืนอึ้งอะไรอีก รีบพาไอ้สวะนี่ไปซะ ถ้ามันทำให้คุณปู่โกรธ อีก ครอบครัวเราซวยแน่”
อารียาจนปัญญา เธอโค้งให้นภทีป์แล้วพูดว่า “ขอโทษค่ะ คุณปู่”
จากนั้นเธอก็ลากรพีพงษ์เดินออกไปข้างนอก
“เธอต้องจับตาดูไอ้คนไม่เอาการเอางานนั่นให้ดีล่ะ อย่า ให้มันออกไปหลอกลวงคนอื่นแล้วทำให้ชื่อเสียงของ ตระกูลฉัตรมงคลเสียหาย!” เสียงเย้ยหยันของธายุกรดังไล่ หลังมา
ภายนอกคฤหาสน์ อารียาปล่อยมือของรพีพงษ์ราวกับทั้ง
ขยะ
“แคลร์ ผมขอโทษ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ ผมไม่มีวิธีอื่นจึงตอนเอ่ยปากขอยืมเงินคุณปู่” รพี พงษ์เอ่ยขึ้น
แววตาของอารียาแสดงออกถึงความผิดหวัง เธอพูดออก มาว่า “ขอโทษแล้วจะได้อะไร คุณล่วงเกินคุณปู่ไปแล้ว”
“ตอนนี้คุณปู่จะซื้ออาคารสำนักงานจากอสังหาริมทรัพย์ ฟ้าอนงค์ เรื่องนี้มันจัดการยากมาก อสังหาริมทรัพย์ฟ้า อนงค์ไม่เห็นเราอยู่สายตา และปฏิเสธที่จะขาย ตอนนี้เรา ต้องหาวิธีทำให้เรื่องนี้สำเร็จให้ได้เพื่อชดใช้กับสิ่งที่นาย
ทำพลาดไป”
“ฉันไปบริษัทล่ะ นายกลับไปเองนะ”
พูดจบ เธอก็เดินออกไป
“แคลร์” รพีพงษ์ตะโกนเรียกเธอ
อารียาหยุดเดิน เธอไม่ได้หันกลับมา แต่พูดด้วยความ กล้ำกลืนว่า “รพีพงษ์ นายทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ”
พูดจบเธอก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา
รพีพงษ์ มองดูแผ่นหลังอันว่างเปล่าของเธอ แล้วสูด หายใจลึก ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในใจของเขา
เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ หลังจากที่อารียาออกไป เขาก็ไปยัง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เขามองประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีสนิมเกาะแล้วหดหู ใจเป็นอย่างมาก เขาเดินเข้าไปข้างใน เห็นเด็กๆ กำลัง คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่จึงเดินเข้าไปถาม “เด็กๆ กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ”
เด็กกลุ่มหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็น รพีพงษ์ เด็กก็ ยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ
สองสามวันมานี่เมื่อเขามีเวลาเขาก็จะมาช่วยที่นี่ เด็กๆ ที่ นี่รู้จักเขาทั้งนั้น
“พี่ พวกเรากำลังขุดผักป่าอยู่ครับคุณน้าจันทร์บอกว่าอาหารของพวกเราจะไม่พอแล้ว พวกเราเลยต้องขุดผักป่า มากิน ถ้าทำแบบนี้จะได้ประหยัดอาหารให้น้องๆ กิน” เด็ก ที่ดูโตกว่าเพื่อนพูดขึ้นมา
รพีพงษ์มองดูผักที่พวกเขาขุดออกมา มันคือวัชพืช เด็ก เล็กขนาดนี้จะแยกออกได้ยังไง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งลำบากใจขึ้นไปอีก
หลังจากพูดเตือนเด็กๆ เขาก็เดินเข้าไปข้างในจนเดินมา ถึงหน้าห้องของคุณน้าจันทร์ เขาลังเล เขาไม่สามารถยืม เงินมาได้ ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคุณน้าจันทร์อย่างไร ปีนั้น เขาได้รับการเลี้ยงดูจากที่นี่ คนที่ดูแลเขามาตลอดคือคุณ น้าจันทร์ เขาถือว่าคุณน้าจันทร์เป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิต ของเขามาโดยตลอด
ประตูเปิดออกคุณน้าจันทร์เดินออกมาจากข้างใน เมื่อเธอ เห็นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างมีเมตตา “รพีพงษ์มาไม่ทักเลย รีบเข้ามานั่งสิ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าตอนนี้ที่นี่กำลังลำบาก ตอนนี้ผม กำลังขอยืมเงิน คุณป้าวางใจเถอะครับ ผมจะหายืมเงินมา ให้ได้” รพีพงษ์พูด
“นายไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอก วันนี้มีคนที่มีจิตเมตตา คนหนึ่งมาบริจาคเงินสองล้าน แถมยังบริจาคของกินให้ อีกเยอะแยะ เราไม่ลำบากแล้วล่ะ”คุณน้าจันทร์พูดดูเธอจะ ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
รพีพงษ์อึ้งไปแล้วถามขึ้นมาว่า “คนจิตใจเมตตา ใครเหรอ ครับ”
“ผมเอง” ในขณะนั้นเสียงที่ดูมีอายุก็ดังขึ้นมา
รพีพงษ์ หันไปแล้วเห็นชายชราที่ไม่รู้มายืนหลังเขาตั้งแต่ เมื่อไร
“ทำไมถึงเป็นคุณอีกแล้ว”
สีหน้าของเขาดูนิ่งไป “ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่ามา หาผมอีก”
ชายชราคนนี้คือท่านคทา เขาคือพ่อบ้านของตระกูลลัดดา วัลย์ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “คุณชาย เมื่อเช้าผมยังพูด ไม่จบ ผมรู้ว่าคุณจะรับมันทั้งหมดไม่ไหว แต่ตระกูลลัดดา วัลย์ยังรอคุณเปลี่ยนใจกลับมา”
พูดพลาง ท่านคทาก็หยิบบัตรสีดำออกมาจากเสื้อแล้วยื่น
ให้เขา
“นี่คือแบล็กการ์ด ใช้ได้แบบไม่จำกัดวงเงิน ทั้งโลกมีแค่ สิบใบเท่านั้น ถือว่าเป็นสิ่งชดเชยให้คุณในปีที่ผ่านมาก”
“นอกจากนั้น แม่ของคุณได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ฟ้าอนงค์ ที่เมืองริเวอร์แล้ว แค่คุณเซ็นสัญญาฉบับนี้ จากนี้ไปที่นั่นก็ จะเป็นของคุณ”
“ผมไม่ต้องการ กลับไปบอกผู้หญิงคนนั้นด้วยนะว่าผมไม่ สนใจอะไรที่มาจากตระกูลลัดดาวัลย์ทั้งหมด”
“อย่ามายุ่งกับผมอีก”
ท่านคทา พูด “แต่ว่าคุณชายครับ สถานรับเลี้ยงเด็ก กำพร้าถ้าไม่มีเงินสนับสนุนก็ไปต่อไม่ได้แน่ ถ้าต้องปิดตัว ลง เด็กพวกนี้จะไร้ที่อยู่”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรังเกียจไม่อยากใช้เงินของ ตระกูลลัดดาวัลย์แต่เด็กๆ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
สำหรับคำพูดของท่านคทา ทำให้เขาคิดสักพัก จากนั้นก็ พูดออกมา “ในบัตรนี่มีเงินเท่าไร”
“พอสำหรับการซื้ออุตสาหกรรมการผลิตในเมืองริเวอร์ได้
ทั้งหมด”
“เลิกพูดไร้สาระ มันมีเท่าไร”
“หมื่นล้าน…”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ