บทที่ 418 พ่อลูกอยากพบหน้า
หยุนโล่ชวนหลับไปได้ครู่หนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนพวก นั้นจากไปแล้ว นางตามไปดูก็มักจะรู้สึกว่ารู้จักหัวหน้า กองทหารม้าผู้นั้น หากนางก็มองไม่เห็นหน้าเขา จึงบอก อะไรได้ไม่มากนัก
อันหลิงหยุนมาถึงนอกกำแพงชายแดนตามกำหนดการ ทว่ายังไม่ทันเข้าเมืองก็ได้ยินว่าทั้งสองประเทศสู้รบกัน อย่างดุเดือด อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เกิดไฟไหม้ค่ายทหาร เสบียงถูกเผาจนสิ้น แม่ทัพจุนก็เจ็บหนักจนตอนนี้ยังไม่ หาย บัดนี้เหล่าทหารเสียขวัญกำลังใจยิ่ง ชาวบ้านใน เมืองก็ต่างพากันตื่นตระหนกตกใจกันไปทั่ว กลัวเมืองจะ ถูกตีแตกและประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่วหัวระแหง
อันหลิงหยุนหาโรงเตี๊ยมพักหลังหนึ่ง ตกดึกเจ้ากาดำ กับเจ้าจิ้งจอกหางสั้นนั้นก็เข้าไปสืบข่าวสงครามในค่าย ทหาร อันหลิงหยุนกับคนอื่นๆ จึงได้รอฟังข่าวจากพวก เขาอยู่ในโรงเตี๊ยม ทว่ารอจนถึงเช้าพวกเขาก็ยังไม่กลับ มา
อันหลิงหยุนคอยจนร้อนรนอยู่ไม่สุข
นางจึงออกจากโรงเตี๊ยมมาตั้งแต่เช้า มองขึ้นไปบน ป้อมปราการบนกำแพงเมือง พลันให้รู้สึกว่ามันอยู่ใกล้แค่ เอื้อม แต่กลับห่างไกลยิ่งนัก
“เจ้าอย่าเป็นห่วงมากเกินไปเลย คืนนี้ข้าจะเข้าไปดูเอง” หยุนโล่ชวนคิดจะเข้าไปดูด้วยตัวเอง
อันหลิงหยุนเอ่ย “ข้าก็มักจะรู้สึกว่าท่านพ่อข้าไม่เป็นไร หากก็ไม่รู้ทำไมข้ามักจะฝันเห็นท่านพ่อถูกคนตัดหัว เหลือแต่ร่างคาอยู่บนหลังม้า”
“เพราะเจ้าเป็นกังวลจนวุ่นวายใจ ทั้งยังคิดถึงแม่ทัพอัน ถึงได้เป็นเช่นนี้ ไว้พอเจ้าเจอแม่ทัพอันแล้วก็จะไม่เป็น เช่นนี้แล้ว
อันหลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ นางรอ อยู่ทั้งวันจนในที่สุดก็ถึงตอนเย็นเสียที
หยุนโล่ชวนสวมชุดสีดำพรางตัวทั้งร่าง นางพาคนไป ด้วยหลายคน ขณะที่อันหลิงหยุนก็ได้แต่มองออกมองไป นอกหน้าต่าง หวังเพียงว่าพวกเขาจะปลอดภัย
หยุนโล่ชวนปีนกำแพงเมืองเข้าไปในค่ายทหารอย่าง ว่องไว เมื่อหากระโจมแม่ทัพใหญ่จุนเจิ้นตงเจอก็เอาหู แนบแอบฟังถึงได้พบว่ามีคนอยู่ด้านใน ไฟก็ยังสว่างอยู่ หากก็ไม่ได้ยินใครพูดอะไรกัน
นางรออยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นทหารลาดตระเวนสองคนเดิน ผ่านไป จึงบุกเข้าไปในกระโจม ทว่าทันทีที่นางเข้าไปไฟ ก็พลันดับลง หยุนโล่ชวนรู้ได้ในทันทีว่าตนถูกวางกับดัก เข้าแล้ว จึงหันหลังเตรียมจะจากไป แต่หน้ากระโจมกลับ มีรั้วตาข่ายเหล็กขวางเอาไว้ จึงได้แต่พอยหลังพลางคว้า กระบี่จากด้านหลังออกมา
จู่ๆ ไฟก็พลันสว่างวาบขึ้น คนผู้หนึ่งสวมเสื้อเกราะเดิน เข้ามาในกระโจม เมื่อเห็นคนผู้นั้นชัดๆ หยุนโล่ชวนก็ถึง กับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เสินหยุนเจ๋”
เสินหยุนเจ๋เองก็ตะลึงพรืดไปเช่นกัน ก่อนจะโบกมือไล่ คนอื่นๆ ออกไป “ออกไปก่อน”
รอจนคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เสินหยุนเจ๋จึงรีบกำมือ ประสานทําความเคารพทันที “กระหม่อมคารวะพระชา อ๋องตวน”
หยุนโล่ชวนได้แต่ทำหน้าสับสนงุนงง เมื่อครั้งเข้าวัง ด้วยกันนั้นเขาเอาเปรียบนางนัก นางยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งโมโห ทว่ายามนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาทะเลาะเบาะแว้งกับเขา
“แม่ทัพอันเล่า” หยุนโล่ชวนรีบเอ่ยถาม
เสินหยุนเจ๋หันไปเชิญหยุนโล่ชวนออกไปด้านนอก “เชิญพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพน้อยเงินไม่ต้องเกรงใจ ท่านเรียกข้าว่าแม่ทัพ น้อยก็พอ” หยุนโล่ชวนเคยติดตามหยุนกั๋วกงออกรบ แม้ ไม่ได้บุกเดี่ยวไปโจมตีขับไล่ข้าศึก หากก็เคยออกรบมา ก่อน นางเคยมีความชอบเมื่อครั้งอยู่แนวหน้า ฮ่องเต้ชิงห ยู่จึงได้แต่งตั้งนางเป็นแม่ทัพน้อยมาตั้งนานแล้ว
“เชิญแม่ทัพน้อยหยุนเถิด”
คนทั้งสองจึงไปหาแม่ทัพอันด้วยกัน แม่ทัพอันยามนี้ กำลังดูแผนที่จำลองที่ทำจากทรายอยู่ในกระโจม เตรียม การรบสำหรับอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หยุนโล่ชวนไปถึงก็รีบเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้า แม่ทัพอันทันที “หยุนโล่ชวนคารวะแม่ทัพอัน
แม่ทัพอันหันลงมามองที่พื้น เห็นหยุนโล่ชวนสวมชุดสี คําพรางตัวทั้งร่างก็รู้สึกแปลกใจนัก “เจ้ามาได้อย่างไร อ๋องตวนไม่ห้ามเจ้าหรือ
“ข้ามากับพี่หญิงพระชายาอ๋องเสียน” หยุนโล่ชวนหน้า แดง ขณะที่แม่ทัพอันนั้นได้ยินเข้าก็ตกใจจนตาแทบถลน ออกมาจากเบ้า
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
แม่ทัพอันใจเสียจะตายอยู่แล้ว
เสินหยุนเจ๋เองก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ พูด”
“ก็เจ้าไม่ได้ถาม” หยุนโล่ชวนไม่ได้รู้สึกว่านางทำอันใด
ผิด
แม่ทัพอันรีบเอ่ยถามขึ้น “หลิงหยุนเล่า อยู่กับลูกเขยคน ดีของข้ากระมัง”
“เปล่า พวกเราแอบออกมากันเอง ยามนี้พี่หญิงพระ ชายาอยู่ที่โรงเตี้ยม” หยุนโล่ชวนรีบเล่าเรื่องทุกอย่าง อย่างรวบรัดตัดความ
แม่ทัพอันเดือดจนหน้าเขียวคล้ำ “หยุนเจ๋ เจ้ารีบไปรับ หลิงหยุนกลับมา ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่หน้าประตูเมือง”
“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
เสินหยุนเจ๋พาคนตามหยุนโล่ชวนไปถึงที่โรงเตี๊ยมอย่าง รวดเร็ว ขณะเดียวกันนั้นเอง อันหลิงหยุนก็รออยู่ที่หน้า ประตู นางเพียงสงสัยว่าเหตุใดเจ้ากาดำกับเจ้าจิ้งจอก หางสั้นถึงได้ไม่ปรากฏตัวสักที หรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน แน่
ทันใดนั้นเอง ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมก็พลันมีความ เคลื่อนไหว อันหลิงหยุนจึงหยิบมีดขึ้นมา
หงเถากับลุ่ยหลิ่วรีบไปที่หน้าประตู ตอนนี้พวกนาง เองก็ฝึกฝนวิชาป้องกันตัวเล็กๆ น้อยๆ มาแล้ว มีความ เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ระแวดระวังขึ้นมา
มู่มิงยืนอยู่ข้างกายอันหลิงหยุน คอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
“ข้ากลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าเสียงที่หน้าประตูนั่นเป็นเสียงหยุนโล่ชวน อันหลิงหยุนก็รีบลุกลงมาจากเตียงไปดูที่หน้าประตูอย่าง ตื่นเต้นดีใจ
หยุนโล่ชวนพาเสินหยุนเจ๋เดินเข้าประตูมา ในขณะที่อัน หลิงหยุนนั้นเห็นเงินหยุนเจ๋เข้าก็ดีอกดีใจด้วยความคาด ไม่ถึง
เมื่อเห็นเงินหยุนเจ๋สวมชุดเกราะของกองหน้า อันหลิง หยุนจึงเปลี่ยนคำเรียกทันที “แม่ทัพน้อยเสิน
“เจ้ากับข้าไม่มีอันใดต้องเกรงอกเกรงใจกันเพียงนี้ หรอก เรียกข้าว่าหยุนเจ๋ก็พอ แม่ทัพอันไม่วางใจพวกเจ้าจึงให้ข้ามาพาพวกเจ้าไปที่ค่ายในคืนนี้เลย ส่วนตัวเขาจะ รออยู่ที่ป้อมบนประตูเมือง”
“ได้”
อันหลิงหยุนตามเงินหยุนเจ๋เข้าไปในค่ายทหารทันที เมื่อไปถึงป้อมบนประตูก็พบแม่ทัพอันกำลังรออยู่อย่าง ร้อนใจจริงๆ
ยามนี้แม่ทัพอันเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจราวมดที่ อยู่บนหม้อร้อนๆ
“ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นแม่ทัพอัน อันหลิงหยุนก็ร้องตะโกนเรียกออกไป คำหนึ่ง
แม่ทัพอันตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ออกมา เขารีบโผ เข้าไปหาอันหลิงหยุน ทว่าพอเห็นใบหน้าอ้วนกลมกับ ท้องใหญ่กลมๆ ของลูกสาวก็ปวดใจยิ่งนัก จึงได้ดุด่าออก มา “เจ้าคนสมควรตายนั่นอาศัยตอนที่พ่อไม่อยู่รังแกเจ้า ใช่หรือไม่ กลับไปเมื่อไหร่พ่อจะเลาะกระดูกมันทิ้งซะ”
“ท่านพ่อ ไม่เกี่ยวกับเขาหรอกเจ้าค่ะ เป็นข้าแอบหนี ออกมาเอง เป็นข้าที่กลับไปเมื่อไหร่ยังไม่รู้ว่าเขาจะเลาะ กระดูกข้าทิ้งหรือไม่ต่างหาก” อันหลิงหยุนเองก็ตื้นตันยิ่ง นัก จึงเอ่ยพลางกอดแม่ทัพอันไว้แน่น
“เขากล้าหรือ พ่ออยู่ทั้งคนเขาไม่มีทางกล้า” แม่ทัพอัน ตบหลังอันหลิงหยุน ขณะที่ตนก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
สองพ่อลูกเพียงทักทายกันไม่กี่ประโยคก็กลับมาที่ค่าย ทหาร อันหลิงหยุนถึงได้รู้ในตอนนั้นเองว่าทั้งค่ายได้ถูก ท่านพ่อนางยึดคุมไว้หมดแล้ว
เพราะจุนเจิ้นตงคิดจะลอบสังหารแม่ทัพอันจึงถูกมัดขัง ไว้ในค่าย คิดไม่ถึงว่าขณะที่เสินหยุนเจ๋กำลังรอศัตรูที่จุน เจิ้นตงส่งข่าวให้อยู่นั้นเอง จะไม่ได้เจอศัตรูแต่กลับเจอ หยุนโล่ชวนเข้าแทนเสียได้
อันหลิงหยุนได้ฟังแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านพบ หยุนจิ่นแล้วหรือยัง”
แม่ทัพอันไม่เข้าใจ “หยุนจิ่นก็มากับเจ้าด้วยหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นางล่วงหน้ามาก่อน ข้าได้ข่าวว่านางเจอ ท่านแล้ว นางน่าจะถึงตั้งนานแล้วถึงจะถูก”
“ข้าไม่รู้เรื่องนี้ นางมากันกี่คน” แม่ทัพอันได้ฟังก็รู้สึกว่า
ประหลาดยิ่งนัก
หากอันหลิงหยุนกลับรู้สึกแปลกยิ่งกว่า นางจึงลังเลอยู่ ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน เราพูดเรื่องอื่นกันก่อนเถิด”
“อ่อ” แม่ทัพอันเชื่อฟังบุตรสาว ยามที่อันหลิงหยุนยังไม่ มานั้นเขาเป็นคนเด็ดขาดยิ่ง หากพูดว่าหนึ่งไม่มีทางเป็น สอง ทว่าพออันหลิงหยุนมาที่นี่แล้วเขาก็ราวว่าเปลี่ยน ไปเป็นคนละคน ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนฟังคำบุตรสาว ต่อให้ บุตรสาวเขาเอ่ยเรื่องเล็กน้อยเพียงใด เขาก็ล้วนรับปาก ทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ จุนเจิ้นตงเป็นกบฏขายชาติจริงหรือเจ้าคะ อันหลิงหยุนยังแทบไม่อยากเชื่อ จุนเจิ้นตงฉลาดเฉลียว ถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงได้ทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้ เขา รักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนมาหลายปี เขาไม่รู้หรอกหรือ ว่าหากทำแบบนี้แล้วจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
แม้ว่าจุนซูซูจะตายอย่างอนาถไปแล้ว ทว่าเขาก็ยังมี จุนเซียวเซียวบุตรสาวอีกคน จุนเซียวเซียวเป็นถึงกุ้ยเฟย หากเขาคิดกบฏเช่นนี้แล้วจุนเซียวเซียวเล่าจะทำอย่างไร
“เรื่องนี้พูดยากนัก พ่อจับกบฏไม่ได้ ส่วนที่ว่าเขาขาย ชาติจริงหรือไม่ยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมอีก ทว่ามีอยู่ เรื่องหนึ่งที่พิกลนัก พ่อหาลูกชายเขาทั้งสามเขาไม่เจอ”
“ลูกชายสามคนงั้นหรือ”
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ