ตอน674โชคดีที่มีเธอ
ตอนที่674 โชคดีที่มีเธอ
นี่ไม่ได้เป็นเพียงการไม่ให้เกียรติงานศพเท่านั้น แต่ยัง เป็นการไม่ให้เกียรติคนที่ล่วงลับไปแล้วด้วย
เตชิตยังไม่ได้พูดอะไรเลยในวันนี้ อย่างไรก็ตามตอนบ่าย ที่เขาออกไปเขาปล่อยทนายเตไว้กับสื่อเหล่านี้ และยังได้หา ทนายที่ทรงพลังที่สุดเพื่อที่จะฟ้องร้องเรื่องนี้
นัชชาไม่รู้สึกแปลกใจเลย ถ้าหากว่าเขาไม่ทำอะไรเลย
ต่างหาก เธอจึงจะรู้สึกเป็นห่วง ถ้าหากให้เขาออกปากพูด ความโกรธเหล่านี้ จะเป็นการ
แสดงความโกรธที่แท้จริง ไม่สามารถระงับไว้ภายในได้
วันเวลาผ่านไปแต่ละวัน จนกระทั่งถึงวันที่เจ็ด เย็นนั้นหลัง จากทานอาหารเสร็จ เล่นกับลูกสักพัก หลังจากกล่อมลูกเข้า นอนแล้ว นัชชากลับไปที่ห้องนอนแต่กลับไม่พบชายคนนั้น เธอ ลงไปหาที่ชั้นล่าง ที่มุมสนามหลังบ้านเธอเห็นคนกำลังเผาบาง อย่างอยู่
เธอขมวดคิ้วและเดินเข้าไป เมื่อเธอเข้าไปใกล้ก็สามารถ เห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ในมือเขา มันเป็นเงินกงเต็กกองหนึ่ง
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดหลังจากที่ชายชราจากโลกนี้ไป เขากำลังทำสิ่งที่หลานชายไม่ควรลืม เผาเงินกงเต็กไปให้ผู้เฒ่า ด้วยความกตัญญูจากหัวใจ
นัชชาไม่ได้เข้าไปรบกวนเขา เธอรู้ว่าเขายังมีบางคำที่ ต้องการพูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่ เธอรอให้เขาเผาสิ่งที่อยู่ในมือจน หมดก่อน เธอจึงหมุนตัวกลับไปที่โซฟาด้านหน้า และก้มลง หยิบผ้าห่มบางๆ และเดินไปหาเขา
มันเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศตอนกลางคืนเป็น จัด เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียวเท่านั้น ต้องหนาวแน่นอน
เธอวางผ้าห่มที่อ่อนนุ่มลงบนไหล่ เมื่อเตชิตหันกลับไป
มองเขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังเขา
“คุณลงมาทำไมครับ” หลังจากที่ทับขี้เถ้าแล้วเขาก็ลุกขึ้น มา เขายกมือขึ้นและจับมือของเธอไว้ เมื่อสัมผัสถูกผิวที่เย็นชืด เขาก็เลิกคิ้วขึ้น “เราไปกันเถอะ
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอห่อผ้าห่มบนตัวชายคนนั้นให้กระชับ ขึ้น “คุณนั่นล่ะ ใส่เสื้อบางขนาดนี้ ถ้าหากคุณเป็นหวัดขึ้นมา พวกทนายที่กล่าวหาคุณยังจะฟ้องคุณอยู่หรือเปล่านะ
เธอจงใจที่จะหยอกเล่นเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย เต ชิตฟังออก ใจเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขาโอบไหล่เธอ และกอดเธอไว้ในอ้อมอก
เงาร่างของทั้งสองทับซ้อนกัน ผ้าห่มมีขนาดใหญ่พอ ที่จะ สามารถต่อร่างกายของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ได้
ระหว่างลมหายใจของพวกเขาเป็นกลิ่นของความสงบใน ใจ นัชชาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดยากค่ำคืน วันนี้ อากาศดี มีดวงดาวมากมาย เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่น ราวกับว่าจะเอื้อมมือสอยลงมาได้สักดวง
เธอยกนิ้วขึ้นดวงหนึ่งในนั้น “มีคนเคยบอกว่าเมื่อคน จากไปจะกลายเป็นดวงดาว บนท้องฟ้ามีมากมายขนาดนั้น ผู้ เฒ่าก็ไม่น่าจะเหงานะคะ
เมื่อเปรียบเทียบความโรแมนติกของเธอแล้ว ความคิด ของชายหนุ่มช่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา “นี่มันเรื่องหลอกเด็ก
นัชชาเม้มริมฝีปาก เธอยิ้มอยู่ชัดๆแต่ว่าใจก็เจ็บจี๊ดขึ้นมา “ใครบอกคะ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องหลอกเด็ก
“ฟังแล้วน้ำตาจะไหล”
“ฉันไม่สน ยังไงฉันก็คิดว่ามันเป็นเช่นนั้น” นัชชาพูดอย่าง นุ่มนวล “คนเหล่านั้นกลายเป็นดวงดาวคอยจ้องมองพวกเรา คอยปกป้องและให้พรแก่เราอยู่
ชายที่ด้านหลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้น เบาๆสองสามคำ “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ
พวกเขายืนอยู่ในสวนหลังบ้าน กำลังมองดูดาวที่เต็ม ท้องฟ้า นัชชารู้สึกอบอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของชายที่อยู่ทาง ด้านหลัง อารมณ์ของเธอค่อยๆผ่อนคลายลง ความคิดลอยไป ยังที่ห่างไกล ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงคำถามข้อหนึ่ง “ถ้าหากวันหนึ่งพวกเราแก่แล้ว คุณคิดว่าคุณจะจากไปก่อนหรือว่าฉันจะ จากไปก่อนคะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องการจากลา ใบหน้าของเตชิตก็แข็งทื่อขึ้น มา “คุณอย่าพูดจาไร้สาระ
“เปล่านะคะ ฉันคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังนะคะ” นัชชาพูด อย่างหมกมุ่น ความจริงแล้วเธอต้องการนำเขาด้วยวิธีนี้ “ถ้า หากเลือกได้จริงๆล่ะก็ ฉันหวังว่าคุณจะไปก่อนค่ะ”
แม้ว่าเตชิตรู้ว่าหัวข้อสนทนานี้ช่างเพ้อฝันมาก แต่เมื่อ ได้ยินคำตอบนี้เขาก็อดที่จะถามไม่ได้ “ทำไมล่ะ
“เพราะว่าฉันไม่อยากเห็นคุณต้องทนทุกข์ใจเพราะว่ามี ใครจากคุณไปอีก ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นฉัน ฉันก็ไม่อยาก ค่ะ”
เสียงเบาๆของหญิงสาวที่ลอยมาเข้าหูในยามค่ำคืน ร่วง หล่นลงเหมือนใบไม้ที่ปลิวลงในทะเลสาบ ทำให้เกิดกระแส คลื่นเป็นระลอก ลึกจนกระทั่งไปถึงศูนย์กลางของทะเลสาบ
เธอพูดประโยคนี้โดยไม่ลังเล มันทำให้ดวงตาของเขาทั้ง อบอุ่นและเจ็บปวด
เขาจับแขนเธอไว้โดยออกแรงเล็กน้อย เขาอยากจะบีบ เธอเข้าไปให้ถึงกระดูก “ผมก็คงเสียใจ แต่ผมก็อยากให้คุณได้ มีโอกาสอยู่ดูโลกนี้ได้นานกว่าผมหน่อย
นัชชาฟังเขาพูดจนเธอเกือบจะร้องไห้ออกมา “ทำไมคุณพูดได้น่าเศร้าจังคะ”
“คนดี พวกเรายังมีอีกหลายสิบปี ไม่เศร้าหรอก”
เธอหมุนตัวและหันไปเผชิญหน้ากับเขา “ถ้าบนโลกนี้ไม่มี คุณแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่ามองอีกแล้วค่ะ”
เตชิตอึ้งไป สายตาจ้องมองไปที่ใบหน้าซีดขาว ความสุข บนใบหน้าเธอนั้นเปล่งประกายให้เห็นได้อย่างชัดเจนมาก มาก จนกระทั่งทำให้เขาสัมผัสได้และมีความสุขตามไปด้วยเช่นกัน
ถ้าบนโลกนี้ไม่มีคุณแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่ามองอีกแล้ว
ต้องรักมามายขนาดไหนถึงสามารถพูดคำที่น่าเศร้าออก มาอย่างมีความสุขเช่นนั้นได้
เตชิตไม่รู้ แต่เขารู้ว่า ประโยคนี้เพราะกว่าคำรักหวานซึ้ง
ใดๆ
ในวันที่แสนเศร้า เขาคิดถึงคนที่จากไป เขาหันกลับมาก อดเธออย่างอ่อนโยน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้อยู่ใกล้ๆ เธอ
เตชิต โน้มตัวลงจูบที่ริมฝีปากของเธอ เขาวิธีปลอบโยน หัวใจที่เย็นชาของตัวเอง
ชีวิตนั้นไม่เที่ยง โชคดีที่ตอนนี้เธออยู่กับเขา ทุกอย่างจึงไม่ได้เศร้าจนเกินไป
การจากไปของชายชรา ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้คนใน ตระกูลจิวะพงษ์เศร้า ปรัณ ชนัย และยังมีธนัท คนทั้งสามก็รู้สึก หดหูเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนัย เขาอายุน้อยที่สุดใน บรรดาพวกเขาทั้งหมด นอกจากนี้การจัดการที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นอย่างมาก ดังนั้นความรู้สึกจึงหนักหนามาก แม้กระทั่งบาง ครั้งก็ไม่สมเหตุสมผล
เมื่อได้ยินเรื่องการจากไปของใครบางคน เขาจะซึมไปอยู่ หลายวัน
ทุกข์ใจ จะไปบอกใครได้ล่ะ
ครั้งนี้ไม่สามารถปรับทุกข์กับเพื่อนข้างกายได้ คนแรกที่
เขาคิดถึงก็คือดราณี
หลังจากวันที่ตกลงเป็นแฟนกันแล้วหนึ่งเดือน ดราก็เริ่ม ก่อสงครามกับเขา เขาเริ่มจู่โจม เธอก็หลบ หาวิธีหลบต่างๆ นาๆ เพื่อที่จะเลี่ยงเขาเธอยังไปสมัครชมรมใหม่อีกสองชมรม
เย็นนี้ชนัยตั้งใจจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อที่จะพบตัวเธอ เขารอ อยู่ที่ประตูโรงเรียนตั้งแต่หกโมงจนถึงทุ่มครึ่ง หากว่าเขาไม่ได้ ขู่บังคับ อาจจะต้องรอนานกว่านี้อีก
เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงปืนขึ้นรถอย่างลุกลี้ลุกลน เขาก็รู้สึก โมโหและตั้งใจจะหันไปสั่งสอนเธอสักสองประโยค แต่เมื่อหัน ไปเขาก็เห็นว่าบนหน้าเล็กๆของเธอนั้นแต่หน้าอย่างละเอียด อ่อน ทันใดนั้นเขาก็พูดอะไรไม่ออก
เขาไม่เคยเห็นดราณีแต่งหน้ามาก่อน มีแค่ทาลิปสติกสีแดงเพื่อไว้หน้าเขาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ว่าวันนี้ ตามอายไล เนอร์ คิ้วโค้งได้รูป แก้มมีบลัชออนแดงระเรื่อ
ชนัยมีเห็นบรรยากาศไม่ค่อยปกติ นัยน์ตาเขาแคบลงใน ทันที “คุณทำอะไรอยู่ ถึงเพิ่งจะออกมาตอนนี้
ดราณีรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างคล่องแคล่ว “ฉันไปที่ชมรม ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่หรอ….
“ชมรมอะไร แต่งหน้าอย่างกับแม่ไก่
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ