บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกำปั้น
บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกําปั้น
“ฉันเตือนให้พวกแกรีบถอยไป ไม่งั้นรถแมคโครกับตะบองที่ อยู่ในมือวัยรุ่นข้างหลังฉันมันจะไปโดนใครก็ไม่รู้ พวกแกเอา เด็กมาขวาง ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกฉันไม่รับผิดชอบหรอกนะ!”
คนที่สวมเสื้อกล้ามที่ยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มวัยรุ่นถือไม้ตะบอง ชายวัยกลางคนหัวล้านจนเห็นรอยแผลเป็นที่อยู่บนหัวอย่าง เห็นได้ชัด
มันคีบบุหรี่อยู่ในมือ ท่าทางดุร้าย มันตะโกนใส่ครูและเด็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ในบรรดาครูผู้หญิง มีอยู่คนหนึ่งที่อายุราวๆ สี่ห้าสิบปี เป็น หญิงวัยกลางคนที่ผมมีหงอกแซม เธอโอบเด็กอยู่ในสองคน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชายหัวล้านคนนั้น เธอดูโกรธแล และ เอาเด็กไปหลบไว้ข้างหลังตัวเอง เธอตะโกนใส่ชายหัวล้าน อย่างไม่กลัวแม้แต่น้อย “เดิมทีสถานสงเคราะห์เด็กแห่งนี้เป็น พื้นที่ที่อยู่ในการดูแลพิเศษ เพื่อใช้ก่อตั้งสถานสงเคราะห์เด็ก พวกนายใช้วิธีสกปรกเอาที่ผืนนี้ไป โดยไม่สนใจว่าเด็กๆ จะ อยู่กันยังไง พวกนายยังมีคุณธรรมอยู่หรือเปล่า!
“ถ้าพวกนายจะรื้อถอนที่นี่จริงๆ ก็ทับศพฉันไปก่อน ฉันไม่ เชื่อว่าบนโลกนี้จะไม่มีความยุติธรรม!”
บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกำปั้น
บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกําปั้น
“ฉันเตือนให้พวกแกรีบถอยไป ไม่งั้นรถแมคโครกับตะบองที่ อยู่ในมือวัยรุ่นข้างหลังฉันมันจะไปโดนใครก็ไม่รู้ พวกแกเอา เด็กมาขวาง ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกฉันไม่รับผิดชอบหรอกนะ!”
คนที่สวมเสื้อกล้ามที่ยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มวัยรุ่นถือไม้ตะบอง ชายวัยกลางคนหัวล้านจนเห็นรอยแผลเป็นที่อยู่บนหัวอย่าง เห็นได้ชัด
มันคีบบุหรี่อยู่ในมือ ท่าทางดุร้าย มันตะโกนใส่ครูและเด็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ในบรรดาครูผู้หญิง มีอยู่คนหนึ่งที่อายุราวๆ สี่ห้าสิบปี เป็น หญิงวัยกลางคนที่ผมมีหงอกแซม เธอโอบเด็กอยู่ในสองคน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชายหัวล้านคนนั้น เธอดูโกรธแล และ เอาเด็กไปหลบไว้ข้างหลังตัวเอง เธอตะโกนใส่ชายหัวล้าน อย่างไม่กลัวแม้แต่น้อย “เดิมทีสถานสงเคราะห์เด็กแห่งนี้เป็น พื้นที่ที่อยู่ในการดูแลพิเศษ เพื่อใช้ก่อตั้งสถานสงเคราะห์เด็ก พวกนายใช้วิธีสกปรกเอาที่ผืนนี้ไป โดยไม่สนใจว่าเด็กๆ จะ อยู่กันยังไง พวกนายยังมีคุณธรรมอยู่หรือเปล่า!
“ถ้าพวกนายจะรื้อถอนที่นี่จริงๆ ก็ทับศพฉันไปก่อน ฉันไม่ เชื่อว่าบนโลกนี้จะไม่มีความยุติธรรม!”
ตอนนั้นเอง รพีพงษ์เดินตามผู้หญิงคนนั้นมาถึงหน้าประตู สถานสงเคราะห์เด็ก ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่ารถแมคโครใกล้จะ เคลื่อนตัวถึงหน้าของครูแล้ว เธอรีบกอดเอกสารในมือแล้ววิ่ง เข้าไป เธออ้าแขนยืนบังครูคนนั้นไว้
“ฉันมีสำเนาสัญญาการซื้อขายที่ดินตรงนี้ ในนี้เขียนไว้ ชัดเจนว่า พวกแกขายที่ดินตรงสถานสงเคราะห์เด็ก ถ้าหาก จะรื้อถอนที่นี่ หน้าที่หลักคือต้องหาที่อยู่ให้กับเด็กในสถาน สงเคราะห์เป็นอันดับแรก”
“ตอนนี้พวกนายเพิกเฉยต่อเงื่อนไขในสัญญา และไม่ไยดี ความเป็นอยู่ของเด็กพวกนี้ อย่าบอกนะว่าพวกนายจะไม่ดูแล เด็กพวกนี้!”
ผู้หญิงคนนั้นตะโกนใส่คนพวกนั้นอย่างกล้าหาญ
ชายหัวล้านเห็นเอกสารที่ผู้หญิงคนนั้นเอามา ก็ขมวดคิ้วขึ้น ทันที ตอนที่เซ็นสัญญา มันมีเงื่อนไขนี้อยู่จริงๆ แต่มันก็เขียน ไว้เพื่อให้ดูดีเท่านั้น เมื่อได้ที่ดินมาใครจะไปสนใจว่าเด็กพวก นั้นจะเป็นหรือตายกันล่ะ
พวกเขารู้ดีว่า เมื่อเบื้องบนขายที่ผืนนี้เรียบร้อย พวกนั้นก็จะ ไม่มียุ่งเรื่องหลังจากนี้อีก สำหรับคนในสถานสงเคราะห์เด็ก พวกเขาไม่สามารถพูดว่าไม่สนใจ พวกเขาแค่ยื้อเวลาจนคน พวกนี้หมดความอดทนและยอมแพ้ไปเอง
นี่คือวิธีที่พวกเขาใช้จนเคยชิน
พวกเราไม่ได้พูดว่าไม่สนใจคนในสถานสงเคราะห์เด็ก แต่ ” ว่าการที่เราจะสร้างสถานสงเคราะห์เด็กแห่งใหม่มันจะเป็น ต้องใช้เงิน ถ้าเราไม่รื้อที่นี่ แล้วเราจะเอาเงินจากไหนไปดูแล พวกแกละ ตอนนี้พวกแกมาขวางพวกเรา มันไม่เป็นการทำให้ เราลําบากใจเหรอ” ชายหัวล้านแสยะยิ้ม
“พวกนายก็แค่พูดแถไปเรื่อย ถ้าพวกนายไม่ดูแลเด็กใน สถานสงเคราะห์ พวกเราก็จะไม่ให้รื้อถอน นอกจากจะเอารถ มาทับฉันไปก่อน!” ผู้หญิงคนนั้นมีสีหน้ากระวนกระวาย เธอจะ รับมือกับพวกอันธพาลไร้เหตุผลแบบนี้ได้อย่างไร
ชายหัวล้านยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น แล้วพูดว่า “สาวน้อย ดู ลักษณะแล้วน่าจะอายุยี่สิบต้นๆ หน้าตาก็ดีนิ นี่เป็นช่วงอายุ ที่ดีที่สุดเลยนะ ทำไมต้องมายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าเธอยังดื้อ ดึงมายุ่งกับเรื่องนี้ พวกเรามีวิธีรับมือกับเธอนะ เมื่อถึงตอนนั้น เมื่อถึงตอนนั้นสิ่งที่มาทับเธอ อาจจะไม่ใช่รถแมคโครก็ได้
เมื่อมันพูดจบ คนที่อยู่ข้างหลังก็พากันหัวเราะขึ้นมา
ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกรังเกียจ คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นจะต่ำช้าถึง ขั้นที่เอาคำพูดแบบนั้นมาข่มขู่เธอ
“พอเถอะ พวกเราไม่มีเวลามาเถียงกับพวกแก ถ้าพวกแกรู้ตัว ก็รีบพาเด็กพวกนี้ออกไปซะ นี่คือสิ่งที่เบื้องบนสั่งมา พวกเรา ก็แค่ทำตามคำสั่ง ถ้าพวกแกยังขวางอีก พวกเราจะลงมือแล้ว นะ!” ชายหัวล้านพูดขึ้นอีกครั้ง
ผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนขวางอยู่หน้าพวกมัน โดยไม่มีจะท่าที จะถอยออกไป
ชายหัวล้านเห็นดังนั้น จึงแสยะยิ้มแล้วส่งสายตาให้กับพวกที่ อยู่ด้านหลัง
พวกชายที่ถือตะบองรีบก้าวขึ้นมาอย่างน่ากลัว ดูเหมือนพวก มันจะเข้ามาทำร้ายครูและผู้หญิงคนนั้น
คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันส่ายหน้า พวกเขาไม่สามารถเข้าไป ยุ่งกับชายหัวล้านได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงสงสารผู้หญิงคนนั้น
ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นกำลังจะเข้ามาถึงหน้าของผู้หญิงคนนั้น ก็มี ใครบางคนเดินออกมาจากฝูงคน และไปยืนอยู่ตรงหน้าของผู้ หญิงคนนั้น
“พวกนายคือคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงใช่ไหม”
รพีพงษ์มองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วถามอย่างเย็นชา
วันนี้ที่คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ ประธานบริษัท อสังหาริมทรัพย์บันดุงพูดถึงเรื่องที่ดินที่สถานสงเคราะห์ เด็กที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเก่า ถ้าเดาไม่ผิดนี่น่าจะเป็นสถาน สงเคราะห์เด็กที่ณัฐปภัสร์พูดถึง
เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นรพีพงษ์ก็ชะงักลง และมองรพีพงษ์อย่าง ประเมิน
ชายหัวล้านคิดไม่ถึงว่าจะมีคนโผล่มาช่วยพวกนี้ในเวลานี้ เขากันค่าในใจแล้วก้าวเข้ามา “ในเมื่อแกรู้ว่าพวกเราคือคน ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุง ก็เลิกมายุ่งได้แล้ว รีบไสหัว ไปซะ อย่ามาทําให้เราเสียเวลา!”
“นายเรียกประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงมาสิ ฉัน อยากถามเขาหน่อยว่าเขาทําธุรกิจแบบนี้เหรอ” รพีพงษ์จ้อง ชายหัวล้านแล้วพูดขึ้น
ชายคนนั้นแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึง อยากเจอประธาน นี่ฉันไว้หน้าแกนะ รีบไสหัวไปซะ ไม่งั้นคน พวกนี้จะไม่เกรงใจแกแล้ว!”
กลุ่มวัยรุ่นแสยะยิ้มใส่รพีพงษ์ ราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก
รพีพงษ์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องใช้ เหตุผลด้วยกําปั้นแล้วล่ะ”
“ไอ้เวรเอ๊ย ยังมาอวดดีอีก พวกเราจัดการมันเลย ดูสิว่าจะ กล้าเป็นฮีโร่อีกไหม” ชายหัวล้านตะโกนออกมา
ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าคนที่มาช่วยพวกเธอคือชายที่ชนเธอ เธอ รู้สึกตกใจเล็กน้อย
แต่เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์พูดได้ไม่เท่าไร ก็จะมีเรื่องกับคนพวก นั้น เธอจึงรู้สึกร้อนใจ
“พี่คะ รีบไปเถอะคะ เรื่องนี้เราจัดการเองได้ คนพวกนี้ไม่ฟัง เหตุผลอะไรเลย พวกมันจะทำร้ายคุณจริงๆ นะคะ” ผู้หญิงคน นั้นพูดกับรพีพงษ์
รพีพงษ์หันไปยิ้มให้เธอ และพูดว่า “วางใจเถอะ ไอ้พวกนี้มัน ทําอะไรผมไม่ได้หรอก เมื่อกี้ผมชนคุณ ที่ว่าช่วยคุณเป็นการ ชดใช้ก็แล้วกัน”
คนที่มามุงดูคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาช่วย แถมยังดูเหมือนไม่ กลัวคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ มาถึงก็จะมีเรื่องกันแล้ว คนพวกนั้น พากันอึ้งไป
แต่ในสายตาพวกเขา รพีพงษ์แค่ตัวคนเดียว จะไปสู้กับลูก น้องมากมายของชายหัวล้านได้ยังไง การที่เขาออกมาช่วย อาจจะเป็นเพราะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้น
“ไอ้หมอนี่บ้าจริงๆ จะรับมือกับคนพวกนั้นด้วยตัวคนเดียว ถ้า มีเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไอ้หมอนี่ตายแน่ คนพวกนั้นยิ่งไม่ฟังเหตุผล อยู่ด้วย”
“โง่จริงๆ เลย คนพวกนั้นเป็นคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ บันดุง บริษัทใหญ่ขนาดนั้นจะเห็นคนพวกนั้นอยู่ในสายตาได้ ยังไง บางทีเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ก็ทำได้แค่อดทนเท่านั้นแหละ”
“ยุคนี้อะนะ ถ้าแยกแยะไม่ออกระหว่างการช่วยคนเพราะ ความถูกต้องกับความบุ่มบ่าม ก็มีแต่จะเสียเปรียบเท่านั้น”
เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นว่ารพีพงษ์ไม่มีท่าทีกลัว พวกมันก็มีสีหน้า เหี้ยมโหด พวกมันชอบการสั่งสอนพวกอวดดีที่สุด สิ่งที่สนุกก็ คือรมให้คนแบบนี้คุกเข่าร้องขอชีวิต
“ไอ้เด็กน้อย แกนี่อวดดีจริงๆ ไม่รู้ว่าแกจะอวดดีได้ถึงไหน อย่ามาร้องขอชีวิตเพราะโดนตีแค่ทีเดียวล่ะ แบบนั้นมันน่าเบื่อ สุดๆ !”
วัยรุ่นที่อยู่ด้านหน้าควงตะบองในมือไปมา และตีลงไปที่ตัว ของรพีพงษ์อย่างไม่ลังเล
ผู้หญิงคนนั้นเห็นก็หลับตาปี่ จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้อง อย่างน่าเวทนา เธอสั่นไปหมดทั้งตัว
จากนั้นเธอจึงลืมตาขึ้น เพื่อดูว่ารพีพงษ์เป็นอย่างไรบ้าง แต่ สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่รพีพงษ์ที่นอนอยู่บนพื้น แต่กลับเป็นคนที่จะ เข้ามาทําร้ายรพีพงษ์เมื่อครู่ รพีพงษ์เอาตะบองมาถือไว้และ ยืนอยู่ที่เดิมเหมือนเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย
คนที่มามุงดูต่างพากันเบิกตาโตด้วยความตกใจ ราวกับเห็น สิ่งที่ไม่อยากจะเชื่ออย่างไรอย่างนั้น
ขายหัวล้านคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะจัดการกับลูกน้องของเขา ได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ เขารู้สึกตกใจ จากนั้นจึงตะโกนใส่ลูก น้องตัวเอง “อึ้งอะไรกันอยู่ล่ะ รีบเข้าไปสิ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไอ้ หมอนั่นจะสู้จํานวนคนของเราได้!”
รพีพงษ์ถือตะบองในมือ และยิ้มอย่างมีเลศนัย
เขาขยับตัวไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงร้องอันน่าเวทนาก็ ดังขึ้นที่หน้าประตูสถานสงเคราะห์เด็กอย่างต่อเนื่อง
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ