ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 226 พลังแห่งเลือด



บทที่ 226 พลังแห่งเลือด

เมื่อมองผ่านแสงจันทร์ ใบหน้าของกง งวีไม่ได้ ดขาว มากมายนัก กลับกันยังมีสีแดงเรื่อปรากฏให้เห็น อาจ เป็นเพราะเดินเร็วเกินไปจึงเป็นเช่นนี้

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม อันหลิงหยุนก็ยังคงรู้สึกไม่ วางใจ อดไม่ได้ที่จะตรวจร่างกายของกงชิง

เมื่อเห็นเลือดบนร่างกายเขาหยดลงบนพื้น อันหลิงหยุ นฝืนสะกดกลั้นหัวใจที่สั่นเทาอย่างรุนแรงเอาไว้ เอ่ย ถามว่า “ท่านได้รับบาดเจ็บที่ไหนอย่างนั้นหรือเพคะ?”

กงชิงวี่ไม่เอ่ยคำ ใบหน้าของเขาดูเมินเฉยอย่างผิด ปกติ

“ตอบช้าหน่อยสิ?”

กงชิงวี่ยังคงไม่พูดจา อันหลิงหยุนรีบคุกเข่าลง เพื่อ ตรวจร่างของกงชิงวี่ทันที ตรวจสอบตั้งแต่เท้าทั้งสอง ข้างขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงด้านบน

เดิมทีสาวใช้และขันที ยังคงมีบางส่วนที่ยืนอยู่ แต่ใน เวลานี้ทุกคนล้วนคุกเข่าลงกับพื้นกันหมดแล้ว

กงชิงวี่ยังคงไม่พูดจา อันหลิงหยุนถามอีกว่า “ท่านไป คุมการประหารเท่านั้น เหตุใดจึงมีเลือดนองจนทั่วร่าง เช่นนี้?”

“เป็นความจริงที่ข้าไปควบคุมดูแลการประหาร แต่คนของอ่องบินสู้ไม่ยินยอม บุกเข้ามาปล้นชิงตัวนักโทษ ออกจากลานตัดสิน” กงชิง ครั้งนี้ยอมพูดแล้ว อันหลัง หยุนกลั้นไม่ไหว คิดอยากจะร้องไห้ขึ้นมา

เมื่อนึกถึงอ๋องตวนกับฮ่องเต้ชิงหยู่ สนทนาพาที เดิน หมากกันอยู่ในวัง ในขณะที่กงชิงวี่เป็นตายไม่อาจรู้ อยู่ข้างนอก หลิงหยุนก็ให้รู้สึกอึดอัดคับข้องใจเหลือ ประมาณ

“ เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่ให้ลูกน้องของท่านเข้าขัดขวาง เอาไว้บ้างเพคะ ท่านหาใช่คนไร้ปัญญาไม่

อันหลิงหยุนลุกขึ้นจากพื้น แตะๆลูบๆไปตามแขนของ กงชิงวี่ ยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา นางรู้สึกประหลาด ใจ: “ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บหรือ?”

กงชิงวี่เผยอยกมุมปากขึ้นสูง ดวงตาเปล่งประกายราว แสงจันทร์ส่องสว่าง ประดุจดั่งแสงนี้จะสามารถส่องสว่าง ให้กับโลกทั้งใบได้เลยทีเดียว

เมื่อเห็นเขายิ้มอย่างสดใสเจิดจ้าถึงเพียงนั้น อันหลิงหยุ นโกรธแทบตาย จึงยกมือขึ้นตีเขา และเพราะออกแรงตี จึงเกิดเสียงดังเอี๊ยะขึ้นมาเสียงหนึ่ง

กงชิงวี่ไม่ถือสาอันใด กอดอันหลิงหยุนไว้ในอ้อมแขน สลับให้ตนเองเป็นคนที่คุกเข่าลงกับพื้น

“พระชายาเสียนช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้าลงมือกับอ๋อง เสียนเสียด้วย
ข้างนอกมีข่าวลือว่า พระชายาเสียนเพื่อให้ได้แต่งเข้า จวนอ๋องเสียน ล้วนไม่เกรงกฏหมายไม่กลัวสวรรค์มา โดยตลอด

ดูไปแล้วเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง นี่แต่งงานก็แต่ง กันแล้ว ก็ยังไร้กฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้” อันหลิงหยุนโกรธอยู่ครู่หนึ่ง กงชิงวี่ปลอดภัยไร้เรื่อง

ราว นางจึงค่อยยิ้มออกมาได้

“เจ้าไม่โกรธแล้ว?” กงชิงวี่พูดข้างหูของนาง อันหลิง หยุนส่ายหน้า: “คราวหลังถ้าท่านยังทำแบบนี้อีก ข้าจะ กลับจวนแม่ทัพ”

“กลับไป, ข้าก็ตามไปด้วยก็ได้แล้ว ท่านพ่อตาชอบข้า มากเพียงนี้ ข้ายังต้องกลัวอีกหรือ?” กงชิงวี่ค้อมตัวลงอุ้ม อันหลิงหยุนขึ้น หันกายเดินออกไปนอกวัง

บรรดาผู้ที่อยู่บริเวณนั้นต่างคุกเข่ากันทั้งหมด

อันหลิงหยุนมองไปที่คนเหล่านั้น รู้สึกไม่เป็นตัวของตัว เองขึ้นมาบ้าง หรือว่านางจะไม่ระมัดระวังตัวเกินไปสัก หน่อยแล้ว

ทอดพระเนตรทั้งคู่ลับกายจากไป ฮ่องเต้ชิงหยู่ประทับ ยืนอยู่บนแท่นชมจันทร์ จมอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิดที่ลึก ซง

สวีกงกง ค่อยๆมองไปยังฮ่องเต้ชิงหยู่อย่างระมัดระวัง: “ฝ่าบาท อ๋องเสียนจะไปทั้งอย่างนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ! เจ้าว่าเขาเข้าวังมาเพื่อข้าหรือ กระไร?” ฮ่องเต้ชิงหยู่หันวรกายออกจากแท่นชมจันทร์ เสด็จลงขั้นบันไดทีละขั้น

สวีกงกงซูรีบตามเสด็จไป ทูลถามฮ่องเต้ชิงหยู่: “ฝ่า บาท พระองค์จะเสด็จไปทรงเยี่ยมเยือนฮองเฮาหรือไม่ พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่ไปแล้ว คืนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไปวังสวยหัวแล้วกัน”

สวีกงกงตกตะลึงไปชั่วขณะ คิดถึงว่าฮ่องเต้ชิงหยู่ ทรงประทับแรมยังวังสวยหัวเมื่อสองสามวันก่อนทั้งสอง

สวีกงกงรีบทูลว่า “ข้าน้อยจะรีบไปประกาศพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง ไปทั้งอย่างนี้เลยแล้วกัน” ฮ่องเต้ชิงหยู่มีพระ ประสงค์ต้องการหาคนคุยด้วยอย่างยิ่ง คนที่เป็นเช่นนาง

จุนเซียวเซียวรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ฮ่องเต้ตรัสไว้ว่าจะเสด็จ ก็ทรงเสด็จมาจริงๆ นางยังไม่ ได้เตรียมตัวใดๆเลยแม้แต่น้อย

“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”

จุนเซียวเซียวรีบร้อนคุกเข่าลง ฮ่องเต้ชิงหยู่ตรัสขึ้นว่า “เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ลุกขึ้นเถอะ”

จุนเซียวเซียวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวขอบพระทัย จึงลุกขึ้น
“ฝ่าบาททรงเสวยกระยาหารแล้วหรือไม่เพคะ” จุน

เซียวเชียวถาม

ฮ่องเต้ชิงหยู่ประหลาดพระทัย: ไม่ได้พบกันหลาย วัน เหตุใดเจ้าไม่ถามข้า ถึงเรื่องการจัดการเหตุวุ่นวาย ภายนอกวัง?”

จุนเซียวเซียวผงะไปชั่วขณะ ยกชายกระโปรงขึ้นก็ พร้อมคุกเข่าลง

ฮ่องเต้ชิงหยี่ทอดพระเนตรไปยังจุนเซียวเซียว เห็นเงา ของนางเล็กน้อย นางนั้นฉลาดหลักแหลมมากถึงเพียงนี้

เมื่อมองไปยังจุนเซียวเซียวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ฮ่องเต้ ซิงหยู่ตรัสถามว่า “ช่วงนี้ร่างกายของเจ้าไม่เป็นไรแล้ว หรือ”

“ทูลฝ่าบาท ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”

ครั้งก่อนที่ฮ่องเต้เสด็จมา จุนเซียวเซียว ปรนนิบัติขัด พระวรกายให้พระองค์ขณะสรงน้ำ ฮ่องเต้ชิงหยู่หาได้มี ความคิดอื่นใด ทว่าทั้งสองใกล้ชิดกันเพียงนั้น ย่อมยาก จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวเนื้อกันและกันได้

จุนเซียวเซียวคู่ควรจะบอกว่า ร่างกายนางยังไม่มั่นคง เข้าที่เท่าใดนัก ฮ่องเต่ชิงหยู่ก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใดอื่น

วันนี้ฮ่องเต้ชิงหยู่เสด็จมาโดยตรง นางจึงไม่กล้าที่จะ ทำอย่างขอไปทีได้
‘ข้ารู้สึกหิวนิดหน่อยแล้ว เจ้าลุกขึ้นเถอะ” จุนเขียวเขียว กล่าวขอบพระทัยจึงลุกขึ้น รีบร้อนสั่งให้คนไปเตรียม พระกระยาหารค่ำ ตามเสด็จฮ่องเต้เข้าประตูไป

ฮ่องเต้ชิงหยู่ตรัสถาม: “เชียวผืนกินแล้วหรือยัง?

“ กินมาบ้างแล้วเพคะ แต่ช่วงนี้หม่อมฉันมักจะรู้สึกหิว ตลอดเวลา บางครั้งกลางดึก หม่อมฉันก็ต้องตื่นขึ้นมากิน อันใดบ้างสักหน่อย ดังนั้นฝ่าบาทไม่เสด็จ หม่อมฉันก็ ต้องกินเพคะ”

“กินอันใดบ้างล่ะ?”

“ ช่วงนี้หม่อมฉันไม่กล้าเห็นอาหารที่มีเนื้อและของมัน

ของเลี่ยน กินเพียงอาหารรสจืดๆ ฝ่าบาท ทรงมี

ประสงค์จะเสวยอันใดไหมเพคะ?” “ตามใจเซียวผืนเถอะ ข้าไม่ได้อยากกินอันใดมากมาย

ข้าเหนื่อยนิดหน่อย อีกสักครู่ก็พักผ่อนเลยดีกว่า”

“เพคะ”

สวีกงกงยืนอยู่ที่ประตู รู้สึกจิตใจร้อนรุ่มกระสับ กระส่ายอยู่บ้าง

ฮองเฮายังไม่ออกมา ทว่าฝ่าบาทกลับเสด็จมาที่วังสวย หัวเสียแล้ว

หลังอาหารค่ำ จุนเซียวเซียวก็ไปจัดเตรียมที่นอน อาบน้ำก่อนเข้านอน
ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนเตียงรอสักพัก พลันนึกขึ้นได้ว่า ตนเอง ไม่ได้ชำระล้างร่างกายมาสองสามวันแล้ว จึงลุก ขึ้นเสด็จไปยังห้องอาบน้ำ เปิดม่านลูกปัดที่ประตูแล้วเดิน เข้าไป

จุนเซียวเซียวยังอาบน้ำไม่เสร็จ ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงลุก ขึ้นยืน นางหันกายไป ฮ่องเต้ชิงหยู่ชะงักค้างชั่วครู่ ทอด พระเนตรเห็นใบหน้าเสียขวัญของจุนเซียวเซียว

จุนเซียวเซียวก้มศีรษะลงทันที: “ฝ่าบาท หม่อมฉันยัง อาบน้ำไม่เสร็จเลยเพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่เสด็จเข้าไปประทับยืนตรงหน้าจุนเซียว เซียว เชยคางพลางมองไปยังใบหน้าของนาง พระหัตถ์ ลูบไล้ใบหน้าแผ่วเบา: “เจ้ากลัวข้าอย่างนั้นหรือ?”

จุนเซียวเซียวไร้คำพูด

ฮ่องเต้ชิงหยู่แย้มสรวล แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่นาง

ฮ่องเต้ชิงหยู่ปล่อยพระหัตถ์ลงพลางตรัสว่า: “ข้ายังไม่ ได้อาบน้ำ อาบด้วยกันเถอะ”

“เพคะ”

จุนเซียวเซียวออกมาจากน้ำทั้งร่างเปลือยเปล่า ปลด ฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้ชิงหยู่ ช่วยปรนนิบัติพระองค์เล็ก น้อย

สวีกงกงเหลือบมองจากด้านหลังอย่างระมัดระวัง รู้สึกจนใจทำอันใดไม่ถูก จําต้องถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ

มีคนจากตระกูลเงินเข้ามาในวัง แม่นมซีรีบร้อนไปที่ พระตำหนักศาลบรรพชน คุกเข่าลง: “ฮองเฮา เกิดเรื่อง แล้วเพคะ”

เสินหยุนชูกำลังสวดมนต์อยู่ เสียงเคาะปลาไม้จึงหยุด ลง ลูกประคำพลันร่วงหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น

“มีเรื่องอันใด?” เสินหยุนซูแตะลูกปัดที่พื้นแล้วเก็บขึ้น มา บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ไว้

“ฮูหยิงแก่จะไม่ไหวแล้วเพคะ”

เสินหยุนชูนั่งบนฟูกได้เพียงครู่ เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้า ซีดเซียว ร่างกายไหวสั่นโอนเอนไปมา เป็นลมล้มลง

วังสวยหัว

เมื่อสวีกงกงได้รับข่าวจึงรีบไปทูลรายงานต่อฮ่องเต้ชิง หยู่ทันที

“ฝ่าบาท”

สวีกงกงคุกเข่าลงกับพื้น

ฮ่องเต้ชิงหยู่เพิ่งเข้าสู่นิทราไปเพียงครู่เดียว สุรเสียง ตอบกลับจึงแฝงความเกียจคร้าน: “อืม”

สวีกงกงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นี่จนกี่เกิงเข้าไปแล้วยังพลิกกลับพัวพันกันไปมาจนถึงเวลานี้

หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นฝ่าบาทเป็นเช่นนี้มาก่อน เหตุใดช่วงนี้ พระพลานามัยจึงได้สมบูรณ์แข็งแรงถึง เพียงนี้ได้?

แท้ที่จริงแล้วฮ่องเต้ชิงหยู่ยังคงมีพละกำลัง แต่ พระองค์ไม่เคยคาดคิดว่า เลือดของอันหลิงหยุนเพียง ชามเดียว จะส่งผลให้พระองค์หนุ่มลงมาเป็นยี่สิบปีได้ เช่นนี้

“ฝ่าบาท เฉิงเสี้ยงฮูหยิงจวนจะไม่ไหวแล้ว”

ฉับพลันนั้นฮ่องเต้ชิงหยู่ลืมพระเนตรขึ้น จุนเซียวเซียวก็

รีบลุกขึ้น หยิบฉลองพระองค์ของฮ่องเต้ชิงหยู่ขึ้นมาสวม

ให้พระองค์ทันที นี่จึงทำให้ฮ่องเต้ชิงหยู่ยิ่งยกย่องชื่นชม จุนเซียวเซียว

เพิ่มขึ้นอีกส่วน

“หลังจากตื่นขึ้นฮ่องเต้ชิงหยู่สวมฉลองพระองค์เสร็จ จุนเซียวเซียวค้อมกายถวายบังคม: “หม่อมฉันส่งเสด็จฝ่า บาทเพคะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่เสด็จไปถึงประตู พลันทรงคิดบางสิ่งได้ หันพระวรกายกลับมา: “ดูแลร่างกายของเจ้าให้ดี หาก ขาดเหลือสิ่งใด ให้รายงานกรมวัง ไม่ชอบกินเนื้อไม่ชอบ อาหารมัน อาหารเลี่ยนก็ให้พวกเขาเตรียมอันใดที่รส อ่อนๆหน่อย”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

จุนเซียวเซียวค้อมกายลง ฮ่องเต้ชิงหยู่จึงหันพระ วรกายแล้วเสด็จออกไป


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ