ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 317 พบหญิงชราโดยบังเอิญ



บทที่ 317 พบหญิงชราโดยบังเอิญ

“ก๋วจิ๋วใหญ่ หวางหวยเต๋อ เป็นคนแข็งกร้าว มีอารมณ์ ฉุนเฉียวโมโหง่าย แต่ทว่าเขาไม่เคยทําเรื่องเลวร้าย มี เพียงผู้ใต้บังคับบัญชาบางส่วน ที่อยู่ใต้อาณัติของเขา แอบนอกคอกไปช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอยู่ข้างนอก บ้างก็ใจกล้าเหิมเกริม กดขี่ข่มเหงประชาชาตาดำๆ”

อันหลิงหยุนนั่งลง มีคนนำซุปโสมขึ้นมา เพียงกลิ่นก็ หอมหวนจนรู้สึกได้ถึงความอร่อย

“อันหลิงหยุนยกน้ำซุปขึ้น ดื่มไปพลางถามไปพลางว่า “พ่อ หากเป็นดั่งที่ท่านพูด เช่นนั้นกั๋วจิ๋วใหญ่ผู้นี้ แท้ที่จริง แล้วเป็นคนดีหรือไม่เจ้าคะ?”

“หยุนหยุน คนดีหรือคนชั่วนั้นไม่อาจใช้คำว่าดี ชั่ว มาแบ่งแยกได้ชัดเจน สำหรับเจ้าพ่อย่อมเป็นคนดี แต่ สำหรับทหารจากประเทศอื่นที่มารุกราน ละเมิดต่อประ เทศต้าเหลียงแล้วพ่อย่อมเป็นคนชั่วร้าย ในประเทศของ พวกเขาถึงกับมีคนพูดว่า พ่อเป็นจอมมารร้าย ไม่เพียง ปล้นสะดมชาวบ้าน แต่ยังฉุดคร่าหญิงสาวอีกด้วย

พ่อกลับมาคราวนี้ ยังได้ยินมาว่าบางคนพูดกันเป็นการ ส่วนตัว ว่าพ่อลักพาตัวองค์หญิงของพวกเขาไป จากนั้น จึงบังคับข่มเหงนาง สุดท้ายฆ่าคนทำลายศพ ดังนั้นชื่อ เสียงของพ่อในประเทศรอบข้างอาจกล่าวได้ว่า เหม็น ฉาวโฉ่นับหมื่นปี แต่อย่างที่เจ้าเห็น พ่ออยู่ที่นี่ก็ยังคงอยู่ดี มีสุข ไม่ใช่ว่ามีผู้คนมากมายบอกว่า พ่อเป็นขุนนางผู้ ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติหรอก หรือ ! ”
อันหลิงหยุนอดรู้สึกขบขันไม่ได้: “พ่อ หากพูดกันเช่น แล้ว ข้าสามารถพูดได้ไหมว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่ของข้า เป็นองค์หญิงของประเทศเพื่อนบ้าน และข้าเป็นพระธิดา ขององค์หญิง?”

” แม่ทัพอันเงียบงันไปชั่วขณะ “อย่าพูดจาเหลว ไหลหยุนหยุน แม่ของเจ้าเป็นพ่อเก็บมาได้ระหว่างทางที่ ทําสงครามอยู่ต่างหาก!”

“โอ๋?” อันหลิงหยุนเลิกคิ้วมองแม่ทัพอันด้วยความแปลก ใจ “พ่อ หากท่านพูดเช่นนี้ ไม่แน่ว่าแม่ก็อาจจะเป็นองค์ หญิงของประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ ถึงอย่างไรท่านก็เก็บมา ได้ระหว่างทาง พ่อจะรู้ได้อย่างไรว่าแม่ไม่ใช่องค์หญิงล่ะ เจ้าคะ?”

“ แม่ของเจ้าก็ไม่เคยพูดเสียหน่อย” แม่ทัพอันหน้าแดง ไปเรียบร้อยแล้ว

อันหลิงหยุนกลับแปลกใจไม่หาย ความลับแบบไหนกัน ที่แม่ทัพอันพ่อของนางแอบเก็บซ่อนเอาไว้

อันหลิงหยุนลุกขึ้นเอ่ยว่า “พ่อ ข้าอยากไปห้องซ้อมวร ยุทธ ท่านไปเป็นเพื่อนลูกเถอะเจ้าค่ะ”

“เจ้ากำลังท้องอยู่ จะไปห้องซ้อมทำไมอีก?” ปากต่อว่า ด้วยความไม่พอใจ แม่ทัพอันผู้รักบุตรสาวยิ่งชีพก็หยัด กายลุกขึ้นยืน เดินไปพลางพูดเตือนไปพลาง ให้อันหลิง หยุนต้องระมัดระวังให้มาก

“เมื่อพ่อและลูกสาวเข้าประตูไปแล้ว อันหลิงหยุนเดินไปสัมผัส กับบรรดาอาวุธเย็นเฉียบทั้งหลายในนั้น แม่ทัพ อันตื่นตระหนกตกใจหาใดเปรียบ, หยุนหมุน ในท้องเจ้า มีเด็กอยู่นะ ไม่ควรแตะต้องสิ่งของเหล่านี้”

อันหลิงหยุนเดินจากไปมองยังกระบี่เล่มนั้น นางหยิบ ออกมาคิดอยากจะลองดูสักหน่อย แม่ทัพอันรีบหยิบมัน ออกไปไว้อีกด้านหนึ่งทันที

อันหลิงหยุนรู้สึกใจคอห่อเหี่ยวเกินร้อย

เดิมทีนางยังคิดอยู่ว่า อยากจะฝึกกระบี่อู๋ซินให้ถึง ระดับสูงสุด แต่ตอนนี้เป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะฝึกอะไรได้ อีกเล่า?

หากร่างกายของนางได้รับการดูแลดีๆ ตอนที่ถึงเวลา คลอดลูก จะอย่างไรก็ยังพอจะช่วยให้คลอดได้ง่ายอยู่ บ้างสักหน่อย

เมื่อออกห่างมาจากกระบี่เล่มนั้น อันหลิงหยุนจึงนั่ง ลง แม่ทัพอันโยนกระบี่เข้าไปบนชั้นวาง กระบี่ตกลงบน ตำแหน่งเดิมอย่างแม่นยำตรงเป๊ะ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่ น้อย

อันหลิงหยุนเบิกตาโตจ้องมองจนตาค้าง “พ่อ ท่าน ร้ายกาจยิ่งนัก”

อันหลิงหยุนยกนิ้วโป้งให้แม่ทัพอันอย่างชื่นชม

แม่ทัพอันดีใจมาก เดินเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนอันหลิงหยุน
“หยุนหยุน ได้ยินลูกเขยพูดว่า ในท้องเจ้ามีเป็นครอก เลยเชียวหรือ?” สุดท้ายแม่ทัพอันก็ทนไม่ไหวแล้ว ถึง แม้ว่าผู้คนต่างพากันโจษจันถึงเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ ไม่เชื่ออยู่ดี คนคนหนึ่ง จะสามารถคลอดออกมาทีเดียว พร้อมกัน เป็นจำนวนมากถึงขนาดนั้นได้อย่างไร

แม้ว่าป่ายสู้สู้จะเป็นคนในตระกูลหมอเทพ แต่ก็ไม่ จำเป็นต้องเชื่อว่า ทั้งหมดนั่นจะเป็นความจริง

แต่เมื่อวานลูกเขยมาพูดอย่างนั้น เขาย่อมเชื่อเป็น

ธรรมดา

อันหลิงหยุนหันมองไป: “พ่อ ท่านอ๋องพูดอะไรไปบ้าง?”

“เขาบอกว่า หยุนหยุนคลอดครั้งเดียวมากขนาดนั้น น่ากลัวว่าร่างกายจะทนรับไม่ไหว ยังบอกอีกว่าหากเด็ก เป็นอะไรไป เขาจะต้องถูกความเศร้าเสียใจตามหลอก หลอนไปตลอดชีวิตเป็นแน่

บ่นพร่ำเพ้อทั้งยังดื่มจนเมามายไม่สมประดู่! ”

แม่ทัพอันพูดจบ ก็พลันไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก เขา ค่อยๆมองไปที่อันหลิงหยุนอย่างระมัดระวัง คล้ายกลัวว่า จะถูกรู้เข้าแล้ว

หลิงหยุนจงใจแสร้งทำเป็นจำไม่ได้ ถามแม่ทัพอันไปว่า: “พ่อ แล้วท่านไม่กังวลว่าข้าคลอดครั้งเดียวมากขนาดนั้น อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้หรือเจ้าคะ?”

“มีอะไรให้กังวลกันล่ะ หากว่าเกิดเรื่องขึ้นจริง จะคลอดคนเดียวก็เกิดเรื่องได้ หากไม่เป็นไร จะคลอดครั้งละเป็น โขยงก็ไม่เป็นไรอยู่ดี กังวลไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด กัน?”

“หยุนหยุน พ่อก็เคยเห็นผู้หญิงที่คลอดลูกสี่หรือห้าคน มาแล้ว พวกนางให้กำเนิดเด็กโขยงหนึ่ง ยังใช้ชีวิตอยู่ดี ไปจนเจ็ด แปดสิบก็ยังมีเลย” แม่ทัพอันดูภูมิอกภูมิใจมาก หากว่าคลอดออกมาครั้งเดียวเป็นโขยงจริง เช่นนั้นก็นับ ว่าเขาก็มีหน้ามีตามากโขแล้ว

ฝ่าบาทได้พบเขาแล้วจะไม่ตรัสอะไรดีๆเชียวหรือ?

อันหลิงหยุนพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าผู้ชายจะมอง ว่า เรื่องการคลอดลูกเป็นเรื่องที่ง่ายดายเสียเหลือเกิน เหมือนกับแม่หมูคลอดลูกหมูอย่างไรอย่างนั้น หาใช่เรื่อง ยากเย็นอะไรไม่

อันหลิงหยุนไม่มัวพูดจาไร้สาระ ถามแม่ทัพอันว่า: “พ่อ ตอนที่แม่คลอดข้าออกมา ท่านกังวลหรือไม่?”

แม่ทัพอันย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในปีนั้น ในใจยังมีความ หวาดกลัวหลงเหลืออยู่ คิ้วขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว: “แม่ของ เจ้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน”

แม่ทัพอันสีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาไม่อยากพูดสิ่ง ใดอีก จึงลุกขึ้นและเดินจากไป

อันหลิงหยุนอยู่ในห้องซ้อมคนเดียวก็ไร้ความหมาย จึง ออกจากห้องซ้อมกลับไปก่อน บางทีพ่อของนาง อาจ นึกถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรนึกถึงขึ้นมาก็เป็นได้ คิดไปถึงผู้หญิงประหลาดที่ทำให้เขาทำตามหัวใจตัวเองคนนั้น บางครั้ง อันหลิงหยุนก็รู้สึกจากใจจริงว่า แม่ทัพอันพ่อ

ของนางชีวิตไม่ได้ง่ายดายเลย

เพื่อปกป้องคน ๆ หนึ่งไปจนชั่วชีวิต พูดอย่างไร ก็

ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย

อันหลิงหยุนเดินผ่านร้านข้าว เห็นหญิงชราคนหนึ่ง กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ที่ประตู เดิมทีนางไม่คิดอยากเข้าไป ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้อื่น

ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว ความเป็นความตายของคน ก็ ล้วนเป็นสวรรค์ลิขิต คนบางคนเมื่อเกิดมาก็ถูกลิขิตให้ ต้องอดอยากยากจน ต่อให้ขยันขันแข็งทำงานหนักเพียง ใดก็ไร้ประโยชน์

แต่คนบางคน กลับรุ่งเรืองร่ำรวยตั้งแต่เกิด ช่างทำให้ ผู้คนอิจฉาแทบตายแล้ว!

แต่หญิงชราคนนั้น นั่งร้องไห้อยู่ที่ประตูหน้าร้านขาย ข้าว ด้วยท่าทางที่โศกเศร้าเสียใจอย่างมาก ไม่เพียง เท่านั้น นางยังปลดสายรัดผ้าเนื้อหยาบบนตัวลงมาด้วย เดินวนเวียนหน้าร้านข้าวอยู่สองรอบ คล้ายจะคิดอะไร ขึ้นมาได้ จึงเอาสายรัดนั้นผูกเข้าไปอีกครั้ง

อันหลิงหยุนรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปกติอยู่ตลอดเวลา จึงตามไปอย่างไม่มีเหตุผล

แต่จะว่าไม่มีเหตุผลก็ไม่เชิง นั่นเป็นเพราะความจิตใจดีใจอ่อนจนเหลวของนางมากกว่า

ทั้งที่รู้แก่ใจว่านางอาจต้องเจอกับดัก ก็ยังตามออกไป อย่างไม่คิดชีวิต

อันหลิงหยุนเดินจากถนนเส้นที่จะกลับจวนอ่องเสียน ตามไปยังสถานที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งในเมืองหลวง หากพูด ตามรูปแบบชีวิตในชาติก่อน อันหลิงหยุนรู้สึกว่าที่นี่ควร จะเป็นชานเมืองแล้ว

บ้านเรือนโดยรอบล้วนไม่ค่อยดีนัก ยังมีที่ดินนาไร่ แม้ว่าจะแร้นแค้นมาก แต่สถานที่แห่งนี้กลับสะอาด สะอ้านไม่น้อย

อันหลิงหยุนเห็นว่าหญิงชราคนนั้น เดินเข้าไปในเรือน อันผุพังแห่งหนึ่ง เรือนนั้นจวนเจียนจะหักพังทลายลงมา อยู่แล้ว

อันหลิงหยุนเดินไปถึงประตูเรือนมองเข้าไปข้างใน ภายในกับภายนอกเรือน ไม่มีความแตกต่างใดๆทั้งสิ้น ล้วนผุพังโกโรโกโสไม่ต่างกัน

หญิงชราหยุดร้องไห้แล้วในเวลานี้ อีกทั้งมีสภาพเป็น คนที่โศกเศร้าจนหัวใจตายด้าน

นางปลดสายรัดลงมาอีกครั้ง โยนขึ้นเสาคานด้านบน ดึงลงมาแล้วผูกเข้าด้วยกันจนแน่น จากนั้นจึงมัดเป็นปม ห่วงขึ้นห่วงหนึ่ง หญิงชราทอดถอนใจ นำคอตัวเองแขวน เข้าไปแล้วไถลยกเท้าทั้งคู่ขึ้นจากพื้น
ทันทีที่อันหลังหยุนเห็นว่าเรื่องชักจะไม่ดีแล้ว จึงก้าว เท้าเข้าไป เดินไปถึงเบื้องหน้าหญิงชรา กอดขาทั้งสอง ข้างของหญิงชราไว้ อุ้มตัวลงมาในที่สุด

“ ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า ข้าไม่อาจดูแลฮูหยินแก่ได้ ข้า

มันสมควรตาย!”

หญิงชราดิ้นรนและเริ่มร้องไห้ออกมา

อันหลิงหยุนกลัวว่านางจะถูกกระตุ้นจนเตลิดเกินไป จึงฝังเข็มให้หญิงชรานอนหลับไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

หญิงชราหลับตา อันหลิงหยุนสแกนร่างกายของหญิง ชรา พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นนางจึงมองเข้าไป ในห้อง เมื่อเข้าประตูไป อันหลิงหยุนก็เห็นบรรดาเครื่อง เรือนผุพังจำนวนหนึ่ง ในห้องมีเตียงอยู่หนึ่งหลัง บนเตียง มีคนคนหนึ่งนอนอยู่

ดูสภาพแล้ว เหมือนเป็นคนแก่ที่มีผมหงอกขาว อีกทั้ง ร่างกายของนางตอนนี้ ดูผอมราวกับท่อนฟืน ในเวลานี้ กำลังหายใจรวยรินเฮือกแล้วเฮือกเล่า แต่ดูสภาพเหมือน ว่าคนใกล้จะไม่ไหวเต็มทีแล้ว

บ้านหลังนี้แม้จะดูทรุดโทรม แต่กลับสะอาดสะอ้านมาก บวกกับตอนที่อากาศร้อน อันหลิงหยุน ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็น ใด ๆเลย ที่แท้ก็มีคนป่วยอยู่นี่เอง

หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง อันหลิงหยุนก็เดินเข้าไป เมื่อเดิน ไปถึงเบื้องหน้า หญิงชรายังมีสติรับรู้ ในขณะที่มองดูนาง นางก็นั่งลงไปแล้ว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ