แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

บทที่310 ประกาศล้มละลาย



บทที่310 ประกาศล้มละลาย

บทที่310 ประกาศล้มละลาย

วินาทีนั้นที่ปิยังกูรมองเห็นรพีพงษ์เดินเข้ามา ดวงตาทั้งสองเบิก โตทันที บนหน้าเผยท่าทางที่ไม่อยากเชื่อออกมา แล้วพูดอย่าง โมโห “รพีพงษ์ แกไอ้สวะคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

รพีพงษ์หัวเราะพลางมองปิยังกูรที่หนึ่ง เอ่ยปากบอก “ฉันมาดู หน่อยว่าบริษัทที่ฉันลงทุนเป็นยังไงบ้าง ทำไม หรือว่ามีปัญหา อะไรเหรอ?”

ปิยังกูรรีบกุมหมัดแน่น ดวงตาสองข้างถลึงใส่รพีพงษ์อย่างเย็น ชา บอกว่า “แกมาเสแสร้งที่นี่ให้น้อยๆ หน่อย ฉันอยากเจอตัวแก อยู่พอดี ในเมื่อแกมาถึงที่เอง งั้นก็อย่าโทษว่าฉันไม่เกรงใจ”

พูดจบ เขาส่งสายตาไปที่บอดี้การ์ดหลายคนของตนเอง แสดง ว่าให้พวกเขามาจับรพีพงษ์เอาไว้

เวลานี้เธียรวิชญ์ขวางอยู่ตรงหน้าของรพีพงษ์ พูดอย่างเย็น ชา “ประธานปิยังกูร ผมว่าดีที่สุดคุณเกรงใจสักหน่อยนะ พวกคุณ ต้อนรับผู้ลงทุนของบริษัทตัวเองแบบนี้เหรอ?”
สีหน้าของปิยังกูรเปลี่ยนฉับพลัน มองทางเธียรวิชญ์แบบไม่ อยากเชื่อพลางถามว่า “ประธานเธียรวิชญ์ คุณหมายความว่าอะไร คุณพูดว่ารพีพงษ์เป็นผู้ลงทุนของบริษัทพวกผม?”

“ไม่ผิด คุณรพีก็คือประธานที่ลงทุนในครั้งนี้ของบริษัทพวกคุณ เธียรวิชญ์เอ่ยปาก

“นี่เป็นไปไม่ได้ รพีพงษ์เป็นแค่สวะคนหนึ่ง เขาจะเป็นประธาน ที่ลงทุนของบริษัทพวกเราได้ยังไง” ปิยังกูรเบิกดวงตาโตทันที เวลานี้ทนไหวแล้ว ตะโกนออกมาโดยตรง

“ประธานปิยังกูร ขอให้ระวังการพูดจาของคุณด้วย รพีพงษ์เป็น ผู้ลงทุนของบริษัทคุณ คุณพูดจาไม่มีมารยาทกับเขาเช่นนี้ คุณ คิดว่าเหมาะสมแล้วเหรอ?” เธียรวิชญ์มองปิยังกูรอย่างไม่พอใจที หนึ่ง

ปิยังกูรหันหน้ามองทางผู้บริหารระดับสูงของบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปคนนั้นแวบหนึ่ง ผู้บริหารระดับสูงคนนั้นอธิบายทันที “ที่ ประธานของพวกเราพูดไม่ผิด คนที่ดำเนินการลงทุนให้บริษัท พวกคุณเป็นคุณรพีจริงๆ ผมเพียงแต่เซ็นชื่อแทนเขาเท่านั้น”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ รพีพงษ์จะกลายมาเป็นผู้ลงทุนของบริษัท พวกผมได้ยังไง เขาไม่ใช่สวะในสายตาของทุกคนเหรอ เขาเอา เงินมาจากไหน ครั้งนี้บริษัทพวกผมจัดหาเงินทุนหมุนเวียนพันล้านนะ” ปิยังกูรยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

“ข่าวลือปี2012หรือวันสิ้นโลก นายเชื่อแล้วมั้ย? ไม่ใช่แค่ ภายนอกลือกันว่าฉันเป็นสวะเท่านั้นเหรอ ฉันเองยอมรับแล้วเห รอ?” รพีพงษ์หัวเราะจ้องปิยังกูรไว้

ชั่วขณะนั้นดวงตาสองข้างของปิยังกูรหรี่ขึ้นมา หลังจากนั้นสัก พักถึงจ้องรพีพงษ์แล้วพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ครั้งนี้นายจะเป็นผู้ลงทุน แล้วยังไง เป็นนายที่ลงทุนเอาเงินให้ฉัน สัญญาก็เซ็นแล้ว เงิน ที่ควรให้ฉันก็ต้องให้มา หรือว่านายคิดว่านายเป็นผู้ลงทุนของ บริษัทพวกฉันแล้ว จะสามารถทำยังไงกับฉันก็ได้งั้นเหรอ?”

พูดจบ ปิยังกูรหัวเราะขึ้นมา เมื่อสักครู่ไม่ใช่ว่าเขาตกใจเรื่องที่ รพีพงษ์เป็นเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้นเองเหรอ ตอนนี้ลอง กลับมาคิดดู สัญญาก็เซ็นไปแล้ว ไม่ว่าใครเป็นผู้ลงทุน ที่ได้รับ ผลประโยชน์ก็คือบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ส รพีพงษ์ท่าขนาด นี้ เท่ากับว่ามอบเงินให้กับปิยังกูรไปเปล่าๆ

“ที่จริงในสัญญาเขียนไว้ว่าฉันควรให้เงินนาย แต่ในสัญญาก็ เขียนไว้ว่าพวกนายบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สจำเป็นต้อง จําเนินกิจการที่คุณสมบัติดีเลิศ คุ้มค่าแก่การไว้วางใจ ขอถาม ประธานปิยังกูรหน่อย ถ้าจุดนี้นายทำไม่ได้ งั้นฉันก็มีสิทธิ์ที่จะ ปฏิเสธการให้เงินทุนกับพวกนายใช่รึเปล่า?” รพีพงษ์หัวเราะเอ่ย ปากขึ้น
ใบหน้าปิยังกูรเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม จ้องรพีพงษ์ไว้บอก ว่า “บริษัทของพวกฉันย่อมมีคุณสมบัติดีเลิศ ไม่อย่างนั้นคงไม่ อาจทํามาถึงขั้นในวันนี้ได้ รพีพงษ์ นายอย่าคิดใช้วิธีแบบนี้มา จัดการฉันเลย มีสัญญาอยู่ เงินนี้นายจําเป็นต้องให้

รพีพงษ์หยิบเอกสารพับหนึ่งออกมาจากด้านในเสื้อของตนเอง ทันที โยนไปตรงหน้าของปิยังกูร แล้วบอกว่า “ในนี้เป็นบันทึก การจ่ายโครงการที่สะเพร่าสิบกว่าอันของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สของพวกนาย ถึงแม้ภายหลังนายจะลบล้างเรื่องความ เกี่ยวข้องกับบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สแล้ว แต่ขอเพียงว่า เคยทํา ก็ยังคงเหลือหลักฐานไว้ ฉันมีหลักฐานมากพอที่จะพิสูจน์ ว่าโครงการสะเพร่าพวกนี้เป็นนายบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ สสร้างมากับมือ ตอนนี้นายยังกล้าพูดว่าพวกนายเป็นกิจการที่มี คุณสมบัติดีเลิศอยู่เหรอ?”

ปิยังกูรหยิบเอกสารพวกนั้นที่รพีพงษ์โยนเข้ามาขึ้นมาดูสัก หน่อย หลังจากนั้นนับวันยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น อย่างไรเสียเขาก็คิด ไม่ถึงว่าแม้แต่รายละเอียดน้อยนิดไม่พอให้พูดถึงพวกนี้ รพีพงษ์ ล้วนหาออกมาได้ ตอนนี้เขาสงสัยขึ้นมานิดหน่อยว่าสรุปแล้วรพี พงษ์เป็นใครกันแน่

“ของพวกนี้กับการหาเงินทุนในครั้งนี้ของพวกเราเดิมทีไม่เกี่ยว ข้องใดๆ กันเลย ว่าตามกติกา เซ็นสัญญาแล้ว นายก็ควรที่จะโอน เงินให้พวกฉัน ถ้าผิดสัญญา ฉันมีสิทธิ์ไปฟ้องนายที่ศาลได้” ปิยั งกูรจ้องรพีพงษ์อยู่พูดขึ้น
รพีพงษ์หัวเราะแล้ว หลังจากนั้นปรบๆ มือ ผู้ชายสี่คนที่ใส่ชุดสูท สีดำยืนอยู่ด้านหลังของเธียรวิชญ์รีบเดินออกมาทันที

“สี่คนนี้เป็นทนายมืออาชีพที่ฉันเชิญมา เงินลงทุนในครั้งนี้ นาย จะไม่ได้รับไปแม้แต่แดงเดียว นายจะไปฟ้องฉันก็ได้ เรื่องราว ทุกอย่างของฉันในวันหลัง ล้วนปล่อยให้ทนายสี่คนนี้มาจัดการ นายมีเรื่องอะไรไปหาพวกเขาก็พอ เชื่อว่านี่จะต้องเป็นขั้นตอนที่ ยาวนานแน่ ขอเพียงนายประธานปิยังกูรสามารถทนไหวก็พอ” รพีพงษ์ยิ้มบอก

ชั่วขณะนั้นปิยังกูรเส้นเลือดนูนขึ้น เขาฟังออกว่ารพีพงษ์จงใจ อยากยืดเวลาออกไป และเขาที่รับโครงการมามากมายอยู่พอดี เพิ่มวงเงินกู้ที่สูงมาก ถ้าตอนนี้เอาเงินมาไม่ได้ บริษัทของเขาก็ จะต้องล้มละลายเพราะการขาดตอนของห่วงโซ่เงินทุน ยังมีเวลา ไปขึ้นศาลกับรพีพงษ์ที่ไหนกัน

“รพีพงษ์ นายจงใจใช่มั้ย นายคิดว่าฉันรอไม่ไหวรึไง? ถ้าต้อง ขึ้นศาลจริง สุดท้ายฉันชนะ นายจะต้องชดใช้ให้ฉันเป็นเงินพัน ล้านฟรีๆ” ปิยังกูรกัดฟันพูด

ใบหน้ารพีพงษ์เต็มไปด้วยความไม่สนใจ เอ่ยปากบอก “พันล้าน แค่นั้นเอง ถึงแม้ต้องชดใช้ให้นายแล้วยังไง แต่ที่ฉันรู้มา หลาย วันนี้นายน่าจะรับโครงการมาไม่น้อยสินะ โดยเฉพาะมีไม่น้อยที่ รีบร้อนเริ่มเตรียมแล้วด้วย ถ้าเงินก้อนนี้ของฉันไม่เข้าบัญชี เกรง ว่าห่วงโซ่เงินทุนของบริษัทนายคงจะขาดแล้วล่ะมั้ง ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นที่บริษัทไม่มีแล้ว ประธาน ปิยังกูรยังจะมีกะจิตกะใจมาขึ้นศาลกับฉันรึเปล่า

ปิยังกูรนึกไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะใช้วิธีแบบนี้มาจัดการเขา เดิมทีเขา ยังคิดว่าการหาเงินหมุนเวียนให้บริษัทเป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้ดูแล้ว เดิมทีก็เป็นหลุมพรางขนาดใหญ่อย่างยิ่ง

“รพีพงษ์ นายน่าจะทำเพื่อแก้แค้นเรื่องของเมียนายสินะ ความ จริงนายไม่จําเป็นต้องทำขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่านายเป็นใครกัน แน่ แต่ฉันบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สก็ไม่ใช่บริษัทเล็กอะไร ยังดีกว่าบริษัทของตระกูลฉัตรมงคลด้วยซ้ำ ถ้านายไม่ถือสาเรื่อง ในอดีต ฉันสามารถแบ่งหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทพวกฉัน ให้นายไ

ปิยังกูรรู้ว่าตอนนี้ตนเองไม่มีทางอื่นแล้ว ทำได้เพียงขอเจรจา สงบศึกกับรพีพงษ์

รพีพงษ์ได้ยินปิยังกูรพูดขนาดนี้ ในสายตาประกายแสงดุผ่านไป พูดเสียงเย็นชา บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ส ในสายตาฉันก็แค่ พวกต่ำต้อย นายคิดว่าหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์จะสามารถดึงดูดฉัน ได้เหรอ? ปิยังกูร จะบอกนายให้นะ ความผิดบางอย่างไม่สามารถ ให้อภัยได้”

พูดจบ รพีพงษ์ตบมืออีกครั้ง จากนั้นก็มีสองคนเดินเข้ามาจาก ด้านนอก สองคนนี้จับไตรวิทย์ที่ใบหน้าซูบผอมไว้ หลังจากผ่านการทรมานมาสองวัน ไตรวิทย์เสียจิตวิญญาณไปโดยสิน

เชิง

ปิยังกูรมองเห็นไตรวิทย์ถูกพาเข้ามา สีหน้าเปลี่ยนไป ร้องตกใจ

“ลูกชาย”

ไตรวิทยได้ยินเสียงของปิยังกูร รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที จากนั้น ร้องไห้ขึ้นมาแบบกลั้นไม่อยู่ “พ่อ พ่อรีบช่วยผมเร็วหน่อย น่ากลัว เหลือเกิน พวกเขาน่ากลัวเหลือเกินจริงๆ พ่อ พ่อรีบขอโทษร พงษ์เข้าสิ เดิมทีพวกเราหาเรื่องเขาไม่ได้”

ปิยังกูรนึกไม่ถึงว่าพอไตรวิทย์อ้าปากมาก็ให้เขาขอโทษรพีพงษ์ บนหน้าเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เขาจ้องมองรพีพงษ์ทีหนึ่ง พูดเสียงเย็นชา “รพีพงษ์ นายทำอะไรกับลูกชายฉันแล้ว”

“เพียงแค่ลงโทษเขาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เขากล้าลงมือกับ เมียฉัน นายคิดว่าฉันจะปล่อยเขาไปง่ายๆ เหรอ?” รพีพงษ์เอ่ย ปาก

“นายรีบปล่อยลูกชายฉันออกซะ ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าฉันไม่ เกรงใจ” ปิยังกูรกัดฟันพูด

รพีพงษ์หัวเราะแล้วเดินมาตรงหน้าของไตรวิทย์ บอกว่า “เขาทำ ผิดแล้ว ก็ควรได้รับการลงโทษ ฉันพาเขามาคุยเงื่อนไขกับนาย แต่ก่อนที่จะคุยเงื่อนไข ฉันต้องให้เขาได้รับโทษ ที่ควรรับไปก่อน”

พูดจบ รพีพง ยกขาขึ้นทันที เตะไปบนขาของไตรวิทย์อย่าง รวดเร็ว เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างกายของไตรวิทย์อ่อนลง ทันที ล้มลงไปด้านข้าง แต่เขาโดนสองคนนั้นจับไว้และพยุงไว้ แล้ว

“แกกล้าหักขาลูกชายฉัน ฉันจะสู้กับแก” ปิยังกูรพุ่งเข้ามาทาง รพีพงษ์นั้น บอดี้การ์ดด้านหลังของเธียรวิชญ์ขวางเขาไว้โดยตรง จากนั้นผลักกลับไปทีหนึ่ง

รพีพงษ์จ้องปิยังกูร หัวเราะแล้วถีบออกไปทีหนึ่งอีก ทำให้ขาอีก ข้างหนึ่งของไตรวิทยหักไป

เวลานี้ดวงตาสองข้างของปิยังกูรเปลี่ยนมาแดงก่ำ แต่เขาไม่มี วิธีอันใด รพีพงษ์คนเดียวก็จัดการลูกน้องฝีมือเยี่ยมที่เขาใช้เงิน ก้อนโตเลี้ยงดูออกมาได้ แล้วเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของรพีพงษ์ได้ อย่างไรกัน

“ขาสองข้างนี้เป็นการเตือนลูกชายของนายว่าต่อไปมาสนใจ เมียฉันให้น้อยหน่อย นายจําเอาไว้ให้ฉันด้วย ถ้าพวกนายกล้ามา คิดอะไรกับเมียฉันอีก คงไม่ใช่แค่หักขาง่ายดายขนาดนี้” รพีพงษ์ เอ่ยปาก
ปิยังกูรได้ยินเสียงร้องโหยหวนของไตรวิทย์ และนึกถึงวันนี้ควร จะเป็นวันที่น่าดีใจวันหนึ่ง ใครจะคิดว่าจะเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ได้ ชั่วขณะนั้นภายในใจพังทลายขึ้นมาอยู่บ้าง เกือบจะเหมือนไตร วิทย์ที่ร้องไห้ออกมา

หลังจากรพีพงษ์หักขาของไตรวิทย์แล้วก็มองทางปิยังกูร บอก ว่า “ลงโทษเสร็จเรียบร้อย ต่อไปฉันจะพูดเงื่อนไขของฉันแล้ว ตอนนี้ลูกชายของนายอยู่ในมือฉัน โดยเฉพาะด้วยความสามารถ นาย อยากจะแย่งเขากลับไปย่อมไม่มีทาง ตอนนี้ฉันจะให้โอกาส นายครั้งหนึ่ง เอาสัญญาโอนเปลี่ยนบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ สของพวกนายมาแลกลูกชายจากฉันไป ไม่อย่างนั้นนายไปขึ้น ศาลกับฉันได้ เพียงแต่ว่าชีวิตของลูกชายนายคงรักษาไม่รอด นายเลือกเอาเองสักอย่างเถอะ”

หลังปิยังกูรได้ยินเงื่อนไขที่รพีพงษ์เสนอออกมา ทั้งตัวหงอย ลงมาแล้ว เขารู้ว่าเขาในตอนนี้ เดิมทีไม่มีทางเลือก ถึงแม้เขา อยากจะฟ้องร้องกับรพีพงษ์จริง ขึ้นศาลยังไม่ทันจบ บริษัทของ เขาคงต้องล้มละลายแน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตลูกชายของเขายังโดนแขวนไว้เพราะ เหตุนี้ นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุด

แต่ทว่าบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สเป็นสติปัญญาและพลังใน ชีวิตของเขา เขาจะยอมวางมือให้คนอื่นไปแบบนี้ได้อย่างไร
ในใจปิยังกูรเกิดความเสียใจนิดๆ อย่างไรเสียเขาก็คาดไม่ถึง สุดท้ายเรื่องนี้จะกลับกลายเป็นแบบนี้ได้

เดิมทีเขาเพียงแค่อยากข่มขู่รพีพงษ์สักหน่อย ชนะการแข่งขัน โกะเท่านั้น แต่ทว่าสุดท้ายกลับกลายมาเป็นว่าเขาต้องมอบบริษัท ออกไปแลกกับชีวิตลูกชายของตนเองคืนมา

ต้นเหตุทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะเขาไปหาเรื่องรพีพงษ์เข้าให้

ถ้าเวลานี้เขายังคิดว่ารพีพงษ์เป็นเพียงแค่สวะคนหนึ่งอยู่งั้นเขา ก็ไม่มีสิทธิ์กลายเป็นประธานของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ส ได้แล้ว

แม้แต่เธียรวิชญ์ประธานของบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ปยังเคารพ นอบน้อมต่อรพีพงษ์ รพีพงษ์จะเป็นเพียงบุคคลธรรมดาได้ อย่างไร เป็นแบบนี้ต่อไป ท้ายที่สุดคนที่เสียเปรียบมีแต่จะเป็นเขา เอง

“พ่อ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากตาย รพีพงษ์ไม่ใช่คนที่พวกเรา จะหาเรื่องได้จริงๆ แม้แต่ทายาทของตระกูลลัดดาวัลย์…… ไตร วิทย์พูดแบบหายใจแขม่วๆ

รพีพงษ์ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง พูดเสียงเย็นชา “ไม่อยากเอาลิ้นไว้ แล้วเหรอ?”
ไตรวิทย์รีบหุบปากของตนเองทันที สักคำหนึ่งก็ไม่กล้าพูดออก

มา

ปิยังกูรถอนหายใจทีหนึ่ง เอ่ยปากบอก “สัญญาโอนถ่ายนายน่า จะเตรียมมาแล้วสินะ เอามาเถอะ บางทีอาจจะเป็นชะตากรรมที่ ถูกลิขิตไว้ในชีวิตฉันมั้ง”

รพีพงษ์หัวเราะแล้ว มองทางเธียรวิชญ์ที่หนึ่ง เธียรวิชญ์รีบยื่น สัญญาโอนเปลี่ยนให้ปิยังกูรทันที

ปิยังกูรเซ็นชื่อด้านบนโดยที่อ่านก็ไม่อ่านทั้งนั้น เพราะเขารู้ว่า สถานการณ์แบบในวันนี้ ไม่ว่ารพีพงษ์จะให้เขาทําอะไร เขาล้วน ยอมเซ็นไปอย่างซื่อสัตย์

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สก็เป็นของนาย แล้ว” ปิยังกูรยื่นสัญญาเข้าไป

รพีพงษ์รับสัญญาเข้ามา จากนั้นให้คนส่งไตรวิทย์ที่ขาหักสอง ข้างไปให้ปิยังกูร

บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สเป็นเลือดเนื้อและจิตใจในชีวิต ของฉัน หวังว่าหลังนายรับไป จะสามารถบริหารมันดีๆ มัน สามารถนำผลประโยชน์ให้นายได้ ทั้งยังคุ้มค่ามาก” ปิยังกูรเอ่ย ปาก
รพีพงษ์อื่นๆ ปาก นำสัญญายืนให้เธียรวิชญ์พลางบอกว่า “ไม่ จําเป็นหรอก ผลประโยชน์แค่นี้ยังเยอะไม่เท่าดอกเบี้ยในธนาคาร ของฉัน ฉันไม่มีจิตใจจะไปบริหารบริษัทห่วยๆ แบบนี้”

ปิยังกูรถลึงตา มองรพีพงษ์อย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ก่อนจะ ถามขึ้น “งั้นนายจะเอาบริษัทนี้ของฉันไปทำอะไร?

“เพียงเพื่อให้นายสิ้นเนื้อประดาตัวเท่านั้น นายเป็นพ่อของไตร วิทย์ ไม่ลงโทษนายสักหน่อย นายคิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้เห รอ?” รพีพงษ์เอ่ยปาก หลังจากนั้นมองทางเธียรวิชญ์แล้วบอกว่า ไปเตรียมตัวหน่อยเถอะ ประกาศว่าบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์ สลัมละลาย บริษัทแบบนี้ไม่จำเป็นต่อการมีตัวตนแล้ว

ปิยังกูรได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ร่างกายราวกับเจอฟ้าผ่า

ดีเลวอย่างไรบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สก็ถือว่าเป็นบริษัท อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่สุดในเมืองริเวอร์ และกำไรยังเป็นไปใน ทางที่ดีมากด้วย แต่หลังปิยังกูรโอนบริษัทให้รพีพงษ์ เรื่องแรกที่ ทําก็คือจะประกาศว่าบริษัท อสังหาริมทรัพย์ เมค์สล้มละลาย

เครื่องมือทำเงินที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ รพีพงษ์กลับไม่สะทกสะท้าน ความอาจหาญแบบนี้ เดิมทีไม่ใช่คนทั่วไปสามารถครอบครองได้

เจ้าหมอนี้ สรุปเป็นใครกัน?


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ