บทที่278 กูนี่แหละสุกรณ์
เสียงของพนักงานดังมาก ดึงดูดทุกคนที่กินข้าวอยู่
ในร้านอาหารฟอร์จูน
ทุกคนหันไปมองทรพีพงษ์และธฤตญาณ ด้วย สายตาที่เห็นใจ
“ไม่คาดคิดว่าตอนนี้ยังมีคนกล้าเยาะเย้ยเจ้านาย สุกรณ์ เจ้านายสุกรณ์ตอนนี้คือนายใหญ่ของธุรกิจ อาหารที่เมืองกรีนโคลทั้งสองคนนี้ไม่กลัวตายจริงๆ
“โถๆ คาดไม่ถึงว่าจะมาร้านอาหารฟอร์จูนเพื่อ พูดแบบนี้ นี่มันหาที่ตายชัดๆ สิ่งที่เจ้านายสุกรณ์ เกลียดที่สุดคือ การที่ตะโกนชื่อของเขา”
“ทั้งสองเป็นคนต่างแดน อาจจะเพราะเมื่อได้ยิน ชื่อของเจ้านายสุกรณ์แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้าท์กัน พนักงานได้ยินพอดี ชั่งโชคร้ายจริงๆ”
รพีพงษ์และธฤตญาณมองไปที่พนักงานคนนั้น อย่างแปลกใจ ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าพนักงานคนนี้กำลัง พูดอะไรอยู่
แกมั่วเปล่า เมื่อกี้พวกเราไม่ได้พูดว่าเจ้านายของ แกคือหมูเลยนะ” ธฤตญาณจ้องไปที่พนักงานคนนั้น
“แกหยุดหาข้ออ้างได้แล้ว เมื่อกี้ฉันได้ยินชัดเจน เมื่อกี้พูดแกเยาะเย้ยเจ้านายของพวกเราว่าเป็นหมู พนักงานพูดอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เมื่อกี้มาจรีย์บอกเขาแล้ว ว่าสองคนนี้เป็นคนต่าง ถิ่น ไม่ได้อยู่ที่เมืองกรีนโคล เพียงแค่เขาเน้นย้ำว่า ทั้งสองด่าเจ้านายของพวกเขา พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่มี ทางหาข้ออ้างได้
เขารู้ดีถึงอารมณ์ของเจ้านาย ไม่ว่าจะมีแบ๊คหรือ ไม่ ไม่ว่าจะพูดจริงหรือเท็จ เพียงแค่มีคนพูดเรื่องนี้ ก็จะจัดการคนในสถานการณ์นั้นทันที
เมื่อก่อนเขาได้เห็นเพื่อนร่วมงานของเขาก็ใช้วิธี แบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจว่าสุกรณ์ไต่ถามเรื่องนี้ หรือไม่
ขณะนี้ผู้จัดการร้านอาหารฟอร์จูนเดินเข้ามา ขมวด คิ้วแล้วมองไปที่รพีพงษ์ ถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้จัดการ เมื่อกี้ทั้งสองคนว่าเจ้านายเราว่าเป็นหมู ตัวหนึ่ง ผมได้ยินเข้า ทั้งสองไม่ยอมรับ” พนักงาน พูดใส่ร้าย
สีหน้าผู้จัดการเปลี่ยนไป หันไปซักตาใส่รพีพงษ์ และธฤตญาณ แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “พวก คุณไม่รู้กฏของร้านอาหารฟอร์จูนหรือไง? กล้าจะ เอาชื่อเจ้านายของเรามาล้อเล่น อยากตายหรือไง?
“พวกเราไม่ได้เอาชื่อเจ้านายของคุณมาล้อเล่นแต่ อย่างใด พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้านายของพวกคุณ ชื่ออะไร พนักงานคนนี้ของพวกคุณต่างหากที่จู่ๆก็ พูดขึ้นมา ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา” ธฤตญาณพูด อย่างเรียบๆ
สุกรณ์เพิ่งจะมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงสองสามปีมานี้ ธฤตญาณได้ออกจากเมืองกรีนโคลไปนานแล้ว ดัง นั้นจึงไม่รู้สถานการณ์ของเมืองกรีนโคล และไม่รู้จัก สุกรณ์
“แกหยุดหาข้ออ้างได้แล้ว ตอนนี้พวกแกไม่มีทาง ยอมรับแน่นอน แต่ตอนนั้นฉันได้ยินเต็มสองรูหู พวก แกเยาะเย้ยเจ้านายของพวกเราแน่นอน!” พนักงาน ยืนยันอย่างหนักแน่น
รพีพงษ์จ้องไปที่พนักงาน แล้วมองไปรอบๆ จากนั้น มองเห็นกันตาและปาจรีย์นั่งอยู่ในมุม ราวกับเข้าใจ อะไรบางอย่าง
เขายื่นมือชี้ไปที่กันตา แล้วกล่าว “พวกเธอให้แกมา
พูดแบบนี้ใช่ไหม
“แกพูดมั่วอะไร อย่าปัดความรับผิดชอบ พนักงาน คาดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะเดาออกมาแบบนี้ ก็หวาดกลัว
ขึ้นมา
กันตาและปาจรีย์เห็นรพีพงษ์มองมาที่พวกเธอ รีบ เอาเมนูขึ้นมาบังหน้าตัวเองเอาไว้
“หยุดไร้สาระได้แล้ว ร้านอาหารของพวกเรามีกฎ เยาะเย้ย อของเจ้านายของพวกเรา หนึ่งคนจ่าย หนึ่งหมื่นหยวน แล้วพวกเราจะไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้า นาย พวกแกทั้งสอง จะให้เงินหรือจะให้เจ้านายพา ลูกน้องมาจัดการ ผู้จัดการพูดอย่างรำคาญ
เรื่องไม่จริงทั้งนั้น แค่ค่าพูดเดียวของพวกแกจะให้ ” พวกเราจ่ายเงิน พวกแกให้ความสำคัญตัวเองมาก เกินไปแล้วป่ะ” ธฤตญาณกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เอาไง พวกแกไม่อยากจ่ายเงินใช่ไหม?” ผู้จัดการ
ชักตาไปที่ธฤตญาณ
“จะให้พวกเราจ่ายเงิน ไม่มีทาง!” ธฤตญาณกล่าว
“พวกแกให้เงินเสียก็จบ พวกเขาไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้า รอให้เจ้านายเขามาแล้วล่ะก็ พวกแกต้องมีปัญหา แน่ๆ” คนที่กำลังกินข้าวขอไว้
“เหอะเหอะ ไม่คาดคิดไม่ได้กลับมาหลายปี เมืองก รีนโคลเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ กินข้าวยังต้องรีดเงิน ไม่รู้ไปเอาความกล้านี้มาจากไหน!” ธฤตญาณกล่าว
“ไม่ให้เงินใช่ไหม งั้นพวกแกรอฉันอยู่ตรงนี้ รอให้ เจ้านายพวกเรามา ถึงตอนนั้นพวกแกไม่ใช่แค่ต้อง ให้เงิน ยังต้องโดนเจ้านายของพวกเราจัดการอีก ด้วย ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” ผู้จัดการด่า จากนั้นก็ หยิบมือถือออกมา แล้วโทรหาเจ้านายของพวกเขา
ทุกคนส่ายหัว รู้สึกว่า ธฤตญาณท่านั้นซึ่งบ้าเหลือ
กันตาและปาจรีย์ทั้งคู่เห็นผู้จัดการโทรหาเจ้าของ ร้าน ก็ยิ้มดูแคลนขึ้นมา
“เพียงแค่โทรหาเจ้าของร้านอาหารฟอร์จูนเท่านั้น พวกเขาทั้งคู่ก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว พวกเราไปเถอะ ต่อไปจุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิด รู้แล้ว” ปาจรีย์ยืนขึ้น
กันตาจ้องไปที่รพีพงษ์อย่างมีความสุข จากนั้นก็ เดินออกไปพร้อมกันปาจรีย์
รพีพงษ์เห็นดังนั้น ต้องการที่จะขวางสองคนนั้นเอา ไว้ พนักงานนั้นเห็นเข้าก็ขวางเขาเอาไว้
“อะไร จะหนีหรอ? จะบอกให้นะ สร้างปัญหาที่ ร้านอาหารฟอร์จูนของฉัน แกไม่มีทางหนีไปได้ พนักงานตะโกนออกมา
พนักงานชั้นล่างที่เหลือของร้านอาหารฟอร์จูนล้อม เอาไว้ ขวางทางของรพีพงษ์และธฤตญาณเอาไว้ กั้นไม่ให้พวกเขาหลบหนี
รพีพงษ์เห็นดังนี้ ก็ไม่ได้ไล่ตาม ปัญหาในวันนี้หลบ เลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ถือเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร
ถึงแม้กันตานี้จะเลวร้าย แต่รพีพงษ์ก็ไม่ถึงขั้นที่จะ ต้องไล่ตามเธอไป
“นั่งกินข้าวก่อนล่ะกัน รอให้เจ้านายของพวกเขามา ก่อนค่อยว่ากัน” รพีพงษ์นั่งลง แล้วกินข้าวต่อ
ธฤตญาณก็นั่งลงเช่นกัน จ้องไปที่พวกนั้นอย่างไม่ สบอารมณ์
ผู้จัดการและพนักงานเหล่านั้นยิ้มเยาะเย้ยออกมา คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์ยังมีกะจิตกะใจจะกินข้าวได้อีก
“พวกแกกินให้เยอะๆหน่อย กินอิ่มถึงจะรับหมัด ไหว เดี๋ยวไม่ใช่พอเจ้านายของเราพาลูกน้องมา ไม่ เท่าไหร่พวกแกก็ล้มลงกองกับพื้นแล้ว” ผู้จัดการพูด อย่างรุนแรง
ผ่านไปไม่นาน ภายนอกร้านอาหารฟอร์จูนมีเสียง เดินดังเข้ามา จากนั้นก็มีกลุ่มคนพุ่งเข้ามา ผู้นำคือ ผู้ชายที่หัวใหญ่คอกว้าง ท้องโตจากการดื่มเบียร์คนๆนี้คือเจ้าของร้านอาหารฟอร์จูน สุกรณ์
“โครตแม่งสิ ใครแห่งค่ากว่าหมูอีกวะ รีบออกมา ถ้า วันนี้กูจะเล่นงานมันจนเป็นหัวหมู!” สุกรณ์ตะคอก ออกมา
ผู้จัดการรีบเรียกเขามา แล้วกล่าว “เจ้านาย สอง คนนี่!”
คนที่สุกรณ์พามารีบล้อมโต๊ะของรพีพงษ์และธฤต ญาณเอาไว้ เมื่อคนรอบข้างเห็นเหตุการณ์ ก็รีบหนี ไปอยู่ที่มุม
สุกรณ์เดินไปอยาตรงหน้าของรพีพงษ์และธฤต ญาณ มองไปที่ทั้งคู่อย่างอาฆาต แล้วกล่าว “พวกมึง ว่ากูเป็นหมูใช่ไหม?”
รพีพงษ์มองไปที่เขา ดูจากสภาพร่างกาย เหมือน หมูจริงๆ
“คุณชื่ออะไร?” รพีพงษ์ถาม
“กู อสุกรณ์ พวกมึงไม่เคยได้ยินชื่อกู?” สุกรณ์ ตะคอก
รพีพงษ์และธฤตญาณมองตากัน อดไม่ได้ที่จะ หัวเราะออกมา
ไม่แปลกที่เจ้าของนี้จะเซ็นสิทีฟกับการที่คนอื่น เรียกเขาว่าหมู ที่แท้ก็มีชื่อนี้อยู่จริงๆ
“แม่ง พวกมึงหัวเราะอะไร มึงคิดว่าชื่อกูตลกขนาด นั้น?” สุกรณ์บึ้งตึงพลางมองไปที่รพีพงษ์และธฤต ญาณ
“เปล่าเลย นี่เป็นการเข้าใจผิดกัน พวกเราไม่ได้ว่า
คุณ” รพีพงษ์พูดอย่างเรียบๆ
“แม่งหยุดโกหกได้แล้ว พวกมึงไอ้เหี้ย กล้าด่าแต่ ไม่กล้ารับ วันนี้มือกูคันๆ เอาพวกมึงมาฝึกๆหมัด หน่อยล่ะกัน!” สุกรณ์ตะโกนออกมา
“ตอนนั้นให้พวกมึงจ่ายเงิน พวกมึงไม่จ่าย ตอน นี้พวกมึงเสียใจก็ไม่ทันแล้ว” ผู้จัดการมองไปที่ร พงษ์และธฤตญาณอย่างเยาะเย้ย
รพีพงษ์ ขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “พวกเราไม่อยากทําให้ เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราไม่ได้ด่าคุณ พนักงานคนนี้รู้ดี ถ้าวันนี้พวกคุณลงไม้ลงมือกับพวกเราล่ะก็แล้วคุณจะเสียใจ”
“พวกมึงว่าเจ้านายเราว่าเป็นหมู หยุดหาข้ออ้างได้ แล้ว เจ้านาย คุณเรียบจัดการพวกเขาทั้งสองเถอะ สองคนนี้ยโสโอหังเหลือเกิน เมื่อกี้ยังหมูหนึ่งตัวหมู หนึ่งตัวอยู่เลย” พนักงานกล่าว
สุกรณ์โมโหอย่างมาก ลงมือกับรพีพงษ์ทันที ปล่อยหมัดไปหารพีพงษ์โดยตรง
รพีพงษ์ยื่นมือไปจับข้อมือเขาไว้ แล้วใช้อีกมือหนึ่ง ตบไปที่ท้องของเขา ทําให้ร่างของเขาดันถอยไป ข้างหลังหลายก้าว
สุกรณ์ไม่คิดว่ารพีพงษ์จะเก่งกาจขนาดนี้ หันไป เพ่งลูกน้องเหล่านั้น แล้วตะโกน “พวกมึงยังนิ่งเฉย ทําเหไร ลงมือสิ!”
ทั้งหมดพุ่งไปที่รพีพงษ์และธฤตญาณทันใด
รพีพงษ์และธฤตญาณเริ่มลงมือ พุ่งไปต่อยคน เหล่านั้นล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างรวดเร็ว
คนหลังเห็นเหตุการณ์ ก็ไม่กล้าก้าวไปด้านหน้าอีก
คนที่อยู่รอบๆเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ พวกเขา คิดว่ารฟ์พงและธฤตญาณจะต้องแย่แน่ๆครานี้ สิ่งที่ ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ ฝีมือของทั้งคู่ดีขนาดนี้ แม้ลูกน้องของสุกรณ์ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของพวกเขา
รพีพงษ์มองไปที่สุกรณ์ แล้วกล่าว “ฉันบอกแล้วว่า ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย ถ้าพวกแกยังไม่ยอม แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
สุกรณ์มองไปยังลูกน้องที่กองอยู่กับพื้น ด่าในใจ แต่ไม่ได้คิดที่จะถอยแต่อย่างใด เขาเป็นถึงลูกพี่ ของวงการอาหารแห่งเมืองกรีนโคล สถานการณ์แค่ นี้ไม่สามารถบีบบังคับอะไรเขาได้
“แม่ง ที่มึงกล้าผยองที่นี่ เป็นเพราะมึงเก่งสินะ แต่ พวกมึงคิดว่าเป็นแบบนี้ แล้วกูจะปล่อยให้พวกมึง ไปหรอ? พวกมึงฟังไว้ให้ดีๆ เพื่อนของกูสุกรณ์คุม เมืองกรีนโคลทั้งหมด แค่กูโทรหาเขา เขาก็จะให้ลูก น้องมาจัดการแกสองคนได้แล้ว ในเมื่อมึงไม่อยาก ให้เรื่องบานปลาย งั้นก็ขอโทษกูซะ แล้วเอาเงินสอง หมื่นมาเพื่อเป็นเงินชดเชย แล้วกูจะไม่เรียกร้อง อะไรอีก” สุกรณ์กล่าว
เขารู้ว่ารพีพงษ์และธฤตญาณแตะไม่ได้ แต่ทั้งสอง กล้าค่าเขา ยังไงวันนี้เขาก็ต้องได้รับคำอธิบาย ไม่ งั้นเขารู้สึกไม่สบายใจ
รพีพงษ์เห็นสุกรณ์ยังอยากให้พวกเขาเอาเงินให้ สีหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมา ไม่แยกแยะว่าอะไรถูกหรือผิด เจ้านายที่ถูกลูกน้องชักจูงได้ง่าย ไอคิวก็ไม่ได้ต่าง จากหมูจริงๆ
ในเมื่อสุกรณ์ต้องการจะหาเรื่อง งั้นรพีพงษ์ก็จะ จัดการกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
ในขณะที่เขาเตรียมตัวจะลงมือ เสียงโทรศัพท์ดัง ขึ้น
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมา เห็น เป็นเบอร์โทรไม่ทราบนาม
“ใคร?”
“คุณรพี ผมคือณัฐ คนขับรถของหัวหน้าตระกูล ธนาพัชร์กุล ขอโทษจริงๆครับ เมื่อกี้มีธุระเลยไม่ได้ รับสายคุณ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยว นี้” เสียงเคารพนอบน้อมมาจากปลายทาง
“ผมอยู่ที่ร้านอาหารฟอร์จูน มีปัญหานิดหน่อย ร พงษ์กล่าว
“คุณรพี คุณมีปัญหาอะไรหรอ? สะดวกคุยไหม ครับ?”ณัฐถามขึ้นมา
“เจ้าของร้านอาหารฟอร์จูนบอกว่าพวกเราด่าเขา ต้องการที่จะจัดการกับพวกเรา” รพีพงษ์อธิบาย
“เจ้านายพวกเขา? สุกรณ์? ไอหมูเซี้ยนี่ แม้แต่คุณ รพีมึงก็ยังกล้ายั่วโมโหไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ คุณรพี ถึงแม้ผมจะเป็นคนขับรถของท่านหัวหน้า ตระกูลธนาพัชร์กุล เรื่องเล็กแบบนี้เองเดี๋ยวผม จัดการเองครับ คุณพูดกับสุกรณ์หน่อยละกัน ให้ เขารอผม ผมจะถึงในอีก10นาที”เมื่อณัฐพูดจบก็วาง สายไป
รพีพงษ์เอามือถือวางไว้ แล้วมองไปที่สุกรณ์ ดูๆ แล้วคนขับรถของนฤพลคนนี้รู้จักสุกรณ์ ตอนแรก เขาคิดจะจัดการด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อณัฐจะมา งั้นก็ ให้เขามาจัดการแล้วกัน
สุกรณ์จ้องไปที่รพีพงษ์ แล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ไง หาผู้ช่วยหรอ?”
รพีพงษ์มองเขา แล้วกล่าว เพื่อนฉันบอกว่าจะมา ถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวเขาจะมาจัดการเอง”
สุกรณ์หัวเราะเสียงดัง แล้วกล่าว “แมร่ง ไม่คิดว่า มึงจะหาคนช่วย ในเมืองกรีนโคล คนที่เป็นศัตรูส กรณ์ มีแค่ไม่กี่คน กูไม่เคยเห็นพวกมึงทั้งสองมา ก่อน พวกมึงจะหาใครมาได้ กูว่ามึงอย่าเสียเวลา เลย”
ผู้จัดการและพนักงานก็หัวเราะขึ้นมา มองว่าที่ร พงษ์หาคนมานั้นเป็นการตัดสินใจที่ห่วยแตกมาก
“ห่วยมากจริงๆ คอนเน็คชั่นของเจ้านายพวกเราใน เมืองกรีนโคล ไม่ได้ไร้ชื่อเสียงแบบพวกมึง พวกมึง จะหาใครมาได้ ถึงแม้หามาได้ ก็ตายไปพร้อมกับ พวกมึงนั้นแหละ”
“พวกมึงนี้หน้าไม่อาย รนหาที่ตาย ยังจะลากคนอื่น มาด้วยอีก เพื่อนมึงมา เกรงว่าจะเกลียดพวกมึงทั้งคู่ เลยละ
คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่รอบๆก็ล้วนส่ายหัว คิด ว่าการที่รพีพงษ์หาคนมานั้นเป็นการกระทำที่ไม่มี ความคิด สุกรณ์เปิดร้านอาหารแน่นอนว่าต้องมีเพื่อนเยอะ หนึ่งในนั้นก็ต้องเป็นคนที่มีอำนาจและ ความสามารถ เทียบกับคอนเน็คชั่นของสุกรณ์แล้ว มีแต่ตายกับตาย
รพีพงษ์ไม่ได้พูดอะไร แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ธฤต ญาณมองไปที่เขา แล้วกล่าว “กูให้มึงรอมึงก็รอไป เถอะ รอให้เขามาแล้วมึงดูเอาเองแล้วกันว่าจะยังพูด แบบนี้ได้อีกไหม”
สุกรณ์หัวเราะดูแคลน แล้วกล่าว “งั้นกูก็จะรอ ดู ว่าพวกมึงจะเรียกใครมา คิดไม่ถึงว่ามึงจะผยอง กับกู” ประมาณสิบนาทีจากนั้น รถBentleyคันหนึ่ง ได้จอดอยู่นอกร้านอาหารฟอร์จูน มีชายคนหนึ่ง สวมชุดสูททั้งตัวเดินลงมาจากรถแล้วเข้าไปในร้าน อาหารฟอร์จูน
เขามองไปรอบๆล็อบบี้ เมื่อเห็นรพีพงษ์แล้ว ก็รีบ เดินเข้าไป
“คุณรพี คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ณัฐกาม
รพีพงษ์สายหัว
ณัฐถอนหายใจ จากนั้นมองไปที่สุกรณ์ ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
เมื่อกี้สุกรณ์มองเห็นมีคนเดินเข้ามาจากข้างนอก หนึ่งคน มองผ่านๆก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อสังเกต ลักษณะของคนนั้นแล้ว สีหน้าเขาก็ถอดสีทันที
พี่ณัฐ พี่มาที่นี่ได้อย่างไร?
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ