ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 417 อ๋องตวนมาช่วย



บทที่ 417 อ๋องตวนมาช่วย

แม่นมหวูเอ่ยขึ้น “วันนี้พระชายาเสวยได้ไม่มาก เห็น ชัดๆ ว่าไม่สบาย หากเป็นช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงไม่ไหว”

หญิงชรากลับเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “จากที่พวกเราเคย ไปมาหลายที่ ที่แบบนี้เกิดเรื่องได้ง่ายที่สุดแล้ว เมื่อก่อน พวกเราล้วนหลีกเลี่ยงที่แบบนี้กัน”

หยุนโล่ชวนจะไม่รู้ได้อย่างไร นางชำนาญการ บัญชาการรบยิ่ง ตั้งแต่เล็กก็คุ้นเคยกับการตำราศึก สงคราม ทั้งยังรู้จักการจัดทัพเป็นอย่างดี ทว่าที่นางเป็น ห่วงกลับเป็นร่างกายของอันหลิงหยุนต่างหาก

“นายน้อยหยุน อีกเดี๋ยวก็ฟ้ามืดแล้ว ต้องรีบตัดสินใจ แล้ว” หญิงชราเอ่ยเตือนหยุนโล่ชวน

การออกเดินทางคราวนี้ทุกคนล้วนต้องเรียกหยุนโล่

ชวนว่านายน้อยหยุน เรียกมู่มิงว่านายน้อยมู่ และทำตาม

คำสั่งของหยุนโล่ชวน

หยุนโล่ชวนสบตามู่มิงครู่หนึ่ง “พักเถิด”

“ไม่ได้ ไปเดี๋ยวนี้ เราต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนที่ฟ้าจะมืด จะให้ข้าเพียงคนเดียวเป็นตัวถ่วงทุกคนไม่ได้ ข้ายังทน ได้ ทนมานานเพียงนี้ยังทนได้ ตอนนี้ยังพอมีเวลาอีกสอง ชั่วยาม จะทำอันใดก็ยังทำได้อยู่” เมื่ออันหลิงหยุนเห็นหยุ นโล่ชวนยังคิดจะพักอยู่อีกจึงรีบทักท้วงขึ้นทันที

หยุนโล่ชวนกับคนอื่นๆ หันมามองอันหลิงหยุนที่มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวอยู่บนรถม้า ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

หยุนโล่ชวนถึงได้เอ่ยขึ้น “ไปกันเถิด

เมื่อนั้นอันหลิงหยุนถึงได้ปล่อยมือจากผ้าม่านแล้วถอน หายใจออกมาอย่างโล่งอก หวังเพียงว่าจะออกจากที่นี่ อย่างปลอดภัย

ทว่าระหว่างที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้นเอง ในป่ากลับ มีความเคลื่อนไหวขึ้น เจ้ากาดำในรถพลันบินมาเกาะบน ไหล่อันหลิงหยุน นางจึงเอ่ยขึ้น “มีคนมา

“รู้แล้ว”หยุนโล่ชวนสำรวจรอบๆ ทว่ายามนี้ฟ้ามืดแล้ว มองเห็นได้ไม่ชัดนัก นางจึงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

“มู่มิงเจ้าอย่าออกห่างรถม้า ต้องปกป้องพี่หญิงพระ ชายาอ๋องเสียนให้ได้

“วางใจเถิด เจ้าเองก็ระวังด้วย”

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่นั้นเอง เสียงผิวปาก จากบนฟ้าก็ดังขึ้น พอหยุนโล่ชวนเงยหน้าขึ้นมอง ลูกธนู จากรอบทิศก็พุ่งเข้ามาทันที มู่มิงจึงรีบผลักหยุนโล่ชวน ออกแล้วเขาขวางลูกธนูไว้

“ทุกคนรีบเข้าไปหลบในรถม้าเร็ว ส่วนคนอื่นๆ เตรียม ดักซุ่มโจมตี”

พวก แม่นมหนูไม่ลงจากรถ มีเพียงคนที่คอยคุ้มกัน เท่านั้นที่อยู่ด้านนอกคอยดักซุ่มโจมตี หยุนโล่ชวนพลิกกายกระโจนขึ้นหลังม้า ดึงคันธนูกับลูกธนูที่แขวนอยู่บน รถม้าลงมา ก่อนจะเล็งแล้วยิงลูกธนูย้อมดินปืนติดเปลว เพลิงทั้งสี่ดอกทะยานเข้าไปในป่า จากนั้นก็พลันมีเสียง เคลื่อนไหวดังขึ้น ก่อนจะเกิดเสียงดังสนั่น

มู่มิงหยิบกระบี่หยกจากด้านหลังออกมาตวัดฟัน

คนถูกฟันล้มกลิ้งลงไปกับพื้นพลางร้องโหยหวนอย่าง น่าอเนจอนาถ

อันหลิงหยุนหยิบพิณหลวงเพิ่งออกมาดีด พวกคนในป่า ต่างเลือดทะลักออกทางหูก่อนจะล้มลงไป

ส่วนหงเถากับลุ่ยหลิ่วที่อยู่บนรถม้ากับอันหลิงหยุนนั้น ใช้นิ้วอุดหูไว้ตั้งแต่แรก ยามนี้จึงไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น คน อื่นๆ ที่เหลือเองก็รู้ดีเช่นกัน

ทันใดนั้นรอบข้างพลันเงียบสงบลง หยุนโล่ชวนจึงได้ แหวกหน้าต่างรถม้าแล้วพยักหน้าให้อันหลิงหยุน นางถึง ได้หยุดมือจากพิณแล้วพักผ่อน

จบเรื่องแล้วรถม้าจึงได้เร่งเดินทางต่อ ทว่าพอเดินหน้า ต่อไปก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งโผล่มาอีก คนพวกนี้ดูแปลก ประหลาดนัก สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พอใช้ตะเกียงส่องดู แล้วถึงได้เห็นตาของพวกมันเป็นสีเขียว ร่างกายเป็นสี ขาวอมม่วง

หยุนโล่ชวนแหวกหน้าต่างรถม้าออก อันหลิงหยุนจึง มองออกไปครู่หนึ่ง “เป็นคนที่ชินจงส่งมา พวกมันเป็น คนตายแล้วฟื้นคืนชีพ ตีไม่เจ็บ ฆ่าไม่ตาย ต่อให้ใช้เสียงสังหารก็ไร้ประโยชน์”

“ใช้พิษเล่า”

มู่มิงเอ่ยถาม ทว่าอันหลิงหยุนกลับส่ายหน้า “ไม่มี ประโยชน์ นอกเสียจากว่าราชาอีกาจะมาที่นี่ ทว่ายามนี้ ราชาอีกาก็ไม่อยู่ เจ้ากาดำ เจ้ามีหนทางบ้างหรือไม่”

อันหลิงหยุนถาม เจ้ากาดำพลันส่งเสียงร้องกากา ทำเอาอันหลิงหยุนขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ คง ต้องหาทางใช้ไฟโจมตีแล้ว”

หยุนโล่ชวนดึงธนูลงมาโยนให้มู่มิง มู่มิงจึงลงจากรถ ม้าแล้วกระโจนขึ้นหลังม้าทันที คนทั้งสองอยู่คนละข้าง ส่วนคนอื่นๆ ก็ดึงธนูลงมาจากรถม้าด้วยความชำนาญ แล้วยิงต่อสู้คนที่เข้ามาตรงหน้าอย่างว่องไว

เพียงชั่วอึดใจ เปลวเพลิงก็พลันลุกโชนขึ้นมา ทว่าพวก มันกลับไม่ตายไปในทันที แต่ยังดาหน้าเข้ามาใกล้

หยุนโล่ชวนเริ่มรู้สึกท่าไม่ดี “ท่าไม่ดีแล้ว พวกมันยอม พลีชีพ มู่มิงเจ้าไปก่อนเถิด ข้าจะตั้งอยู่ก่อน

“ระวังตัวด้วย”

มู่มิงทะยานขึ้นรถม้าเตรียมพาอันหลิงหยุนหนีไป ทว่า กลับถูกอันหลิงหยุนร้องห้ามไว้ “จะทิ้งชวนเอ๋อไม่ได้”

รถม้าพลันหยุดกึก อันหลิงหยุนเดินออกมานั่งลงหยิบ พิณหลวงเพิ่งมาวางไว้บนตักแล้วดีดขึ้น
เสียงพิณพุ่งเข้าไปปะทะศพคืนชีพตนหนึ่งเข้า ขามัน ช้กงักค้างอยู่ครู่ใหญ่ แต่แล้วก็วิ่งพุ่งเข้ามาอย่างเต็ม

“แม้จะไม่ได้ผล แต่พวกเจ้าขึ้นรถม้ามาก่อน ข้าจะขวาง พวกมันไว้เอง แล้วเราค่อยหาทางหนีไปจากที่นี่กัน” อัน หลิงหยุนไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้ว

“หากเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร” มู่มิงไม่วางใจ

“คิดมากเพียงนั้นไม่ได้แล้ว”

เสียงพิณของอันหลิงหยุนเริ่มโจมตีศพคืนชีพเหล่านั้น ในขณะที่ทุกคนขึ้นรถม้าเตรียมหนีกันหมดแล้วนั้นเอง จู่ๆ เจ้าจิ้งจอกหางสั้นก็วิ่งเพ่นพ่านออกมา แล้วตรงดิ่งไปยัง ด้านหน้ารถม้า

“มีคนมา” อันหลิงหยุนถอนหายใจ นางสัมผัสได้ว่าเจ้า จิ้งจอกหางสั้นตื่นเต้น

มู่มิงแปลกใจ “ผู้ใดมา?”

“คนรู้จักกระมัง” อันหลิงหยุนหอบพิณหลวงเพิ่งเข้าไป ในรถม้า ทว่าทันใดนั้นเอง กลับมีม้าพยศควบทะยานตาม หลังมาจนพื้นดินสะเทือน ม้าลากรถหวาดกลัวม้าพยศ พวกนั้นเสียจนกระสับกระส่าย

หยุนโล่ชวนพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วหันหลังไปมอง

ม้าพยศหลายสิบตัวพุ่งทะยานเข้ามาราวพายุ ผู้นำหมู่ ม้าพยศมานั้นสวมชุดเกราะสีดำทั้งร่าง สวมหมวกเหล็กที่ศีรษะ และสวมหน้ากากโซ่เหล็กสีดำ เมื่อเห็นหยุนโล่ชวน หันมาเห็นเขาเพียงแวบหนึ่งเท่านั้น เขาก็ควบม้าห้อตะบึง ผ่านไปเสียแล้ว

พอหยุนโล่ชวนหันมาก็เห็นม้ารถม้าทั้งสามคันถูกกอง ทหารม้าแกล้วกล้าล้อมเอาไว้ ทัพทหารม้าด้านหน้าพุ่ง ตรงเข้าไปปะทะกับศพคืนชีพ พร้อมกันนั้นม้าพยศก็ เหยียบย่ำร่างพวกมันจนแหลกละเอียด

อันหลิงหยุนมองแผ่นหลังของผู้ที่อยู่บนหลังม้า ดูจะ คล้ายท่านอ๋องอยู่บ้าง แต่คนผู้นี้ไม่ใช่ท่านอ๋องแน่ หากดู คล้าย…อ๋องตวนเสียมากกว่ากระมัง

เพียงชั่วพริบตาพวกศพคืนชีพก็ถูกเหยียบจนจมดิน อัน หลิงหยุนถึงได้เอ่ยขึ้น “ผู้มาเยือนเป็นผู้ใดกัน

“กระหม่อมเป็นกองทหารม้า รับบัญชาให้มาปกป้องพระ ชายาพ่ะย่ะค่ะ” สุรเสียงของผู้อยู่บนหลังม้าสุขุมเยือก เย็น จนเห็นได้ชัดว่าดัดเสียงมา ทว่าอันหลิงหยุนก็ไม่ได้ เอ่ยอันใดอีก

หยุนโล่ชวนถามขึ้น “เจ้าเป็นคนของใครกัน”

อ๋องตวนหันไปมองหยุนโล่ชวนที่อยู่บนหลังม้า ก่อนจะ พินิจพิจารณานางอยู่ครู่หนึ่ง หากยังไม่ทันได้ตอบคำถาม นางก็หันกลับไป

หยุนโล่ชวนข้องใจ “หยิ่งยโสเสียด้วย”
อ๋องตวนหันไปมองหยุนโล่ชวนแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้า กลับมาอีกครั้ง

เขาพาคนเดินผ่านพวกซากศพไป และหลังจากออก จากป่านั้นก็ไม่เกิดเหตุอันใดขึ้นอีก

ระหว่างทุกคนล้วนคอยเฝ้าระวังอยู่รอบๆ อันหลิงหยุน จึงได้เดินไปหาอ๋องตวน “ท่านไม่เข้าไปคุยกับนางหรือ

ที่ตรงนี้ไม่มีใครอื่น อันหลิงหยุนถึงได้กล้าเรียกเขา

ตรงๆ

“เห็นนางไม่เป็นไรก็พอแล้ว ข้าไม่รีบร้อน” อ๋องตวน กลับมองโลกในแง่ถึงเพียงนี้

อันหลิงหยุนเอ่ยถาม “เหตุใดเป็นท่านมา ท่านอ๋องเล่า”

“อย่างไรเสียก็ต้องมีคนมา ครั้งนี้เป็นข้าอาสามาเอง ไม่ เห็นเขาก็ผิดหวังเสียแล้วหรือ”

อันหลิงหยุนยอมเขาแล้วจริงๆ นี่มันยามไหนกันแล้วเขา ยังมีอารมณ์มาต่อปากต่อคํากับนางอีก

“ผิดหวังนั่นย่อมมีอยู่แล้ว ทว่าเป็นห่วงเสียมากกว่า แต่ ท่านมายังดีกว่าให้เขามา อย่างน้อยก็ไม่วุ่นวาย หากเขา มาเมืองหลวงเป็นได้วุ่นวายแน่”

“เขากับข้าต่างกันตรงไหน เจ้าถึงได้พูดเหมือนกับว่า หากประเทศต้าเหลียงไม่มีเขาสักคนแล้วจะวุ่นวาย หาก ได้ยินไปถึงพระกรรณฝ่าบาทเข้า พวกเจ้าน่าดูแน่” อ๋องต
“ข้าว่าเขายังสู้ท่านไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาก็เป็นแค่ดาบเล่ม หนึ่งในมือพวกท่านเท่านั้น จะถึงอย่างไรก็เป็นแค่ดาบ เท่านั้น”

อันหลิงหยุนหอบพิณเข้าไปในรถม้า นางเหนื่อยล้า เหลือเกินแล้ว อยากจะพักเต็มที

ขณะที่อ๋องตวนกลับยังคงเหม่อลอยอยู่ข้างนอกนั่น คิด ไตร่ตรองถึงคำที่อ้นหลิงหยุนพูดแล้วยืนอยู่เช่นนั้นพัก หนึ่ง ก่อนจะพาคนจากไปก่อนฟ้าสาง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ