ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 250 เรื่องแต่งงานมีพระชายารอง



บทที่ 250 เรื่องแต่งงานมีพระชายารอง

อันหลิงหยุนเดินทางไปวังฮั่วหยาง ในใจกำลังคิดอยู่ ถึง แม้จะเป็นเรื่องที่วางยาพิษก็ไม่ถึงกับทำให้ฮ่องเต้ชิงหยู่ ไม่สนใจฮองเฮา หรือเป็นเพราะนางเลยไม่สนใจฮองเฮา

เมื่อกลับจากวังฮั่วหยางแล้ว อันหลิงหยุนไปรอที่พระ ตำหนักจรุงจิต

ตอนที่รออยู่นั้นสวีกงกงเดินมาแจ้งนางว่า: “พระชายา เสียน เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”

สวีกงกงมาจากวิหารบรรทมรอง ก้มตัวพูดเบาๆกับนาง อันหลิงหยุนหันไปมองรอบๆ ไม่เห็นมีใครอยู่ อันหลิงหยุน จึงเดินตามสวีกงกงเพื่อไปวิหารบรรทมรอง

ระหว่างทางอันหลิงหยุนถามสวีกงกง: “กงกง ช่วงนี้ ฮ่องเต้ไม่ได้ไปเยี่ยมฮองเฮาเลยใช่หรือไม่? ”

“ไม่ได้ไปเลย อยู่ที่ตำหนักเซียวผินตลอด อีกทั้ง…สวี กงกงมองไปรอบๆ แน่ใจว่าไม่มีคนจึงพูดเสียงเบากับอัน หลิงหยุนว่า: “ฮ่องเต้ช่วงนี้ตอนเช้าตื่นสายมาก มีอยู่ครั้ง หนึ่งที่ต้องออกราชกิจ ท่านยังไม่อยากไปเลย”

จริงหรือ? “อันหลิงหยุนไม่เชื่อว่าเรื่องนี้กงชิงวี่ไม่รู้ เรื่อง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง

หรือจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริง เรื่องวังหลังของบ้านอื่น เขาไม่ควรไปยุ่ง
แต่วันนี้เรื่องที่อ๋องแปดก่อขึ้นมายังแก้ไขไม่จบ ฮ่องเต้ ชิงหยู่ก็เริ่มล่ะเลยเรื่องราชกิจแล้ว หรือว่าเรื่องนี้ไม่มี ความเกี่ยวข้องกับเซียวผน

ตระกูลจุนไม่มีคำพูดใดๆ ?

เมื่อมาถึงวิหารบรรทมรอง สวีกงกงปิดประตูแล้วออกไป

อันหลิงหยุนเข้าไปข้างในเห็นฮ่องเต้ชิงหยู่ยืนรออยู่แล้ว เดินเข้าไปแล้วคุกเข่าเข้าเฝ้า

“หม่อมฉันคํานับฝ่าบาท”

อันหลิงหยุนสังเกตว่า นางเริ่มเคยชินกับการคุกเข่าแล้ว

ถึงแม้นางจะไม่เต็มใจนัก

“ลุกขึ้นเถอะ”ฮ่องเต้ชิงหยู่เดินลงมาจากข้างบน ส่วนอัน

หลิงหยุนลุกขึ้นยืน

ฮ่องเต้ชิงหยู่ยื่นมือไปให้อันหลิงหยุน: “ลองดูสิ ช่วงนี้ ข้าอยู่แต่ตำหนักของเซียวผิงตลอด”

อันหลิงหยุนเข้าใจขึ้นมาทันที ฮ่องเต้ชิงหยู่ใช้วิธีของ เขาเพื่อสืบหาเรื่องที่เขาถูกวางยาพิษ โดยใช้เรื่องของ นางเป็นต้นเหตุ

อันหลิงหยุนเปิดทำการสแกน จากนั้นปล่อยมือของ ฮ่องเต้ชิงหยู่ออก : “ไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าเก่า”

ฮ่องเต้ชิงหยู่ขบขันออกมา: “ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเป็นฮองเฮา? ”

อันหลิงหยุนไม่ได้ตอบ เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ถ้า เป็นฮองเฮาจริง มันก็โจ่งแจ้งเกินไป น่าจะเป็นการใส่ร้าย ป้ายสีเสียมากกว่า

ฮ่องเต้ชิงหยู่เห็นอันหลิงหยุนไม่พูดอะไร เขาก็ไม่พูด อะไรเช่นกัน

ท้ายสุดแล้วอันหลิงหยุนก็อดไม่ไหว: “หม่อมฉันคิดว่า ไม่ใช่ฮองเฮา

ฮ่องเต้ชิงหยู่ยิ้มออกมา: “แล้วเป็นใคร? ”

“หม่อมฉันสงสัยอยู่สองคน”อันหลิงหยุนพูดออกมาตาม ที่คิด เหนื่อยจนอยากเอาหัวไปชนให้ตาย

แม้ว่าชีวิตชาติที่แล้วของนางจะถูกทรมานอยู่ตลอด เวลา แต่บางครั้งบาดแผลที่แตกร้าวนางเหมือนจะเจ็บ ปวดจนไร้ความรู้สึก แต่นางไม่ได้รู้สึกว่านั้นคือการ ทรมาน

มาวันนี้ นางรู้สึกจริงๆว่า ความรู้สึกที่พัวพันไม่สิ้นสุด ถึง จะเป็นการทรมานที่สุด!

“เล่ามาให้ฟังดูหน่อยสิ”ฮ่องเต้ชิงหยู่เดินเข้าไปใกล้อัน หลิงหยุน เสื้อคลุมมังกรของเขาระยิบระยับ ส่องแสงจน ทำให้คนเกิดความกลัวได้

อันหลิงหยุนบังคับให้ตัวเองสงบนิ่ง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานบารมีของฮ่องแต้ชิงหยู่ที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิด ได้

อันหลิงหยุนได้แต่ก้มหน้าลงนับถืออยู่ในใจ สมกับที่เป็น ฮ่องเต้จริงๆ

ก็มีแต่ฮ่องเต้คนเดียวที่มีบารมีเช่นนี้ได้

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเคยสงสัยสวีกงกง เพราะเขาเป็น คนใกล้ชิดของฝ่าบาท เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของฝ่าบาท มีแต่เขาที่เป็นคนจัดการ ถ้าฝ่าบาทโดนวางยาพิษ เขา ต้องเป็นคนแรกที่โดนวางยา ระยะนี้ที่ฝ่าบาทนอนละเมอ หม่อมฉันถามสวีกงกง ตอนกลางคืนเวลาที่ฝ่าบาทนอน ละเมอเขาอยู่ที่ไหน สวีกงกงบอกเขาหลับสนิทมาก หม่อมฉันได้ดูอาการเขาแล้ว เขาโดนคนอื่นวางยาเหมือน กัน แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก หม่อมฉันเห็นเขากลัว จึง ให้เขาทำตามที่หม่อมฉันบอกสังเกตคนรอบข้าง แต่เขาก็ ตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย

แต่หม่อมฉันก็ยังมีความสงสัยอยู่ ถ้าเป็นสวีกงกง เรื่อง ก็จะไม่ยุ่งยากเท่าใดนัก สามารถแน่ใจได้ว่าคนที่คิดร้าย กับฝ่าบาทอยู่ในวัง เพราะว่าสวีกงกงโอกาสที่จะได้ติดต่อ กับคนนอกนั้นน้อยมาก แล้วคนที่จะบงการให้สวีกงกง วางยาพิษนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีหลักฐานอะไรกำอยู่ในมือ ก็ต้องเป็นผู้มีพระคุณของสวีกงกง ถึงจะสั่งการสวีกงกง ได้

ส่วนคนที่สองที่หม่อมฉันสงสัย ก็คือฝ่าบาทเอง

ถึงแม้ว่ามันเป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่ถ้าคิดจะวางก็วางไม่คิดจะวางก็ไม่วาง ก็มีแค่ฝ่าบาทแล้ว ไม่มีใครที่ไหน แล้วที่จะสะดวกไปกว่าฝ่าบาทแล้ว

ฮ่องเต้ชิงหยู่พยักหน้า: “ถูกต้อง ข้าเป็นผู้คนที่น่า สงสัยมากเช่นกัน”

อันหลิงหยุนเงยหน้ามองไปที่ฮ่องเต้ชิงหยู่ ฮ่องเต้ชิงห ยู่หันกลับเดินไปอีกฟากหนึ่ง เห็นเขาเอามือไว้ด้านหลัง อันหลิงหยุนรู้เลยว่า คนที่วางยาพิษไม่ใช่ฮ่องเต้ชิงหยู่ แน่นอน

อันหลิงหยุนคุกเข่าลง : “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว”

ฮ่องเต้ชิงหยู่หันกลับมา : “ไม่ต้องอะไรนิดอะไรหน่อย ก็คุกเข่าลง ข้ารู้ว่า ครั้งที่แล้วเรื่องของอ๋องเสียนหยุนหยุ นเจ้าโกรธมาก แต่ข้าเป็นจักรพรรดิของประเทศ ในบาง ครั้ง ก็ทำอะไม่ได้เหมือนกัน

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า นั่นเป็นสิ่งที่ข้าอยากให้เกิด ขึ้น”

อันหลิงหยุนลุกขึ้น: “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้โกรธ แค่ เสียใจ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่หันกลับมา หันหน้าไปเผชิญกับอันหลิงหยุ น: “หมายความว่ายังไง?

“หม่อมฉันไม่กล้าพูดว่าจงรักภักดียอมทำทุกอย่างเพื่อ ฝ่าบาท จงรักภักดีต่อไทเฮา แต่หม่อมฉันก็ทำทุกอย่าง สุดความสามารถเช่นกัน ฝ่าบาทไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับอ๋องเสียน แต่ฝ่าบาทปล่อยให้เขาต้องรับผิดชอบเอง ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

หม่อมฉันเข้าใจ ว่ามันเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททำอะไรไม่ได้ จริงๆ

แต่หม่อมฉันก็ไม่พอใจที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

เสียใจเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว

อ๋องเสียงเกิดเรื่องหม่อมฉันไม่ได้กลัว แต่หม่อมฉันคาด ไม่ถึงว่าหม่อมฉันหอบความหวังมากที่มาขอความช่วย เหลือจากฝ่าบาท รอไทเฮา แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครสนใจ เลย

ฮ่องเต้ชิงหยู่ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ ก้อนหินที่อยู่ในอก เหมือนถูกปลดปล่อยออกมาทันที

“ที่แท้คือเสียใจ แต่อ๋องเสียนก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ? ที่ สำคัญเจ้ารู้ได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่เป็นความจงใจของข้า

อันหลิงหยุนมองไปที่ฮ่องเต้ชิงหยู่ พวกเขาพูดอะไรก็ ถูกต้องทุกอย่าง ชอบพูดอะไรก็พูดเถอะ นางจะไม่มีวัน เชื่อใจพวกเขาอีกต่อไป

ฮ่องเต้ชิงหยู่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอันหลิงหยุน พูดขึ้น ว่า: “ถ้าพวกเขาจะใส่ร้ายป้ายสีฮองเฮา เป็นเพราะอะไร หรือ? ”

อันหลิงหยุนส่ายหัว : “หม่อมฉันไม่ใช่จูเกอข่งหมิง ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก”

“เจ้านิ่ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องจริงจังขึ้นมา เจ้าพูดแค่คหรือ งเดียวไม่พูดให้จบ ข้าอยากให้เจ้าเวลาที่อยู่กับข้านั้นเปิด เผยจริงใจ ไม่ใช่ปกปิดปิดบังไว้

อ๋องเสียนดื่มน้ำเสร็จกำลังหลับอยู่ที่พระตำหนักจรุงจิต ข้าอยากเล่นหมากรุก เจ้าเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

ฮ่องเต้ชิงหยู่หันกลับแล้วเดินไปอีกฟากหนึ่ง อันหลิงหยุ นไม่พอใจนัก มันหมายความว่ายังไง วางยาหรือ?

ไม่อยากเดินไป แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน

อันหลิงหยุนโอ้เอ้สักครู่จึงเดินไปเล่นหมากรุกกับฮ่องเต้ ชิงหยู่ อันหลิงหยุนพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาท หม่อมฉันเล่นไม่ เก่งนัก”

“ข้าได้ยินมาว่าอ๋องเสียนก็ยังไม่ใช่คู่แข่งของเจ้า เลย? “ฮ่องเต้ชิงหยู่มองไปดูอันหลิงหยุนที่ยังไม่ยอมนั่ง ลง อันหลิงหยุนเศร้าโศกเล็กน้อย แล้วนั่งลงมา

“ฝ่าบาทรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนของพวกเราได้ อย่างไร ท่านยังมีเรื่องที่ไม่รู้อยู่อีกหรือไม่? “อันหลิงหยุ นรู้สึกเหมือนมีคนสี่ห้าคนที่ถือดาบอยู่เพื่อจะลงมือปลิด ชีวิตนางยังไงยังนั้นเลย ถ้านางไม่ให้ความร่วมมือ หัวก็จะ หลุดออกจากบ่าลงไปบนพื้นให้คนเตะเล่นเหมือนลูกบอล

นางยังไม่สามารถรู้ได้ว่าจะตายอย่างไรเลย?
ฮ่องเต้ชิงหยู่หยิบหมากรุกขึ้นมาหนึ่งอันแล้ววางลง ไป: “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ออกไปนอกวัง แต่แผ่นดินนี้เป็น ของข้า ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

อันหลิงหยุนเข้าใจแล้ว พูดตามความจริงแล้วก็คือเขา ใหญ่ที่สุด ฉะนั้นเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอกก็อยู่ใน การควบคุมของเขาทั้งหมด

อันหลิงหยุนมองดูสักครู่ หยิบหมากรุกขึ้นมาแล้ววางลง ไป

ฮ่องเต้ชิงหยู่พูดขึ้นว่า: “อ๋องตวนพูดกับข้าว่า เจ้ากับ อ๋องเสียนก็แต่งงานมาได้สักพักแล้ว ถึงเวลาที่จะแต่งงาน มีพระชายารองเพิ่มได้แล้ว”

อันหลิงหยุนขบขันออกมา ฮ่องเต้ชิงหยู่เงยหน้าขึ้น คิ้ว ขวมดเข้าหากัน สายตาเคร่งขหรือม : “หัวเราะอะไร? ”

“อ๋องตวนกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ เรื่องของบ้าน หม่อมฉันทำไมเขาต้องมาเป็นห่วงอะไรด้วย? ฝ่าบาท วังหลังของอ๋องตวนไฟไหม้ยังดับไม่ได้เลย ยังต้องมา ขอร้องให้หม่อมฉันช่วย ฝ่าบาทเชื่อเขาหรือ?”

ฮ่องเต้ชิงหยู่มองไปที่อันหลิงหยุนด้วยสายตาขุ่นเคือง เล็กน้อย : “แต่เรื่องที่อ๋องเสียนจะแต่งงานมีพระชายา รองเพิ่มนั้นเป็นเรื่องที่ทั้งสองวังเห็นด้วย หรือว่าจะไม่ แต่ง? ”

“ท่านป้าบอก ข้าเพิ่งแต่งงานได้แค่ปีเดียว ยังไม่ต้อง กังวลเรื่องลูก ต้องปลูกฝังความรักกันก่อน ถ้าแต่งงานมีพระชายารองเพิ่มเร็วขนาดนี้ ก็เป็นการสร้างปัญหาให้ข้า ถ้าสร้างปัญหาก็จะไม่ดีต่อข้า ถ้าข้าไม่ดีอ๋องเสียนก็จะ ไม่ดีตามไปด้วย ถ้าอ๋องเสียนไม่ดีเรื่องที่พวกเราจะมีลูกก็ ต้องล่าช้าไปอีก ”

“เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ? “ฮ่องเต้ชิงหยี่สีหน้าเย็นชาลง ส่วนอันหลิงหยุนก็ไม่พูดอะไรต่ออีก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ