ยอดหมอยาของอ่องเสียน

ตอนที่185ทางลับในวังหลวง



ตอนที่185ทางลับในวังหลวง

จุนเซียวเซียวเดินออกมาจากตำหนัก พอเห็นหน้าอัน หลิงหยุนนางก็ยิ้มออกมาอย่างงดงาม “พระชายาเสียน เสด็จมาหรือ?”

อันหลิงหยุนยังไม่คุ้นเคย จุนเซียวเซียวมักจะทำให้ คนอื่นรู้สึกว่านางเป็นเพื่อนอยู่เรื่อยเลย เจอหน้าทุกครั้ง ก็ดีใจตลอด

“วันนี้เพิ่งเข้าวังมา ไม่มีอันใดทำจึงมาเดินเล่นเพคะ” อันหลิงหยุนเดินไปหาจุนเซียวเซียว แล้วโค้งคำนับ ผู้ หญิงของฮ่องเต้ต่อให้ตำแหน่งต้อยต่ำเพียงใด ยัง กระไรก็ยังเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้อยู่ดี

ต่อให้ตำแหน่งของตัวเองจะสูงเพียงใด ยังกระไรก็ไม่ อาจเทียบนางได้

จุนเซียวเซียวรับตัวอันหลิงหยุนไว้ “พระชายาเสียน

ไม่ต้องมากพิธี แค่เจ้ามาข้าก็ดีใจมากแล้ว”

ตำแหน่งของจุนเซียวเซียวในวันนี้ไม่เหมือนอย่างเคย แล้ว ตอนที่พูดก็ไม่ได้ใช้คำแทนตัวที่สูงส่งอันใดแล้ว

อันหลิงหยุนพูดไป “หม่อมฉันเองก็ไม่เป็นไร พระนาง เองก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้เพคะ”

“ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นพระนางอันใดนั้นแล้ว เจ้าเรียก ข้าว่าเซียวผินก็พอแล้ว”
“พระนางก็คือพระนาง จะเปลี่ยนตำแหน่งกันมั่วๆ ไม่ ได้นะเพคะ”

อันหลิงหยุนเดินเข้าไปข้างในอย่างมีมารยาท จุน เซียวเซียวรีบสั่งให้คนไปเตรียมน้ำชามา อันหลิงหยุนม องไปรอบๆ ห้อง ห้องถูกจัดไว้อย่างสะอาดสะอ้าน แต่ก็ ไม่อาจปกปิดความยากไร้ของที่นี่ไปได้

“พระนางเป็นอยู่สบายดีหรือไม่เพคะ?” อันหลิงหยุน ถาม จุนเซียวเซียวพยักหน้า

“ก็ยังดี เพียงแค่ไม่รู้ว่าฤดูหนาวมันเป็นยังกระไรบ้าง ที่นี่มันหนาวหรือเปล่า?” จุนเซียวเซียวยังคงทำตัวปกติ

“พระนางทรงพระครรภ์ในช่วงที่หนาวที่สุด และใน ช่วงสิ้นฤดูแล้งพระนางก็จะให้กำเนิดราชบุตรของ ฮ่องเต้แล้ว สภาพของที่นี่ออกจะแย่ไปสักนิด หม่อมฉัน เชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องรับพระนางกลับไปที่วังจิ่งซิ่วอย่าง แน่นอนเพคะ” อันหลิงหยุนแค่คิดว่า ขอแค่ให้กำเนิด ราชบุตรได้ก็ถือว่ามีความดีความชอบอันใหญ่หลวงแล้ว ฮ่องเต้ชิงหยู่คงไม่ใจร้ายกับจุนเซียวเซียวขนาดนั้น หรอก

“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

จุนเซียวเซียวก้มหน้าลงไปแล้วเอามือลูบๆ ที่ท้องน้อย

“พระชายาเสียน ได้ยินว่าอ๋องเสียนถูกฝ่าบาทจับขัง ไว้แล้วใช่หรือไม่ อ๋องเสียนติดร่างแหเรื่องนี้ไปด้วยใช่หรือไม่?” จุนเซียวเซียวถามตรงไปหน่อย แต่อันหลิงหยุ นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอันใดที่ไม่เหมาะสม

อีกอย่างที่นางมาที่นี่เพราะตั้งใจมาเยี่ยมจุนเซียว เซียว ส่วนจุนเซียวเซียวก็ทำเหมือนนางเป็นเพื่อน สำหรับคำถามแบบนี้มาก็ปกติดี

อันหลิงหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่หม่อมฉันก็ไม่ได้เป็น ห่วงอ่องเสียนเพคะ ร่างกายของเขายังแข็งแรงดี เขา ไม่เคยทำมาก่อน จึงไม่เป็นอันใด ที่หม่อมฉันกังวลก็คือ ร่างกายของอ้อวงตวนเพคะ”

พอพูดถึงอ๋องตวนจุนเซียวเซียวก็ได้ถามขึ้น “อาการ ของอ๋องตวนนั้นหนักมากเลยหรือ?”

อันหลิงหยุนพยักหน้า “ชีวิตของอ๋องตวนนั้นสามารถ สิ้นได้ทุกเมื่อ หม่อมฉันจึงเป็นห่วงอ๋องตวนมากเพคะ”

“คนพวกนั้นป่าเถื่อนขนาดนั้นเลยหรือ?” จุนเซียว

เซียวไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง

” ในเมื่อมันกล้าลงมือ ยังจะห่วงเรื่องป่าเถื่อนไม่ป่า (01 เถื่อนอีกรึเพคะ?” อันหลิงหยุนนั่งอยู่พักหนึ่งแล้วลุกขึ้น มามองไปรอบๆ ห้อง ไม่มีอันใดให้ดูแล้ว จึงเดินออก จากห้อง

“พระชายาเสียนจะกลับแล้วหรือ?” จุนเซียวเซียวเดิน ตามอันหลิงหยุนมาถึงนอกประตู ข้างนอกค่อนข้างมืด จุนเซียวเซียวต้องการไปส่งอันหลิงหยุนจึงถือโคมไฟมาด้วย

นางในจะไปส่งด้วย แต่จุนเซียวเซียวก็ให้พวกนาง ถอยไป นางอยากไปส่งอันหลิงหยุนคนเดียว

“ร่างกายของพระนางไม่สะดวก กลับไปดีกว่านะเพคะ เผื่อมีอันใดที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น”

จุนเซียวเซียวหันไปดูข้างหลัง แล้วหันไปมองรอบๆ

แล้วจุนเซียวเซียวก็หยุดลง “พระชายาเสียน ข้ามี เรื่องอยากขอร้อง”

“พระนางว่ามาได้เลยเพคะ”

อันหลิงหยุนก็มองไปรอบๆ ตอนนี้ไม่มีใครเลย จุน เซียวเซียวตั้งใจมาส่งนางโดยเฉพาะ

“ครั้งก่อนที่ข้าเกิดเรื่อง ได้ยินมาว่าเป็นพิษของ หญ้าฝรั่น พระชายาเสียนเป็นหมอ แล้วหญ้าฝรั่นนั้นมัน มาจากไหนกัน?”

จุนเซียวเซียวอยากถามมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้มี โอกาสถามเลย

อันหลิงหยุนใช้ความคิด “หญ้าฝรั่นนี้มาจากไหน หม่อมฉันยังไม่รู้ แต่ที่รู้คือพิษนี้มันถูกเจอในผ้าห่มเพคะ

จำได้ว่าตอนที่หม่อมฉันไปดูอาการของพระนาง เห็นพระนางเคยพูดถึงอาการอึดอัดตรงหน้าอกอยู่

ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้สึกอยู่ว่าพระนางดูแปลกๆ ไป แต่ก็ ไม่ได้เอะใจถึงพิษของหญ้าฝรั่นเลยเพคะ

กลิ่นพิษของหญ้าฝรั่นนั้นค่อนข้างชัด ส่วนหม่อมฉันก็ ค่อนข้างอ่อนไหวกับสมุนไพรมาก ถ้าเกิดว่าบนตัวของ พระนางมีจริง เชื่อว่าหม่อมฉันจะต้องรับรู้ได้แน่นอน เพคะ

แต่ตอนนั้นหม่อมฉันก็รับรู้ไม่ได้แสดงว่าคนที่ลงมือจะ ต้องเชี่ยวชาญมากแน่ๆ เพคะ

แต่สุดท้ายก็มาเจอมันถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจจะใส่ร้ายคนข้างกายท่าน คนที่

ลงมือก็ต้องเป็นคนที่อยู่ข้างกายเท่าแน่นอนเพคะ”

จุนเซียวเซียวพยักหน้า “เจ้าคิดเหมือนกับข้าไม่มีผิด”

จุนเซียวเซียวหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

สู้จิ่นยืนอยู่ข้างหน้าโดยถือโคมไฟไว้ในมือ ข้างหลัง ของนางยังมีนางในอีกสองคนยืนอยู่

หลังจากที่เกิดเรื่องคนในวังจิ่งซิ่วก็ถูกจัดการไปหมด แล้ว

สู้จิ่นนั้นกว่าจะออกมาได้ก็ไม่ง่ายเลย ส่วนคนอื่นๆต่างก็เป็นคนใหม่ทั้งนั้น

หรือจะเป็น สู้จิ่น?

อันหลิงหยุนพูดขึ้น “พระนางเสด็จกลับก่อนเถอะ เพคะ หม่อมฉันต้องไปแล้ว”

หลังจากอันหลิงหยุนกลับจากวังสวยหัวถึงได้กลับมา ที่วังเพิ่งหยี

พอกลับไปถึงก็เห็นแม่นมที่อยู่กับฮองเฮามารออยู่ แล้ว

แม่นมซีเป็นคนของฮองเฮา แต่อันหลิงหยุนไม่ค่อยได้ เจอนางมากนัก และเป็นอีกคนที่อันหลิงหยุนเข้าวังมา เพิ่งเคยพบหน้า

แม่นมซีอายุประมาณห้าสิบกว่าปี แก่กว่าฮองเฮา แต่ พอมองดูแล้วนางกลับดูเด็กมาก ถ้าอันหลิงหยุนไม่เคย รู้มาก่อนคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่านางมีอายุเท่าไหร่

พอเห็นอันหลิงหยุนแม่นมซีก็รีบโค้งคำนับ “พระชายา เสียนกลับมาแล้วหรือเพคะ?”

อันหลิงหยุนมองไปทางตำหนักเพิ่งอี๋ “ลำบากแม่นมซี แล้ว ข้าไม่ไปทักทายฮองเฮาแล้วดีกว่า ข้าจะไปพักผ่อน แล้ว”

อันหลิงหยุนกลับเข้าไปในวิหารบรรทมรอง เข้าห้องมาก็พักผ่อนเลย

พอหลับถึงกลางดึก อันหลิงหยุนก็รู้สึกถึงความ เคลื่อนไหวที่นอกประตู นางจึงรีบลืมตามาแล้วมองไป ยังประตู

นอกประตูมีคน อีกทั้งยังถือโคมไฟมาด้วย

อันหลิงหยุนรีบลุกลงจากเตียง มีใครบ้างที่จะมาได้ใน เวลาแบบนี้?

ใส่เสื้อผ้าให้ตัวเอง แล้วอันหลิงหยุนก็ล้วงเอาเข็มเงิน ออกมา แต่พอเดินไปถึงข้างประตูก็ได้ยินเสียงของ แม่นมซีพูดกับนาง “พระชายาเสียนท่านตื่นแล้วหรือ เพคะ?”

อันหลิงหยุนชะงักไปครู่หนึ่ง เก็บเข็มเงินเข้าที่แล้ว ค่อยถามไปว่า “แม่นมซีมีธุระอันใดคะ?”

ดึกๆ ดื่นๆ ใครจะไปรู้ว่าจะมาทำไม พูดตามตรง นี่มัน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลอบสังหารไม่ใช่หรือ?

“พระชายาโปรดตามหม่อมฉันมาด้วย หม่อมฉันมี เรื่องเพคะ” แม่นมซีพูดจบก็ไปเลย อันหลิงหยุนตั้งใจ แยกแยะเสียงเท้าของแม่นมซี นางมาคนเดียวจริงๆ

พอคิดว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะออกหรือไม่ ออกไปก็ตาม อันหลิงหยุนในตอนนี้ก็ต้องระวังตัวเป็น พิเศษอยู่แล้ว
แต่แม่นมซีกลับใจกล้าปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ

ถ้าไม่ออกไปอาจจะยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้

อันหลิงหยุนเอาเสื้อคลุมมาคลุมตัวเองไว้ ผลักประตู ออกแล้วเดินออกไป มองไปรอบๆ วังเพิ่งหยีรอบหนึ่ง วัง เพิ่งหยีนั้นดูเงียบผิดปกติ

พอมองไปทางประตูของวังเพิ่งหยีก็มีคนถือโคมไฟ ยืนรออยู่

ไม่ต้องถามอันหลิงหยุนก็รู้ คนที่รออยู่ก็คือแม่นมซี

พอเดินตามไปทางนั้นแม่นมซีก็เปิดประตูออกก่อน “ดึกๆ แบบนี้คงรบกวนการพักผ่อนของพระชายาเสียน แล้วเพคะ”

“แม่นมซีมีธุระอันใดหรือ?”

อันหลิงหยุนไม่ได้กลัวอันใดมากนัก ถ้าจะลงมือคง ลงมือไปนานแล้ว ทั้งวังเพิ่งหยีนั้นได้สลบไสลไปหมด แล้ว เหลือเพียงแค่นาง?

ถ้าจะฆ่า ก็คงไม่ต้องลำบากพาไปที่อื่นก็ได้

แม่นมซีก้มหน้าก้มตา “พระชายาเสียนโปรดตาม หม่อมฉันมาด้วยเพคะ”
แล้วแม่นมซีก็หันไปแล้วเดินตรงไปข้างหน้า อันหลิง หยุนเองก็เดินตามนางไป

ทั้งสองเดินตามกันไปหน้าคนหลังคนโดยที่ไม่ได้รับ ร้อนอันใด พอเดินไปไม่นานก็เดินเข้ามาถึงประตูบาน หนึ่งที่อยู่ตรงมุมนอกกำแพงของวังเพิ่งหยี พอเปิด ประตูออกแม่นมซีก็พูดขึ้นว่า “พอพระชายาเสียนเข้าไป ด้านในก็ทอดพระเนตรเห็นโคมไฟเล็กอันหนึ่ง ให้เสด็จ ตามทางไปเรื่อยๆ พอทอดพระเนตรเห็นประตูก็ให้เสด็จ เข้าไปข้างในเพคะ”

“แม่นมซีเป็นคนของฮ่องเต้รึ?”

อันหลิงหยุนนึกขึ้นได้แล้ว คนที่สามารถยืนได้อย่าง มั่นคงในราชวังแห่งนี้ แถมยังสามารถเคลื่อนไหวได้ สะดวกแบบนี้ถ้าไม่มีคนค่อยค้ำจุนอยู่ข้างหลังมันก็ไม่มี ทางเป็นไปได้เลย

แต่ถ้าฮั่วไท่เฟยกับหวางฮองไทเฮาต้องการพบนางก็ ไม่จำเป็นต้องทำให้วุ่นวายแบบนี้แล้ว

จุนเซียวเซียวเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ยังไม่น่าจะมี อำนาจขนาดนี้

ถ้าเป็นเงินหยุนชู ก็คงไม่ต้องทำอันใดให้มันยุ่งยาก แบบนี้ เพราะที่นี่คือวังเพิ่งหยีของนาง

ในพระราชวังแห่งนี้นึกถึงคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว ยกเว้น ฮ่องเต้ชิงหยู่
แม่นมซีโค้งคำนับ “พระชายาเรียนเชิญเสด็จเพคะ”

อันหลิงหยุนก็ไม่อยากถามอันใดมากความ การเป็น บ่าวไพร่ก็ต้องอย่างนี้ เรื่องของเจ้านายพวกเขาห้าม ถามและห้ามพูดออกไป

อันหลิงหยุนเห็นโคมไฟเล็กๆ อันหนึ่งอยู่ด้านใน นาง จึงเดินตรงไปยังโคมไฟอันนั้น ไม่นานนางก็เดินมาถึง หน้าโคมไฟโคมไฟถูกแขวนอยู่ตรงหน้าประตูบานหนึ่ง อันหลิงหยุนยกมือขึ้นมาหยิบโคมไฟออก แล้วยกโคม ไฟขึ้นมาจากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป

พอเข้ามาข้างใน มันคือทางเดินอีกทาง ตรงสุดทาง เดินก็มีประตูบานหนึ่งตั้งอยู่ตรงนั้น พอเปิดประตูเข้าไป มันก็กลายเป็นสถานที่อีกแห่ง อันหลิงหยุนรองคำนวณ ทิศและระยะทางดู

สูดหายใจเข้าลึกๆ ที่นี่คือพระตำหนักจรุงจิต?

มีเสียงเท้าดังมาจากข้างหลัง อันหลิงหยุนยกโคมไฟ ขึ้นมาแล้วมองไปข้างหลัง ฮ่องเต้ชิงหยู่อยู่ในชุดดำ มี มังกรสีทองตรงหน้าอกกำลังส่องแสงอยู่ในความมืด

อันหลิงหยุนกำลังจะคุกเข่าลง แต่ก็ถูกฮ่องเต้ชิงหยู่ ห้ามไว้ “พูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำอย่างนี้”

อันหลิงหยุนถึงได้ยืนขึ้นมา “ฝ่าบาทเพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่ส่งสัญญาณให้แม่นมซีที่ยืนอยู่ข้างหลัง
แม่นมชีพยักหน้าแล้วเดินจากไป

ปิดประตู ฮ่องเต้ชิงหยู่เดินตรงไปทางพระราชวังจริง จิต โดยมีอันหลิงหยุนถือโคมไฟแล้วเดินตามหลังไป

พอเดินเข้าไปถึงห้องหนังสือ แล้วหยิบหนังสือเล่ม หนึ่งลงมาจากชั้น ชั้นวางหนังสือเปิดออกอย่างอัตโนมัติ ตรงหน้าของอันหลิงหยุนคือประตูสีดำบานหนึ่ง

ฮ่องเต้ชิงหยู่ก้าวเท้าเข้าไป อันหลิงหยุนก็ตามเข้าไป เหมือนกัน

พอเข้าไปข้างในแล้วชั้นวางหนังสือด้านหลังก็ปิดตัว ลง ตรงหน้าคือทางเดินเส้นหนึ่ง เป็นทางเดินที่มองไม่ เห็นสุดทางรอบๆ ท่มาจากอิฐหิน กว้างประมาณสอง เมตร สูงสองเมตรครึ่ง ก้อนหินตามกำแพงยังมีมีรูปวาด ที่ดูลึกลับวาดอยู่ด้านบนเป็นรูปดวงดาวมากมาย

อันหลิงหยุนเดินตามอย่างระมัดระวัง มองดูภาพวาด ดวงดาวที่อยู่ด้านบนแล้วก็ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้น

นางไม่คิดเลยว่าในนี้จะมีสถานที่มากมายแบบนี้ซ่อน

อยู่

พอถึงด้านในฮ่องเต้ชิงหยู่จึงได้พูดขึ้น “แปลกใจ หรือ?”

อันหลิงหยุนพยักหน้า “แปลกใจเพคะ หม่อมฉันตื่น เต้นมากเลยเพคะ”
“ครั้งแรกที่ข้ามาก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน แล้วยังตื่น เต้นมากด้วย” ฮ่องเต้ชิงหยู่ยิ้มออกมาไม่หยุด มันทำให้ เขานึกถึงวัยเด็ก

“ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก จำได้ว่าครั้งนั้นเสด็จพ่ออุ้มข้า เข้ามาในนี้ เขาพาข้าเดินผ่านตรงนี้ไป เสร็จพ่อบอกว่า นี่คือทางหนีฉุกเฉินที่ผู้สร้างประเทศต้าเหลียงได้สร้าง เอาไว้

มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้

เพื่อให้ข้าใช้มันในเวลาที่ฉุกเฉิน”

ฮ่องเต้ชิงหยู่รู้สึกลังเล “แต่ข้าไม่อยากใช้มันเลย”

“ประเทศต้าเหลียงนั้นเป็นประเทศที่สงบสุข มีฮ่องเต้ มีความสามารถเป็นผู้ปกครอง ทางเส้นนี้จึงไม่จำเป็น ต้องใช้เลยเพคะ” อันหลิงหยุนนางคิดเช่นนั้นจริงๆ

ฮ่องเต้ชิงหยู่ส่ายหน้า “มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย ถ้าเกิด เป็นเพราะทำสงครามแล้วต้าเหลียงตกไปอยู่ในมือของ ศัตรู ข้าต้องได้ใช้มันแน่” ฮ่องเต้ชิงหยู่มองไปที่อันหลิง หยุน “หยุนหยุนเป็นคนฉลาด ถึงข้าไม่ต้องใช้แต่ก็ต้อง เก็บมันไว้ แล้วมันเพราะอันใดกันล่ะ?”

อันหลิงหยุนหยุดใช้ความคิด “ตั้งแต่โบราณมา กษัตริย์ที่แพ้สงครามนั้นไม่น่ากลัวเลย แต่สิ่งที่น่ากลัว คือผู้ที่ชนะสงครามมักจะเหยียบย่ำผู้แพ้อย่างไร้ความ ปรานี
คนที่แพ้พอตายไปก็ไม่เหลืออันใดแล้ว

แต่เหล่าภรรยาของพวกเขาก็ต้องกลายเป็นเชลย สงคราม

พวกนางไม่มีทางที่จะภักดีต่อศัตรูที่เคยเข่นฆ่าคนใน ครอบครัวของตัวเองแน่นอน และไม่มีทางให้เกียรติคน ที่เคยเป็นศัตรูอย่างแน่นอน

คนพวกนั้นจะต้องใช้วิธีที่นึกไม่ถึงและโหดเหี้ยมที่สุด ในการจัดการกับคนที่เคยเป็นศัตรู

ส่วนเหล่ากษัตริย์ที่ชนะศึกสงคราม พูดว่าตัวเองนั้น มีเมตตา แต่เบื้องหลังของความเมตตาเหล่านั้นกลับมี ความอัปยศมากมายซ่อนอยู่เพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่นั้นรู้สึกประทับใจ ยิ้มอยู่นาน “หยุนหยุน เคยฟังท่านแม่ทัพอันพูดหรือ?”

“อันหลิงหยุนส่ายหน้า “ไม่เพคะ แค่เคยอ่านเจอใน หนังสือ อาจารย์ของหม่อมฉันเป็นคนบอกมาเพคะ”

“ข้าอยากจะพบหน้าอาจารย์ของหยุนหยุนซะเหลือ เกิน”

แล้วฮ่องเต้ชิงหยู่ก็หันหลังแล้วก็เดินตรงไป ทั้งคู่ไม่มี ใครพูดอันใดไปพักหนึ่ง

“ฝ่าบาทเพคะ ที่เรียกหม่อมฉันมากลางดึกแบบนี้มีอันใดจะให้รับใช้เพคะ?” หลังเงียบอยู่นานในที่สุดอันหลัง หยุนก็ทนไม่ไหวจึงได้ถามไป

ฮ่องเต้ชิงหยู่จึงได้เริ่มพูดเข้าประเด็น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ