นร้านเครื่องประดับ รพีพงษ์ยังไม่รู้เรื่องที่รถตนเอง เขากำลังตั้งใจดูเครื่องประดับให้กับอารียา อยู่
“รพีพงษ์ เครื่องประดับที่นี่แพงไปหน่อยหรือเปล่า หยกหนึ่งอันทั้งสามแสน ทางนู้นมีปิ่นปักผม ฉันเห็น ว่ามันเหมือนกับที่ทิพย์ใช้ปักผมเลย ที่แท้ ทั้งสองแสน นี่ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วป่ะ
อารียาเห็นเครื่องประดับพวกนั้นที่แสดงอยู่ในร้าน เกิดความตะลึงบนใบหน้า
เครื่องประกับที่นี่ไม่ก็เป็นวัตถุโบราณที่ล้ำค่ำ ไม่มี เป็นผลงานของนักจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง แพงขึ้นมา หน่อยเพราะมีเหตุผลในตัวของมัน คุณดูว่าชอบอัน ไหน ผมซื้อให้คุณ” รพีพงษ์หัวเราะพลางกล่าว
อารียาพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก แล้วกล่าว “ชั่งมัน เถอะ เครื่องประดับที่นี่แพงเกินไป ไม่งั้นพวกเราไป ดูร้านอื่นเถอะ ซื้อกี่อันที่ถูกๆหลอกๆแม่ฉันไปก็โอเค แล้ว
รฟ์พงษ์ปฏิเสธความคิดของอารียาทันที แล้วกล่าว “ซื้อให้เธอ ต้องซื้อที่ดีที่สุด คุณไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องเงิน คุณแค่เลือกอันที่ชอบสักกี่แบบก็โอเคแล้ว แล้วก็เลือกอันที่จะให้แม่ด้วยละกัน”
อารียาเห็นรพีพงษ์ยังคงแน่วแน่แบบนี้ ทำได้เพียง ดูเครื่องประดับเหล่านั้นที่อยู่ในร้านต่อไป เพียงแต่ ดูอยู่นานแล้วแต่ก็ยังไม่อยากซื้อ เพราะมันค่อนข้าง แพงมากจริงๆ
พนักงานสองคนที่กำลังตามรพีพงษ์อยู่นั้นมองพวง กเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ ในใจพลาง คิดถ้าไม่มีปัญญาซื้อแล้วจะเดินวนอยู่ที่นี่ทำไม เสีย เวลาพวกเธอ
ตอนนี้ภูรีเดินเข้ามาในร้าน เพราะเธอคือลูกค้า ประจําของร้าน มีพนักงานสองคนเข้าไปต้อนรับ ทันที ทักทายอย่างกระตือรือร้น
“พี่ภูรี คุณมาอีกแล้ว ครั้งนี้คุณอยากซื้ออะไร หรอ?”
“พวกแกช่วยเหลือเครื่องประดับที่ดูดีสักกี่อันให้ฉัน หน่อยสิ ฉันจะเอาไปให้คนอื่น” กูรีกล่าว
พนักงานสองคนนั้นพยักหน้าทันที แล้วพากรีเดิน รอบๆร้าน
ไม่ซื้อ ก็พูดกับเธอว่า รพีพงษ์เห็นอารียาแค่ดูแต่ไม่ คุณดูหรือยังว่าจะซื้ออันไหน? ถ้าคุณไม่บอก ผมว ตัดสินใจแทนคุณแล้วนะ”
อารียาเห็นรพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็ยื่นมือชี้ไปที่ต่างหูคู่ หนึ่งที่เคาน์เตอร์ตรงนั้น แล้วกล่าว “ฉันรู้สึกว่าต่างหู คู่นั้นสวยดี”
รพีพงษ์หันหลังไปพูดกับพนักงานร้านแล้วกล่าว “รบกวนช่วยพวกเราห่อต่างหูคู่นั้นด้วย ขอบคุณ ครับ”
เขาไม่แม้แต่จะดูว่าต่างหูคู่นั้นราคาเท่าไหร่ สำหรับ เขาแล้ว แม้จะซื้อของในเรื่องทั้งหมดก็ไม่มีปัญหา
สุดท้ายพนักงานก็เห็นรพีพงษ์พวกเราซื้อของเสียที อารมณ์บนใบหน้าก็ดูอบอุ่นขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ไม่ เสียเวลาเปล่า
ตอนนี้ภูรีก็เดินถึงจุดนี้พอดี ดวงตาของเธอก็ส่องไปที่ต่างหูคู่นั้นเช่นกัน แล้วกล่าว ต่างหูคู่นั้นไม่เลว
ห่อให้ฉันด้วย
พนักงานสองคนที่ติดตามเธออยู่ก็พยักหน้า จะไม่ ห่อต่างหูคู่นั้นให้เธอ
พนักงานที่ติดตามรพีพงษ์พวกเขารีบกล่าวทันที ว่า “ขอโทษนะ ต่างดูคู่นี้พวกเขาดูแล้วชอบก่อน ต้องการที่จะซื้อแล้ว
ภูรีบจ้องเขม็งไปที่พนักงานคนนั้น แล้วด่า “ไอ้เด็ก ผู้หญิงคนนี้ตาบอดหรือไง? ไม่รู้หรอว่าฉันเป็นใคร?
พนักงานร้านคนนั้นเพ่งไปที่ภูรี ทันใดนั้นสีหน้าก็ ถอดสี แล้วกล่าว “พี่ภูรี เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจดู ไม่ คาดคิดว่าเป็นคุณ พี่ภูรีได้โปรดยกโทษให้ด้วย
ภูรีมองบนต่อเธอ แล้วกล่าว “งั้นตอนนี้ฉันต้องการ ต่างหูคู่นี้ ยังมีปัญหาอีกไหม?”
“ไม่……ไม่มีปัญหา” พนักงานตอบ
รพีพงษ์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วกล่าว “ขอโทษครับ ต่างหูคู่นี้พวกเราเลือกก่อน ที่นี่น่าจะเน้นเรื่อง มาก่อนได้ก่อนนะ
พนักงานคนนั้นหันกลับไปมองรพีพงษ์ แล้วกล่าว “ไม่งั้นพวกคุณดูแบบอื่นไหม? พี่ภูรีคือลูกค้าประจำ ของร้านเรา พวกเราต้องบริการเธอก่อน
“ผมรู้เพียงแค่มาก่อนได้ก่อน ภรรยาของผมชอบ ต่างหูคู่นั้น อย่างอื่นไม่ชอบ” รพีพงษ์กล่าวอย่าง เยือกเย็น
ภูรีเห็นรพีพงษ์อยากได้ต่างหูนี่ ก็เริ่มเอ่ยปากด่าขึ้น มา
แต่ทว่าเธอยังไม่ได้เริ่มพูด พนักงานคนนั้นก็เริ่มว่า รพีพงษ์ “คุณทำไมเป็นคนแบบนี้ พี่ภูรีคือภรรยาของ ท่านพี่ใหญ่ตระกูลกุลสวัสดิ์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่ง ของกับเธอ? คุณเดินดูที่นี่ตั้งนาน เพิ่งจะพูดว่าเอา ต่างหูหนึ่งคู่ พี่ภูรีเค้ามาที่ร้านไม่กี่นาทีก็ซื้อไปหลาย อย่างแล้ว คุณเทียบกับเธอได้หรอ?
รพีพงษ์รู้สึกค่อนข้างเสียอารมณ์ ไม่คาดคิดว่า พนักงานที่นี่จะว่าเขาไม่หยุด เดินตามตนเองแปป เดียว ก็มีความผิวแล้ว
“โอ้ว ที่แท้ก็เป็นไอ้พวกยากจนทั้งสอง ฉันคิดว่า พวกแกมีเงินมาก กล้าแย่งของกับฉัน แบบพวกแก ยังกล้าแย่งของที่ฉันชอบด้วยหรอ? ถึงแม้ตอนนี้ฉัน จะให้คนโยนพวกแกออกไป ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร รีกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
อารียาเห็นกูรีแตะต้องไม่ได้ ก็ดึงแขนของรพีพงษ์ แล้วกล่าว “ไม่งั้นพวกเราไม่เอาอันนั้นแล้วก็ได้ ดู แบบอื่นละกัน ให้เธอไปก็โอเคแล้ว”
รพีพงษ์หันไปดูอารียา แล้วกล่าว “สิ่งที่คุณชอบ ผมจะต้องช่วยคุณเอามาให้ได้
ภูรีเบ้ปาก แล้วกล่าว “อุ๊ย น่าหัวเราะจริงๆ ไอ้เด็ก น้อย เกรงว่าแกกำลังอยู่ในความฝันนะ? แกไม่ได้ยิน ที่เธอพูดเมื่อกี้ว่าฉันเป็นใครหรอ? ฉันคือพี่สะใภ้ หลักของตระกูลสุขสวัสดิ์ แกยังมีหน้ามาแข่งกับ ฉัน?”
แล้วยังไง ถึงจะเป็นหัวหน้าตระกูลสุขสวัสดิ์อยู่ที่ นี่ ก็ไม่กล้าพูดกับผมแบบนี้เหมือนกัน” รพีพงษ์กล่าว อย่างเยือกเย็น
“แกส่องกระจกบ้างนะ ดูลักษณะแก แกคิดว่าแกเป็นใคร รีบไสหัวไปซะ มิเช่นนั้น ฉันจะให้บอดี้ การ์ตของฉันโยนแกออกไปทั้งคู่” ภูรีกล่าวอย่างไม่ เกรงใจ
พวกแกยังดูอะไรอีก รีบไปสิ พวกแกแตะต้องพี่กร ไม่ได้หรอก” พนักงานสองสามคนก็ไล่ตาม
รพีพงษ์เพ่งมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งคู่ที่อยู่หลังภูรี แล้วกล่าวหัวเราะดูแคลน พลางกล่าว “ผมก็อยากจะ รู้ บอดี้การ์ดสองคนนี่ของคุณจะโยนผมออกไปได้ ไหม?
ภูรีเห็นรพีพงษ์ไม่เกรงกลัวต่อบอดี้การ์ดของเธอ แต่อย่างใด แล้วก็ขมวดคิ้ว
“แกซึ่งกล้า เลนจ์โลเวอร์ที่จอดอยู่ด้านนอกคงจะ ไม่ใช่ของแกสินะ” ภูรีถามขึ้นมาทันที
รพีพงษ์พยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่ผิด เป็นของผมเอง
ทันใดนั้นภูรีก็หัวเราะขึ้นอย่างดัง แล้วกล่าว “ฉันว่า แล้ว ไม่แปลกที่แกแล้วได้ขนาดนี้ รถเลนจ์โลเวอร์ ยังกล้าที่จะจอดในที่ข้างฉัน แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยนะ”
“ที่จอดรถข้างนอกเป็นที่ของสาธารณะ กลายเป็น ของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือก เป็น
ฉันพูดว่าเป็นของฉัน ก็ต้องเป็นของฉัน รถคันนั้น ขอแกฉันทุบทิ้งไปล่ะ นี่คือผลของการที่แกกล้าแย่ง ของกับฉัน ฉันแนะนำให้แกรีบมาตรงนี้ มิเช่นนั้นอีก สักแปปสิ่งที่จะโดนทุบ ก็คือแกนั่นแหละ!” กรีกล่าว อย่างเหยียดหยาม
รพีพงษ์เงียบไปสักพัก แล้วเดินออกไปดูเดี๋ยวนั้น ค้นพบว่ารถของตัวเองโดนทุบจนไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากที่เขากลับมา มองไปที่ภูริอย่างเกรี้ยว กราด แล้วกล่าว “คุณคิดว่าคุณมีขนาดไหน ถึงได้ ทำตัวไม่เคารพกฎหมาย?”
ภูรีแหงนหน้า กล่าว ” กฎหมาย? จะบอกให้แกรู้ไว้ นะ ฉันนี่แหละกฏหมาย แกอยู่ตรงนี้ทำฉันเสียเวลา ฉันจะให้แกรับผลกรรมที่จะตามมา
หลังจากเธอพูดจบ บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่หลังเธอเดินตรงไป รพีพงษ์ จะลงมือกับเขา
ใบหน้าอารียาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่คาด คิดว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
รพีพงษ์ก็ไม่เกรงใจ กระโดดไปชกบอดี้การ์ดสอง คนล้มลงพื้นทันที
ภูรีเห็นบอดี้การ์ดของตนถูกรฟ์พงษ์จัดการอย่าง ง่ายดาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
เธอถอยหลังไปสองก้าว เพ่งไปที่รพีพงษ์อย่างค่อน ข้างเกรงกลัว แล้วกล่าว “แก……แกกล้าต่อยบอดี้ การ์ดของฉัน ฉันเป็นคนของตระกูลสุขสวัสดิ์ แกไม่ อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม!
“ตระกูลสุขสวัสดิ์แล้วไง นี่เป็นข้ออ้างที่คุณไม่มี เหตุผลหรอ? รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น
ปกติภูรีไม่เคยถูกคนปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ บอดี้การ์ดของเธอก็โดนต่อยล้มไปแล้ว เธอก็ไม่รู้จะ ทําไงต่อไป
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” ในชั่วขณะนี้ ก็มีเสียงดังขึ้นมาทุกคนต่างหันมองไปที่ประยุ
โยษิตาเดินเข้ามาในร้าน เมื่อกี้เธอเห็นรถที่โดนทุบ หนึ่งคันอยู่ที่ประตู คิดว่าในร้านเกิดเหตุอะไรขึ้น
หลังจากที่พนักงานหลายคนเห็นโยษิตาแล้ว รีบ เข้าไปต้อนรับทันที เรียกอย่างยินดีว่า “เจ้านาย”
ภูรีไม่คาดคิดว่าโยษิตาจะปรากฏตัวที่นี่ แล้ว พนักงานหลายคนก็เรียกเธอว่าเจ้านาย นี่ทำให้เธอ รู้สึกสงสัย
แต่เธอก็รู้ถึงสถานะของโยษิตา ไม่กล้าลังเล แล้ว รีบเดินเข้าไปแล้วกล่าวอย่างยินดี “คุณโยษิตา คุณ มาที่นี่ได้ไง? ฉันยังคิดว่าอีกเดี๋ยวจะไปหาคุณ
โยษิตามองไปที่กูรี แล้วกล่าว “สองสามวันก่อนฉัน มาเดินดูที่นี่ เห็นว่าไม่เลว เลยเทคโอเวอร์ที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของร้านนี้
ภูริตกใจ ในใจพลางคิดไม่แปลกที่เป็นคนของ ตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโต ได้ทำการซื้อร้าน เครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของเมืองริเวอร์ไว้ นี่ถือว่า ฟุ่มเฟือยกว่าเธออีกเยอะ
“คุณโยษิตาเก่งกาจจริงๆ ซื้อที่นี่ไว้ ฉันยังคิดว่ามา นี่เพื่อซื้อของขวฯให้คุณสักกี่ชิ้น ตอนนี้ดูๆคงไม่ต้อง แล้ว ร้านนี้เป็นของคุณโยษิตาแล้ว” ภูรีพูดอย่างเป็น อาย
“รถข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น?” โยษิตากล่าว
“คืองี้ รถคันนี้แย่งที่จอดกับฉัน ฉันโมโห จึงให้คน ทำลายมันทิ้งซะ” ภูรีกล่าว
เธอคิดว่าโยษิตาเป็นคนเกียวโต น่าจะเข้าใจพวก คนรวยเกี่ยวกับความคิดแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบัง
โยษิตาขมวดคิ้ว เห็นชัดเจนว่าไม่พอใจกับการกระ ท่าของภูรีเป็นอย่างมาก เธอมองไปที่ด้านใน หลัง จากที่ได้เห็นรพีพงษ์กับอารียาแล้ว ในใจก็รู้สึก ตกใจขึ้นมา
“ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ฉันได้ยินเหมือนพวกเธอ กำลังทะเลาะกัน?” โยษิตาไม่รีบไปหารพีพงษ์ เพียง แค่ถามหนึ่งครั้ง
“เจ้านาย ข้างในสองคนนั้นต้องการแย่งของกับพี่ภูริ ถึงแม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกไว้ก่อน แต่พี่ ภูรีเป็นลูกค้าประจำของทางร้าน พวกเราจึงอยากที่ จะเอาต่างหูคู่นั้นให้พี่ภูรี ผลลัพธ์คือสองคนนั้นไม่รู้ จักที่ต่ำที่สูง ยังไงก็ไม่ให้ จึงได้ทะเลาะกันขึ้นมา” พนักงานคนหนึ่งกล่าว
หลายๆคนคิดว่าโยษิตาจะต้องเข้าข้างภูรีแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจรพีพงษ์และอารียาทั้งคู่เลย
“พวกเธอพูดไม่ผิด สองคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ ยังกล้าจะแย่งของกับฉันอีก” ภูรีกล่าวอย่างเหยียด หยาม
อารียาเห็นเจ้าของร้านเค้ามาแล้ว แล้วยังรู้จัก กับภูรีอีก รู้ว่าถ้ายังทะเลาะต่อไปพวกเขาต้องเสีย เปรียบแน่ๆ จึงอยากพารพีพงษ์ไปขอโทษฎร
ในขณะเดียวกันนี้เอง ทันใดนั้นโยษิตาก็ยกมือขึ้น แล้วตบไปที่หน้าของพนักงานคนนั้น แล้วกล่าว “แก ว่าใครไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง? พวกเขาคือหลานชายและ หลานสะใภ้ของฉัน แกก็มีสิทธิ์ว่าเธอแบบนั้น?
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ