ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 475 โดนหลอกเข้าวัง



บทที่ 475 โดนหลอกเข้าวัง

“ข้ามีธุระ พระชายาอ๋องเสียนเชิญด้านในพ่ะย่ะ ค่ะ”กล่าวจบเสินหยุนเจ๋ก็เดินจากไป ทั้งร่างเขาสวมใส่ อาภรณ์สีดำ แขนเสื้อกว้างพลิ้วไหวไปกับร่างกายที่ ผ่ายผอมของเขา ราวกับว่าสายลมก็สามารถที่จะพัดพา เขาไปได้

อันหลิงหยุนอยากที่จะไปดู จึงได้เดินตามเข้าไป

เสินหยุนเจ๋เดินไปยังด้านหลังเมืองหลวงแล้วค่อนข้าง ไกล ทว่ายิ่งเดินก็ยิ่งไกลออกไป อันหลิงหยุนถามอาหมู่ “อาหยู่ เขาจักไปที่ใด? ”

อาหมู่สายศีรษะ “ไม่ทราบขอรับ”

เว่ยหลิงชวนกลับกล่าวว่า “มองจากทิศทางที่เขาไป น่า จะเป็นหลุมฝังศพที่อยู่นอกเมือง!”

“หลุมฝังศพ? “อันหลิงหยุนหมุนกายไปมองเว่ยหลิง ชวน

เว่ยหลิงชวนจึงได้ขยายความ “คนในจวนอ๋องเจ็ดได้ ประกอบพิธีฝังศพแล้ว ฮ่องเต้จึงได้ส่งคนไปหาสถานที่ ฝังให้พวกเขา แต่คนในจวนอ๋องห้าสมคบคิดก่อกบฏและ ทำลายชาติบ้านเมือง หลังจากตายไปจึงได้ถูกโยนลงไป ในหลุมฝังศพ หลุมฝังศพคือที่ผู้คนไม่มาขอรับคืนจึงได้ ถูกโยนลงไปที่แห่งนี้ ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร? “อันหลิงหยุนแปลกใจ
“ข้าน้อยไปที่นั่นเพราะเพื่อนของข้าน้อย ศพของเขาก็ อยู่ที่นั่นเช่นกัน ”

อันหลิงหยุนมองไปที่เว่ยหลิงชวน “พวกเขาต้องรับโทษ ฐานสมคบคิดก่อกบฏ เจ้าไปรับศพของเพื่อนเจ้ามา มิใช่ จะถูกลงโทษหรอกหรือ?”

“…เว่ยหลิงชวนไม่ได้ตอบ อันหลิงหยุนจึงได้หมุนกาย ไปหาเงินหยุนเจ๋

ครั้นถึงหลุมฝังศพ ข้างในถูกเผาจนไหม้เกรียมไปหมด และยังส่งกลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพ

อันหลิงหยุนจำยอมยืนอยู่บนที่สูงพลางมองลงไปด้าน ล่าง ได้เห็นเงินหยุนเจ๋กำลังค้นหาใครบางคนที่อยู่ในใน กองศพที่ไหม้เกรียม

อันหลิงหยุนเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “จวิ้นจู่ หลิงซิ่วมิใช่ดื่มสุราพิษจนสิ้นมิใช่หรือ?

“ควรจักเป็นเช่นนั้น แต่ดูแม่ทัพน้อยเสินเช่นนี้ จัก ค้นหาสิ่งใดเล่า”ขณะที่เว่ยหลิงชวนกำลังกล่าว เสินหยุ นเจ๋ได้อุ้มร่างหนึ่งคล้ายบุรุษผอมบางและอ่อนแอขึ้นมา จากกองศพ ดูท่าทางอายุน้อย

เสินหยุนเจ๋อุ้มซากศพเดินขึ้นมาอย่างยากลำบาก จึงได้ แบกขึ้นหลังเสียเลย หลังจากลากขึ้นไปด้านบนจนสุด แล้วเหนื่อยล้าจึงได้ล้มลงทั้งยังกลิ้งลงมาอีก เว่ยหลิงชวน วิ่งไปด้านล่างในทันที ไม่มีประโยชน์แล้วหากจะทำตัว เป็นปัญญาชน เว่ยหลิงชวนก็ทั้งกลิ้งทั้งคลานกว่าจะลงมาด้านล่างได้

อันหลิงหยุนมองไปอย่างหดหู่ กำชับให้อาหยู่ลงไปช่วย เช่นกัน สุดท้ายก็เป็นอาหยู่ ที่ดึงเว่ยหลิงชวนและเสินหยุ นเจ่ขึ้นมาโยนไว้ด้านบน ขณะที่อาหมู่ขึ้นมาก็ได้นำผู้ที่ ตายขึ้นมาด้วย

สองวันมานี้เสินหยุนเจ๋ได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง จึงนอนลงหอบหายใจอย่างหนัก เขาเหนื่อยจนแทบไร้ เรี่ยวแรง

อันหลิงหยุนถาม “เจ้ามาค้นหาผู้ตายที่นี่ เพื่ออันใด?”

เสินหยุนเจ๋มิได้ตอบนางกลับ หลังจากลุกขึ้นก็ได้นำคน แบกขึ้นหลัง ลากไปยังสถานที่หนึ่ง

ไม่ไกลจากนอกเมืองมีหลุมฝังศพนิรนามอยู่ที่หนึ่ง เงิน หยุนเจ๋นำศพไปที่นั่น ขุดหลุมฝังศพและเปิดโลงศพ จาก นั้นนำศพใส่เข้าไปข้างใน ขณะนั้นอันหลิงหยุนเห็นศพ หญิงสาวที่งดงามนอนอยู่ข้างใน

พลันนึกถึงหลิงซิ่วจวิ้นจู่ขึ้นมา ทันใดนั้นอันหลิงหยุ นก็กระจ่างแจ้ง แม้นางจะมิอาจเข้าใจเรื่องราวเป็นไปมา อย่างไร

“อาหยู่ เจ้าไปช่วยเขา”ขณะที่เสินหยุนเจ๋กำลังกลม หลุมศพ อันหลิงหยุนเห็นว่าเขายังไม่มีแม้แต่แรงกำดินใน มือ จึงได้เรียกอาหย่เข้าไปช่วย

หลุมฝังศพเต็มหมดแล้ว เสินหยุนเจ๋จึงฟุบอยู่ที่ภูเขาตรงหลุมฝังศพอย่างเหนื่อยล้า

อาหยู่ก็ได้แบกเงินหยุนเจ๋ขึ้นหลังกลับไป ขณะที่จาก ไปอันหลิงหยุนได้เหลือบมองกลับไป ภายในหลุมฝังศพที่ โดดเดี่ยวนั้นมีแต่ป่าหญ้า แม้แต่ป้ายชื่อผู้ตายก็ไม่มี หาก ว่าเงินหยุนเจ๋จ๋าไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดยังจะสามารถจดจํา สถานที่แห่งนี้ได้อีก

เพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงส่วนตนของกงชิงชวนแล้ว ได้ ทำลายผู้คนไปอย่างมากนัก ไม่รู้ว่าเขาเกิดความรู้สึกเช่น ไร?

อันหลิงหยุนได้พาเสินหยุนเจ๋กลับมาที่จวนแม่ทัพ และ ให้อาหยู่ไปแจ้งให้จวนเฉินเสี้ยงทราบ บอกเพียงว่าแม่ทัพ อันให้เงินหยุนเจ๋อยู่ที่นี่

อันหลิงหยุนมองไปที่เสินหยุนเจ๋ครู่หนึ่ง พบว่าคนไม่เป็น อันใด เพียงแค่จําเป็นต้องพักฟื้นอยู่ช่วงหนึ่ง

หลังจากจัดหาที่ทางให้เงินหยุนเจ๋ อันหลิงหยุนก็ได้ กลับออกไปดูเด็กๆ ยามค่ำกงชิงวี่จึงได้กลับมา

เดินเข้าประตูอันหลิงหยุนพบเขาที่อาบน้ำอย่างรีบร้อน หลังจากนางกลับมาร่างกายเขายังคงเปียกชื้นแต่กลับพุ่ง เข้าไปกอดนางไว้ในอ้อมกอด อันหลิงหยุนถูกทำให้ตกใจ ไม่น้อย ลูกๆต่างก็ยังไม่หลับ แถมยังมองมาที่พวกเขา ราวกับสัตว์ประหลาดอีกด้วย

หากเป็นบุตรของจวนอื่น อันหลิงหยุนก็สามารถเพิกเฉย ได้ พวกเขาต่างยังไม่รู้เรื่องอะไร ทั้งยังกล้าที่จะมอง
แต่ทว่าเด็กๆเหล่านี้กลับมิได้เป็นปกติเช่นนั้น !

“ท่านอ๋อง….”อันหลิงหยุนอยากผลักกงชิงวี่ออก แต่ เขากลับอุ้มอันหลิงหยุนไปที่เตียง คนผู้นี้เสียสติไปแล้ว กระมัง ลูกๆก็ยังนอนอยู่ที่เตียง เขาก็ยังไม่รู้สึกอับอาย ยังได้ทําเรื่องอย่างว่าที่เตียง

อันหลิงหยุนโกรธจนแทบบ้า แต่ทว่ามองแววตาเขาที่ดู ไม่ยอมแล้ว อันหลิงหยุนจึงมิได้คัดค้านอีกต่อไป

หลังจากอิ่มหนำสำราญ กงชิงวี่ถึงได้พักผ่อน อันหลิง หยุนจึงได้กล่าวถามถึงเรื่องที่เขาทำเป็นอย่างไรบ้าง

“หนีไปแล้ว”กล่าวเพียงหนึ่งประโยคสองคำ ก็มิได้ กล่าวอันใดอีก

อันหลิงหยุนยุกผ้าห่มขึ้นมาคลุม และไม่ถามอันใดอีก รอเมื่อใดที่กงชิงวี่ต้องการจะเล่า นางค่อยถามเขาอีกที

วันต่อมาก็มีพระราชโองการออกมาจากในวัง กงชิงวี่ได้ รับการคืนตำแหน่งขุนนาง และรับอันหลิงหยุนเข้าวังใน ทันที

อันหลิงหยุนไม่อยากเข้าไปในวัง แต่อยู่สถานที่แห่งนี้ รับสั่งของฮ่องเต้ยากที่จะฝ่าฝืน

หลังจากเข้าไปในวังอันหลิงหยุนได้ไปที่พระตำหนัก จรุงจิต ขณะเข้าประตูไปก็ได้พบกับฮ่องเต้ชิงหยู่ที่กำลัง นั่งอ่านสมุดบัญชีเล่มเล็ก
อันหลิงหยุนคาราวะ ฮ่องเต้ชิงหยู่ก็ได้เรียกนางเข้ามา อันหลิงหยุนจึงทำได้รวบกระโปรงที่กวัดแกว่งและเดิน เข้าไปตามขั้นบันไดไปและไปหยุดลงที่ข้างฮ่องเต้ชิงหยู่

ฮ่องเต้ชิงหยู่ได้นำสมุดบัญชีเล่มเล็กที่อยู่ในมือมอบให้ แก่อันหลิงหยุน อันหลิงหยุนก็มีสีหน้าที่แปลกใจ ให้ของ สิ่งนี้เพื่ออันใด?

วังหลังมิได้รับอนุญาตให้แทรกแซงราชสำนัก นางเป็น เพียงสตรีผุ้หนึ่ง ให้สิ่งนี้แก่นาง? หยั่งเชิง?

อันหลิงหยุนมิอาจทำความเข้าใจในสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำเพียงแค่เปิดสมุดบัญชีเล่มเล็กอ่านไปรอบหนึ่ง แม้ ผ่านไปครึ่งวันก็มิอาจดึงสติกลับมา

“โรคระบาดตั๊กแตน? “อันหลิงหยุนประหลาดใจ นาง เป็นหมอผู้หนึ่ง มาหานางเพราะเกิดโรคห่าก็ยังพอว่า ทว่า มาหานางเพราะเกิดโรคระบาดตกแตน นี่มิใช่เรื่องล้อเล่น หรอกหรือ?

“ทางใต้เกิดโรคระบาดตั๊กแตนอย่างรุนแรง เวลานี้เข้า สู่ฤดูหนาวแล้ว ข้าต้องการนำเงินจำนวนหนึ่งจากท้อง พระคลังส่งไปสงเคราะห์แก่ผู้ประสบภัย จึงได้ทราบ ว่าท้องพระคลังนั้นเงินน้อยเสียจนน่าเวทนา หากนำไป สงเคราะห์แก่ผู้ประสบภัยก็ไม่มีปัญญาลำเลียงเสบียง อาหารและหญ้าเลี้ยงม้าผ่านฤดูหนาวไปถึงด่านชายแดน ได้ จึงต้องการที่จะยืมเงินเหล่านั้น”ฮ่องเต้ชิงหยู่มองไป ยังอันหลิงหยุนหลังจากกล่าวถึงเรื่องนี้

อันหลิงหยุนรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี วันนี้นางมิควรเข้าวัง ถึงจะอยู่นอกวังแล้วโดนลักพาตัวไป ยังถือว่าเป็น เรื่อง กว่า มิน่าเข้าวังมาเพื่อเสียเงินเลยจริงๆ

อันหลิงหยุนไตร่ตรองอย่างซ้ำไปซ้ำมา “ฮ่องเต้เพคะ ท้องพระคลังไม่มีเงินมิสู้รวบรวมเงินเพื่อนําไปบริจาคเล่า เพคะ หากรวบรวมเงินเพื่อนําไปบริจาค เช่นนี้เงินก็จัก เพียงพอแล้ว หากว่าท่านยืม เกรงว่าจะมิอาจแก้ไขปัญหา น้อยใหญ่ได้เพคะ

ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ กระหม่อมได้ยืมเงินบางส่วนของ ราชครูจุน แต่ทว่าในเดือนแรกกลับไม่มีรายได้ เงินก็ได้ ใช้ไปหมดแล้ว กระหม่อมทั้งยังไปยืมเงินบางส่วนจาก องค์หญิงใหญ่ เช่นนี้จึงได้คลายเรื่องที่เร่งด่วนไปได้

ดังนั้นกระหม่อมรู้สึกว่า การยืมมิใช่หนทางแก้ปัญหา

ฮ่องเต้มีทั้งความกรุณาเมตตาและเอื้อเฟื้อต่อประชาชน เฝ้าสังเกตความยากลำบากของประชาชน ทั้งยังยกเลิก การเก็บภาษี นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องพระคลังว่าง เปล่า อีกทั้งด่านชายแดนของพวกเรามีผู้คนเป็นจำนวน มาก ทุกปีการจ่ายเงินเดือนและเสบียงของทหารนั้นก็ถือ เป็นเงินก้อนใหญ่เช่นกัน กระหม่อมกลับรู้สึกว่า การยืมมิ สู้การบริจาคเพคะ!

ฮ่องเต้ชิงหยู่หยิบสมุดบัญชีเล่มเล็กมาจากในมือของอัน หลิงหยุน และโยนลงไปที่โต๊ะ พลันกล่าวขึ้นว่า”สตรี ทุก วันมักจะหยิบยกด่านชายแดน เงินเดือนและเสบียงทหาร และเรื่องอื่นๆมาแขวนไว้ที่ปาก มีเจตนาอันใด? ”

หัวใจของอันหลิงหยุนสั่นสะท้าน เป็นหลุมพรางจริงเสียด้วย เดิมทีคงรอตรงนี้อยู่เป็นแน่

“กระหม่อมมิบังอาจ! “อันหลิงหยุนไม่อยากที่จะคุกเข่า แต่ศัตรูอยู่ต่อหน้า ไหนเลยจะมีเหตุผลที่ไม่ต้องคุกเข่า อันหลิงหยุนจึงได้หอบกระโปรงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น

ฮ่องเต้ชิงหยู่เหลือบมองอันหลิงหยุนอย่างเย็นชา “วัง หลังมิอาจแทรกแซงราชสำนัก เจ้ารู้หรือไม่? ”

“รู้เพคะ”อันหลิงหยุนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและ รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

วังหลวงก็คือวังหลวง ไม่มีคำใดจะกล่าวได้

“รู้แล้วต่อหน้าข้าเจ้ายังกล่าวเช่นนี้ เจ้ากำลังดูหมิ่นข้า หรืออย่างไร ? “ฮ่องเต้ชิงหยู่พระพักตร์เคร่งขรึมลง ทั้ง ยังเย็นชาจนน่ากลัว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ