ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 156 การไต่สวนในยามคั่ว



บทที่ 156 การไต่สวนในยามคั่ว

เสินหยุนเจ๋ไม่ได้พูดอันใด แค่มองที่เสินหยุนชูแล้วก็เดิน จากไป

เสินหยุนชูเองก็ไม่รู้จะทำกระไร ได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็ บรรทมลงไป

ถึงแม้ว่าอันหลิงหยุนจะได้ช่วยนางไว้ก็เถอะ แต่นางเอง ก็ไม่สามารถที่จะปล่อยเงินหยุนชูได้ เพราะว่านางนั้นเก่ง แสวยไป จึงไม่สามารถที่จะให้นางนั้นอยู่ได้

อันหลิงหยุนออกมาจากวังเพิ่งหยี แล้วจากนั้นก็ไปยัง พระตำหนักศาลบรรพชน ต่อ และด้านนอกของพระ ตำหนักศาลบรรพชน นั้นมีกงชิงหยินและจุนฉูฉูกำลังนั่ง คุกเข่าอยู่

ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว อันหลิงหยุนเองก็ เห็นแล้ว

ว่ามันน่ากลัวกว่าการฆ่าคน บรรยากาศในวันนั้นก็ไม่ได้ ดูอบอุ่นเท่าไร เพราะมันยังมีลมเย็น ๆ คอยพัดผ่านอยู่ อิฐ หินที่ปูที่พื้นนั้นจะเยือกเย็นแค่ไหน ก็ไม่อาจจะทราบได้ อีกอย่างอิฐหินเหล่านั้นก็แข็งอย่างกับอันใดดี

หากเป็นอย่างนี้ต่อไป นั่งคุกเข่าอยู่สองชั่วโมงคงไม่ เป็นไร หากนั่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าหวางฮวงไทเฮาออกมา แล้วล่ะก็ คงต้องพิการเป็นแน่

กงชิงหยินและจุนฉูฉูนั่งคุกเข่าแล้วหันหน้าเข้าไปยังพระตำหนักศาลบรรพชน เมื่ออันหลิงหยุนเดินผ่าน ก็ เหลือบแลดู

เมื่อไห่กงกงมองเห็นว่าอันหลิงหยุนกำลังเดินเข้ามา จึง รีบวิ่งออกมารับ แล้วถามขึ้นว่า “พระชายาเสียน มีเรื่องดี มาหรือ”

“ใช่แล้ว รบกวนกงกงถวายรายงานต่อเสด็จแม่หน่อย แม่และลูกทั้งสองตำหนักต่างปลอดภัยดี พรที่เสด็จแม่ขอ นั้นช่างศักดิ์สิทธิ์เสียจริง”

ไ กงกงเกือบจะร้องไห้ออกมา จากนั้นก็รีบกลับเข้าไป ถวายรายงาน

หวางฮวงไทเฮาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วมองขึ้นไปยัง ป้ายลำดับที่อยู่ด้านบน และรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก “บรรพบุรุษรักษา คุ้มครอง ให้ประเทศต้าเหลียงนั้น ประสบแต่ความสุข และร่มเย็นตลอดไป”

ฮั่วไทเฟยเองก็รีบคุกเข่าคำนับ เพราะรู้สึกสบายใจขึ้น มาแล้ว

จากนั้นฮั่วไทเฟยลุกขึ้นแล้วประคองหวางฮวงไทเฮา แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพี่เพคะ”

หวางฮวงไทเฮาถึงแม้จะไม่ชอบฮั่วไทเฟย แต่ในเวลา นี้กลับไม่ใส่ใจกับเรื่องในอดีตแล้ว จากนั้นก็พยักหน้า “ออกไปกันเถอะ”

“เพคะ”
และทั้งสองคนก็ได้ออกมาจากพระตำหนักศาลบรรพ ชน อันหลิงหยุนแสดงความเคารพ “หม่อมฉันคารวะเสด็จ แม่ คารวะไทเฟย”

หวางฮวงไทเฮาพยักหน้ารับ “ลำบากเจ้าแล้ว หลิงหยุน ลุกขึ้นเถอะ” หวางฮวงไทเฮามองไปเห็นกงชิงหยินและจุนฉูฉูที่กำลัง นั่งคุกเข่าอยู่ข้างนาง แล้วพูดขึ้นว่า “อ๋องตวนสุขภาพไม่ดี

มาตั้งแต่เด็ก ลุกขึ้นเถอะ”

“หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จแม่ที่กรุณาเพคะ”

เมื่ออ๋องตวนลุกขึ้นแล้ว

หวางฮวงไทเฮาเห็นแก่หน้าของฮั่วไทเฟย จึงไม่อยาก จะถือสากงชิงหยิน แต่ว่าจุนฉูฉูนั้น นางคงไม่ปล่อยไป ง่าย ๆ แน่

“พระชายาตวน เจ้ากับเซียวกุ้ยเฟยเป็นพี่น้องกัน อย่าง นั้นเมื่อหากนางมีเรื่อง เจ้าเองก็อย่าชะล่าใจ งั้นเจ้าอยู่ที่นี่ ต่อ เพื่อขอพรให้นางเถอะ”

เมื่อหวางฮวงไทเฮาพูดจบ อ๋องตวนเองจับชายผ้าสะบัด ขึ้น เพื่อเตรียมตัวที่จะคุกเข่าลงขอความเมตตา ฮั่วไท เฟยเหลือบไปเห็นเข้า จึงมองเขาด้วยสายตาที่น่ากลัว แล้ วอ๋องตวนเองก็แทบไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้น

“หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จแม่ที่กรุณาพ่ะย่ะค่ะ”
จุนฉูฉูคำนับด้วยการโขกหัวลงที่พื้น จากนั้นหวางฮวง ไทเฮาเลยให้ยั่วไทเฟยประคองแล้วเดินจากไป

ทั้งสองคนเดินไป พร้อมด้วยนางกำนัลอีกมากมาย อัน หลิงหยุนเองก็เดินตามออกไป

อ๋องตวนยืนอยู่ข้าง ๆ ของจุนฉูฉูอย่างนิ่ง ๆ

และหวางฮวงไทเฮาเดินไปได้สิบกว่าก้าว จึงกำชับสั่ง ขึ้นอีกว่า “อ๋องตวน ข้าได้เจอกับเจ้ามานานแล้ว ข้าจำได้ ว่าเมื่อครั้งที่เจ้ายังเด็กนั้นเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์มาก ตามข้า มา เดินไปเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

อ๋องตวนจึงรีบตามไป “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

อ๋องตวนเองก็ไม่รู้จะทำกระไร เมื่อเห็นจุนฉูฉูดูมีสีหน้าที่ ซีดเผือด จากนั้นเขาก็ไปยังวังเฉาเพิ่ง

ระหว่างทางฮั่วไทเฟยเองก็ขอตัวกลับวังฮั่วหยางอย่าง สุภาพนุ่มนวล ส่วนอันหลิงหยุนและอ๋องตวนนั้นก็ได้ตาม ไปยังวังเฉาเพิ่ง

เมื่อหวางฮวงไทเฮาถึงยังวังเฉาเพิ่งแล้วก็กลับเข้าไปพัก ผ่อน ส่วนอันหลิงหยุนและอ๋องตวนนั้นก็ได้รออยู่ข้างนอก อ๋องตวนยืนอยู่นิ่ง ไม่ขยับ แววตาดูเหม่อลอย

ส่วนอันหลิงหยุนก็ยืนหลับอยู่ข้าง ๆ กัน

ตัวโยกไปโยกมา ทำเอาไห่กงกงเองก็รู้สึกตกใจ คน หนึ่งยืนหลับลึกอย่างไม่รู้สึกตัว หากล้มลงจะทำกระไรดี
ไห่กงกงยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่วางใจ จ้องมองที่อันหลิง หยุนอย่างไม่กระพริบตา

เมื่อมองสักพัก เห็นว่าไม่เหมาะ เลยเรียกขันหีน้อย เข้ามา กระซิบบอกไป ให้ไปบอกกับอ๋องเสียนให้รีบมา หากว่าเกิดเรื่องแล้ว พวกเขาเองก็รับผิดชอบไม่ไหว

พอกงชิงวี่มาถึง อันหลิงหยุนกำลังก้มหน้าหลับอยู่พอดี

พอถึงแล้ว กงชิง เลยโอบประคองนางไว้ในอ้อมอก ไห่ กงกงเองก็อยากจะทำความเคารพ แต่ก็ถูกกงชิงนั้น โบกมือห้ามไว้เสียก่อน

พออันหลิงหยุนรู้ว่ากงชิงวี่มาแล้ว ก็บรรทมต่ออย่าง สบายใจ

กงชิงวี่เองก็อดที่จะขำไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า “ขนาดยืนอยู่ ก็ยังสามารถหลับได้ ข้ายอมรับจริง ๆ”

อันหลิงหยุนเองก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นดู ในตำหนักเหลือแค่ กงชิงวี่และกงชิงหยินเพียงสอนคน กงชิงหยินเลยพูดขึ้น “ฉูฉูสุขภาพไม่ค่อยดี ขอร้องเสด็จแม่หน่อย ให้นางกลับ ไปพักผ่อนเถอะ”

“พี่สองเรื่องนี้ไม่พูดจะดีกว่า พระชายาตวนห่างจากพี่ สองแค่ช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปเอง ไปที่วังจิ่งซิ่วเถอะ เรื่อง นี้มีคนรายงานแก่เสด็จแม่แล้ว และเสด็จแม่เองก็ไม่ได้ กล่าวโทษใคร ซึ่งพระมหากรุณาอย่างยิ่งแล้ว และเรื่อง เอาไว้แค่นี้พอ
หากไม่ปล่อยให้เป็นไปตามนี้ เกรงว่าจะไม่งาม

เมื่อกงชิง พูดแบบนี้ออกมา กงชิงหยินก็เลยหันกลับไป มอง แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ตั้งแต่แรก ทำไมไม่บอกเรื่องนี้ แก่ฝ่าบาท”

“พี่สองรู้ได้กระไร ว่าฝ่าบาทไม่รู้เรื่องนี้” กงชิงวี่พูดขึ้น ด้วยความรู้สึกที่เย็นชา

กงชิงหยินตะลึง “ฝ่าบาทรู้หรือ”

“พี่สอง ฝ่าบาทยังไงก็คือฝ่าบาท แต่กระไรเขาก็เป็น พี่ชายของพวกเรา พี่สองยังจำได้ไหม เมื่อครั้งยังเด็กที่ พวกเราไม่ล่าสัตว์ที่เขาครั้งแรกนั้น พลาดกลิ้งลงมาจาก เขา ซึ่งตอนนั้นก็เป็นฝ่าบาทที่อุ้มพวกเราเอาไว้ พวกเรา จึงมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้”

เมื่อกงชิงวี่พูดถึงเรื่องนี้ กงชิงหยินเลยเงียบไป อันหลิงหยุนกลับรู้สึกแปลกใจ ยังมีเรื่องแบบนี้อีก

ทั้งสองคนต่างพากันเงียบ และทั้งสามคนก็ยังคงรออยู่ วังเฉาเพิ่ง

เมื่อยังไม่มีคำบัญชาจากหวางฮวงไทเฮา ทั้งสามคนนั้น ก็ไม่กล้าที่จะกลับ พวกเขาจึงรออยู่ที่นั่นสามวันเต็ม ๆ ยืนอยู่อย่างนั้นทั้งสามวัน

ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความดีความชอบ แต่อันหลิงหยุน นั้นก็มีเลือดเนื้อ อยู่อย่างนั้นทั้งสามวันไม่ได้เสวยอันใดใบหน้าก็ดูตอบลง

กงชิงสีหน้าดูรีบร้อน จึงถามซ้ำ ๆ ว่าตอนไหนเสด็จแม่ จะออกมา ไห่กงกงเองก็ทำท่าทีเป็นเข้าไปถาม แต่ก็ไม่ ได้ถามแต่อย่างใด

อันหลิงหยุนคิดว่าตัวเองชีวิตช่างน่ารันทดเสียจริง จึง ได้แค่อดทนไว้แค่สามวันเอง

รอจนกระทั่งสามวันที่ฮ่องเต้ชิงหยู่มาเข้าเฝ้าหวางฮวง ไทเฮาเพื่อน้อมคารวะ สามพี่น้องอยู่ด้วยกันในตำหนัก ไห่ กงกงเลยเข้าไปรายงานต่อหวางฮวงไทเฮา เมื่ออันหลิง หยุนเห็นฝ่าบาทมาแล้ว จึงเข้าไปแสดงการน้อมคารวะ

ฮ่องเต้ชิงหยู่เห็นนางใส่ชุดขนหงส์ จึงไม่ได้ให้นางทำ ตามพิธีรีตองอันใดนัก

ดูคนทั้งสองฝ่าย ฮ่องเต้ชิงหยู่เองก็รู้สึกว่าปกติ

ก่อนที่หวางฮวงไทเฮาจะออกมา กงชิงหยินชิงเข้าไป ขอประทานอภัยโทษก่อน “ฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อม ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาทโปรดเห็นใจด้วย ไว้ชีวิต คนของจวนอ๋องตวนหลายร้อยชีวิตเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่มองที่อันหลิงหยุน อันหลิงหยุนเองก็รู้ว่าตัว เองไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ จึงพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันขอเข้าไปดู เสด็จแม่ข้างในก่อน

อันหลิงหยุนเข้าไปข้างใน ฮ่องเต้ชิงหยู่จึงพูดขึ้นว่า “เรื่องนี่เอาไว้แค่นี้พอ ข้าไม่อยากจะสาวความยืดแล้ว แต่เรื่องของทั้งสองตำหนักนั้น ข้าเองก็ไม่สบายใจ

พระชายาตวนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เกรงว่าหากเป็น เรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วไม่ยอมเปลี่ยน ตำแหน่งชายาอ๋องต วนนี้ก็คงจะไม่เหมาะสมกับนาง”

“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท…… จากนั้นกงชิงหยินก็ คุกเข่าลง แต่ฮ่องเต้ชิงหยู่ก็ประคองให้ลุกขึ้น

“ที่นี่ไม่มีคนนอก มีแค่พวกเราสามคนพี่น้อง หลังจากนี้ ประเทศต้าเหลียงคงต้องพึ่งพวกเจ้า ส่วนข้าเองนั้นก็แก่ แล้ว

ส่วนเรื่องชายาของพวกเจ้า ข้าก็พอได้ยินมาอยู่บ้าง ประชาชนก็คงมีปัญหาอย่างนี้เหมือนกัน พวกเราก็ไม่ต่าง กัน

แต่ เรื่องอย่างนี้ ข้าก็ตกใจอยู่พอสมควร

เรื่องอย่างนี้ แค่พระชายาตวนคนเดียวยังทำได้ขนาด นี้ แสดงว่าอำนาจของคนในจวนนางย่อมไม่ธรรมดา และ ข้าเองก็หวังว่าอ๋องตวนและพระชายาตวนนั้นจะมีความ ซื่อสัตย์ต่อกัน

แต่ครั้งนี้ ข้าเห็นแก่อ๋องตวน จะไม่พูดถึงมันแล้ว หากมี ครั้งหน้า ข้าจะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่”

“กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ไว้ชีวิต” กงชิงหยินยัง คงอยากที่จะคุกเข่าลง ฮ่องเต้ชิงหยู่หันกลับไป แล้วบอก ให้เขานั้นลุกขึ้น
อันหลิงหยุนหลบอยู่ด้านหลัง และรู้สึกแปลกใจเป็น อย่างมาก ดูอยู่สักครู่หนึ่งจึงเดินจากไป

พอหวางฮวงไทเฮาออกมา อันหลิงหยุนก็เดินตามออก มาด้วย

เมื่อหวางฮวงไทเฮานั่งลงก็ถามถึงเรื่องราวของทั้งสอง ตำหนัก มองยังกงชิงหยินแล้วถามขึ้นว่า “เจ้ากับพระ ชายารองมีความสัมพันธ์กันกระไรบ้าง”

“ทูลเสด็จแม่ พระชายารองนั้นยังมีนิสัยที่เป็นเด็ก จึง ทำให้กระหม่อมเองก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่ และวันก่อนยังเห็น นางกำลังแข่งจิ้งหรีดอยู่เลย”เมื่อคิดถึงหยุนโล่ชวน กงชิง หยินเองก็รู้สึกขำ

แล้วหวางฮวงไทเฮาเลยพูดกับเขาว่า “อันกั๋วกงเขา ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ลูกสาวบ้านเขาแต่ละคนก็ไม่ใช่ ธรรมดา เมื่อก่อนข้าเองก็ได้สัมผัสกับตัวเองมาแล้ว แต่ คนในจวนอันกั๋วกงนั้น ต่างก็เป็นคนที่จงรักภักดีและมี ความกล้าหาญเป็นอย่างมาก เจ้าได้ลูกสาวจวนเขามา เป็นชายารอง เจ้าควรจะภูมิใจสิถึงจะถูก ”

กงชิงวี่อยู่ดี ๆ ก็หัวเราะเยาะออกมา อันหลังหยุนเงย หน้ามอง เจ้าหม

นี่มันเวลาไหน ยังจะหัวเราะออกมาได้อีก

แต่ใบหน้าอันสวยงาม ของกงชิงวี่นั้น กลั้นไว้แล้ว จากนั้นทุกคนจึงมองไปยังกงชิงวี่ คนแรกที่ไม่พอใจคือหวางฮวงไทเฮา

สายตาที่ดุดันจ้องยังกงชิงวี่ แถมมีอารมณ์โกรธด้วย “เจ้าเป็นถึงผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ เจ้าไม่อายคน อื่นเขาหรือ”

“กระหม่อมคิดเรื่องหนึ่งได้ จึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้ค่ะ ย่ะค่ะ เสด็จอย่าทรงกริ้วเลย” กงชิง พยายามที่จะไม่ หัวเราะ อันหลิงหยุนเองก็เริ่มจะไม่เข้าใจว่า ที่จริงแล้วเขา เป็นคนกระไร

คนอย่างเขาจะอดไม่ได้

หวางฮวงไทเฮารู้สึกโกรธมาก จึงจับหมอนพิงที่อยู่ข้าง โยนลงไปที่พื้น “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกโกรธมากจริง ๆ

กงชิง จับหมอนใบนั้นขึ้นมากอดไว้ แล้วก้มหน้าลงไม่ พูดแต่อย่างใด

จากนั้นฮ่องเต้ชิงหยู่เลยพูดขึ้น “ข้าเองก็ได้ยินมาว่า ลูกสาวจวนอันกั๋วกงแต่ละคนต่างโหด ๆ ทั้งนั้น น้อยนัก นะที่จะได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้ แต่แค่บอกไม่ฟังเท่านั้น เอง เหล่าบรรดาขุนนางทั้งหลายเองก็ไม่อยากที่จะเข้า มายุ่งด้วย และคนที่จะไปสู่ขอพวกนางนั้น แทบจะไม่มี สงสัยที่อ๋องเสียนหัวเราะก็น่าจะเป็นเรื่องนี้”

หวางฮวงไทเฮาเองก็เห็นแก่หน้าของฮ่องเต้ชิงหยู่ แล้ว จึงถามความจริงว่าคืออันใด และก็รู้สึกเห็นใจกงชิงหยิน อีกด้วย
“อ่องตวน พระชายารองของเจ้าอยากที่จะเชื่อฟังเจ้า หรือ แล้วทําไมเจ้าไม่รีบปฏิเสธตั้งแต่แรก เป็นอย่างนี้ ถ้า เจ้าสู้นางไม่ได้ อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่องวุ่นวายกันใหญ่”

อันหลิงหยุนมีสีหน้าที่ดูตกใจ พูดอย่างนี้ได้ด้วยหรือ

หรือว่าเป็นฮวงไทเฮา

กงชิงหยินเองก็รู้สึกไม่ดีนัก “หากกระหม่อมสู้นางไม่ได้ ก็จะขยันฝึกซ้อมให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่ามันต้องมีสักวัน แหละที่จะชนะนาง แต่เรื่องที่กระหม่อมเป็นห่วงนั้นก็คือ พระชายารองมีนิสัยที่แปลกประหลาด คงยากที่จะอบรม สั่งสอน”

“งั้นแสดงว่าเจ้านั้นแพ้แล้ว เจ้าดูอ๋องเสียนเป็นตัวอย่าง สิ เขานั้นมีแผนลึกเป็นชั้น ๆ ” จากนั้นหวางฮวงไทเฮาก็ ชำเลืองมองยังกงชิงวี่ กงชิงวี่ก็เลยยิ้มออกมา

อันหลิงหยุนดูไม่ค่อยพอใจเท่าไร เพราะคำที่พูดนั้น ฟัง ดูเหมือนกับนางไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร

เมื่อหวางฮวงไทเฮาพูดอยู่พักหนึ่ง ก็ได้คิดหาวิธีและ จัดแจงให้ดำเนินการ

“เรื่องนี้กระไรก็ต้องสืบ อ๋องเสียนเจ้าลองไปสืบมาอีก ส่วนเรื่องของทั้งสองตำหนักนั้นให้หลิงหยุนเป็นคนไป ดูแล ส่วนฝ่าบาทนั้นมีราชกิจมากมายที่ต้องจัดการ ก็ ถนอมสุขภาพตัวเองด้วย ทุกวันนี้ทั้งสองตำหนักต่างเป็น แบบนี้ ข้าจะหานางกำนัลให้กับฝ่าบาทเพิ่มมาใหม่ หวังว่า ฝ่าบาทคงจะชอบ
อ๋องตวน เจ้ากลับไปแล้วก็อบรมสั่งสอนพระชายารอง ของเจ้าให้ดี”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อรับพระบัญชาเสร็จ อันหลิงหยุนเองก็ได้ตามออกมา ด้วย เมื่อออกจากวังเฉาเพิ่งแล้ว อันหลิงหยุนก็โดนกงชิงวี่ พาไปสืบคดีต่อ

สำหรับสองตำหนักนั้น ในทุก ๆ วันอันหลิงหยุนก็จะไป

ดูแลเอง

จุนฉูฉูคุกเข่าอยู่หน้าพระตำหนักศาลบรรพชนอย่างนั้น สามวันก็เป็นลมลงในที่สุด เพราะต้องโดนทั้งลม และตาก แดด บวกกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ จึง ทำให้ร่างกายของนางนั้นรับไม่ได้ สุดท้ายจุนฉูฉูจึงโดน ส่งตัวออกไปยังนอกวังด้วยสภาพที่อิฐโรยเป็นอย่างมาก

นอกวังมีรถม้าอยู่หนึ่งคัน จุนฉูฉูถูกส่งขึ้นรถไป จากนั้น รถม้าก็มุ่งตรงไปยังจวนราชครู

เมื่อถึงจวนราชครูจุนฉูฉูก็ถูกนำตัวเข้าไปที่ห้องพระยัง ด้านหลังของจวน

เมื่อประตูปิดลง จุนฉูฉูค่อย ๆ ลุกขึ้น และพยายาม อดทนต่อความหิว ยืนหยัดให้อยู่ จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ

ในคืนวันนั้นราชครูจุนสั่งให้คนปล่อยจนฉูฉูออกมา แต่ จุนฉูฉูกลับนั่งคุกเข่าลงที่พื้นอย่างไม่ขยับ
ราชครูจุนมีสีหน้าดูเยือกเย็น ราวกับจะฆ่าคนได้

“เจ้ารู้สึกผิดแล้วหรือยัง”สายตาของราชครูจุนที่คม ราวกับคมดาบนั้นมองยังจุนฉูฉู จากนั้นน้ำตาของจุนฉูฉูก็ ไหลออกมา แล้วนางก็พยักหน้า

“ท่านปู่ไว้ชีวิตข้าด้วย

ราชครูจุนดูมีสีหน้าที่นิ่ง ๆ “หากเจ้ายังอยากจะมีชีวิต ก็ ไม่ควรที่จะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าอันใดอย่างนี้ ขนาด เลือดเนื้อของฝ่าบาทเจ้ายังกล้าที่จะทำร้าย เจ้าอยาก สิ้นพระชนม์หรือกระไร

จุนฉูฉูเงยหน้าขึ้น ตาค้าง “ท่านปู่ ข้า..….…….

“และเซียวเซียวเองก็ไม่ได้นำเรื่องที่พวกเรานั้นเห็นไป บอกแก่ผู้ใด และเรื่องที่พวกเจ้าเห็นนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็ รู้กันหมด เจ้ารู้ไหมเพราะเหตุใด” ราชครูจุนถาม จุนฉูฉู ส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ