ยอดหมอยาของอ่องเสียน

บทที่ 287 หนึ่งครอกก็หนึ่งครอก ข้าเลี้ยงไหว



บทที่ 287 หนึ่งครอกก็หนึ่งครอก ข้าเลี้ยงไหว

อันหลิงหยุนเดินไปที่ประตูแล้วร้องเรียก คนของจวน อ๋องจวิ้นเสี้ยววิ่งออกมาดู สอบถามฐานะคนที่มาอย่าง ชัดเจน จากนั้นจึงหันหลังกลับไป ใช้เวลาไม่นานนักอ๋อง จวิ้นเสี้ยวก็เดินออกมา

เมื่อไม่นานมานี้ กงชิงวี่จับกุมคนไปสำเร็จโทษ บังเอิญ ว่าเขาไม่อยู่พอดี จึงสามารถหลบหนีจากหายนะไปได้ การที่คนคนนี้มาในวันนี้ เป็นธรรมดาที่เขาจะหวาดกลัว อย่างยิ่ง

จึงรีบออกมาจากจวนอ๋องจวิ้นเสี้ยว เพื่อพบกับคู่สามี ภรรยากงชิงวี่

” อ๋องเสียน พระชายาเสียน ให้เกียรติมาเยือนพี่ชาย คนนี้แล้ว” มารยาทการเข้าสังคมอย่างหนึ่งของอ๋องจวิ้น เสี้ยวคือ ความปลิ้นปล้อนรู้จักเอาตัวรอด ก่อนหน้านี้ อันหลิงหยุนเคยเห็นท่าทางที่เขาปฏิบัติต่อป้ายสู้สู้

มาก่อน พอถึงเวลานี้ เขาทำมาเป็นเอื้ออาทรเอาใจ ใส่เสียมากมายเป็นธรรมดาที่นางย่อมไม่เห็นเขาอยู่ใน สายตา

แต่ที่มาวันนี้ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ อันหลิงหยุนเองก็ ไม่ต้องการทำให้เสียเรื่อง นางจึงไม่ได้พูดอะไร

“พระชายาบังเอิญผ่านมาทางนี้ เล่าว่าเมื่อวานนางได้ มาส่งคนคนหนึ่งที่นี่ บอกว่าเป็นพระชายาในจวนของเจ้า ข้าจึงแวะมาเยี่ยมเยียน นางบอกด้วยว่าการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ผิดปกติข้าจึงตั้งใจมาถามโดยเฉพาะ ”

กงชิง กล่าวอย่างไม่เร่งไม่รีบ ฝ่ายอ๋องจวิ้นเสี้ยวตกใจ จนตะลึงค้าง: “หา?”

เมื่อคิดถึงนังหญิงแพศยาป่ายสู้สู้ขึ้นมา สีหน้าอ๋องจวิ้น เสี้ยวก็หนักอึ้งจมลงโดยพลัน ดูทีท่าเตรียมหาเรื่องสร้าง ปัญหาเต็มที่

“อย่าไปฟังนางพูดจาเหลวไหลไร้สาระ แต่ไหนแต่ไรมา ข้าไม่เคยเชื่อในบรรดาเล่ห์กลปาหี่ของนางสักครั้ง หลัง จากนี้ข้าจะอบรมสั่งสอนนางให้ดีเอง”

เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง อ๋องจวิ้นเสี้ยวรีบโยนบาปออก ไปอย่างไม่ไยดี โยนทิ้งชนิดทุ่มสุดตัว เทหมดหน้าตักอีก ด้วย

อันหลิงหยุนมีหรือจะปล่อยเขาไป: “ แต่เมื่อวาน ตอนที่ ข้าพาพระชายาเสี้ยวกลับมา เกิดรู้สึกปวดท้องรุนแรงยิ่ง นัก เป็นนางที่สอนวิธีการให้ข้า ช่วยให้ข้าดีขึ้นได้อย่าง มากทีเดียว วันนี้ข้าตั้งใจมาขอบคุณผู้มีพระคุณเจ้ายัง คิดจะสั่งสอนผู้มีพระคุณของข้าสักยก มันตรรกะความ คิดประเภทไหนกัน?”

ความไม่พอใจฉายชัด บนใบหน้าของอันหลิงหยุน อ๋องจ วิ้นเสี้ยวได้ยินก็เกิดเข้าใจผิดขึ้นมา นับว่านังหญิงแพศยา นั่นยังพอมีประโยชน์อยู่ยังสามารถตีสนิทพระชายาเสียน ให้มาเป็นพวกได้

“ข้านี้ช่างเลอะเลือนเสียจริง

เห็นข้าสภาพเช่นนี้ขอพระชายาเสียนอย่าได้โกรธเคือง มาเร็วเชิญทางนี้! ข้าจะรีบไปเรียกพระชายาออกมาโดยทันทีเลยตัวข้าเอง ก็เป็นห่วงนางอยู่ไม่น้อยเช่นกัน”

อ๋องจวิ้นเสี้ยวพูดพลางเชื้อเชิญคนเข้าไปข้างใน อัน หลิงหยุนมองออกได้ทันทีว่า คนอย่างเจ้าอ๋องจวิ้น เสี้ยวนี่เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกถนัดเรื่องปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ลอบแทงข้างหลังผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์

คนเถรตรงอย่างมู่มิง ต้องมองเห็นถึงอะไรบางอย่าง ตั้งแต่แรก นางถึงได้ไม่ยอมตกปากรับคำอ๋องจวิ้นเสี้ยว

คิ้วของกงชิงวี่ขมวดมุ่น: “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พระชายา จวิ้นเสี้ยวออกมาเถอะ พอดีข้าเองก็มีเรื่องจะขอคำชี้แนะ เช่นกัน”

“-ข้าจะรีบให้คนไปตามโดยทันที อ๋องเสียน พระชายา เสียน เชิญทางนี้”

อันหลิงหยุนเดินตามกงชิงวี่เข้าประตูไป จวนอ๋องจวิ้น เสี้ยวนับได้ว่า เป็นสถานที่หรูหราตระการตาแห่งหนึ่ง ทุก ที่ทั้งในลานบ้านและสวน ล้วนบ่งบอกถึงสถานะสูงศักดิ์ และทรงเกียรติภูมิของเจ้าบ้าน

เมื่อเข้าไปข้างใน อันหลิงหยุนเดินตามไปถึงโถงหน้า ก้าวเข้าประตูมีคนยกชาเข้ามารับรอง

เมื่อออกไปข้างนอก กงชิงวี่จะไม่ดื่มน้ำร่ำสุราใดๆทั้งสิ้น
ทั้งสองนั่งลง กงชิงวี่ยกถ้วยชาขึ้นเป่า ดูไปแล้วคล้ายว่า เขาดื่มลงไป แต่จริงๆแล้วเขาแค่จ้องมองดู จากนั้นจึงวาง ถ้วยลง

กลายเป็นว่าอ๋องจวิ้นเสี้ยว กลับเป็นฝ่ายพูดจาปราศรัย ทักทายเสียมากมาย

อันหลิงหยุนตั้งแต่ต้นจนจบ เอาแต่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง อย่างสงบนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่งป่ายสู้สู้ที่อยู่ในชุด กระโปรงสีเรียบๆลายดอกไม้นับร้อยดอก มาถึงยังห้อง โถงด้านหน้า เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นไร อันหลิงหยุนจึง ค่อยๆถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“คารวะอ๋องเสียน พระชายาเสียน” ป่ายสู้สู้ก้าวไปข้าง หน้า ค้อมกายคำนับ อันหลิงหยุนจึงเห็นว่าเท้าของนาง หายดีแล้ว

กงชิงวี่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เป็นอันหลิงหยุนที่กล่าว ขึ้นว่า: “ผู้มีพระคุณเกรงใจไปแล้ว เป็นข้าต่างหากที่ต้อง กล่าวขอบคุณ”

อันหลิงหยุนกล่าวเช่นนั้น ก็เพื่อให้สถานะของป่ายสู้ สู้ กลายเป็นผู้ที่ควรต้องขอบคุณเมื่ออยู่ต่อหน้าอ๋องจวิ้น เสี้ยว หลีกเลี่ยงไม่ให้นางถูกรังแก

ขณะที่พูด อันหลิงหยุนก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงหน้า ของป่ายสู้สู้ จับมือนางเดินไปอีกด้านหนึ่งแล้วนั่งลง ดู สมานฉันท์ เหมือนดั่งพี่สาวน้องสาวที่สนิทสนมกลม เกลียว
“เจ้าเป็นพระชายาจวิ้นเสี้ยวจริงๆ ข้ายังนึกว่าเจ้าโกหก ข้าเสียแล้ว”

อันหลิงหยุนจงใจพูดอย่างนั้นออกไป ป้ายสู้สู้กลับ หัวเราะชอบใจ: “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่โกหกใคร แต่เจ้า ชอบ ….

11

อันหลิงหยุนเป็นฝ่ายกระอักกระอ่วนขึ้นมาเสียเองแล้ว พูดจาทั้งทีไม่ต้องตรงไปตรงมาขนาดนี้ก็ได้มั้ย!?

อ๋องจวิ้นเสี้ยวรู้สึกไม่เป็นสุขขึ้นมาแล้ว นังตัวดีนี่พูด ด้วยความบริสุทธิ์ใจใช่ไหมนั่น!?

“ช่วงนี้พระชายาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง บางครั้งนาง มักจะพูดอะไรไม่ชัดเจน ตัวนางก็เหมือนจะไม่รู้ว่าตัวเอง พูดสิ่งใดออกไปบ้าง ขอพระชายาเสียนอย่าได้ตำหนิ นางก็พอแล้ว”

อ๋องจวิ้นเสี้ยวออกปากพูดเพื่อช่วยคลายบรรยากาศ แต่ป่ายสู้สู้นั้นไม่มีอะไรจะพูดอีก

อันหลิงหยุนจึงเอ่ยขึ้นว่า: อ๋องจวิ้นเสี้ยว ผู้หญิงเค้าจะ คุยกันท่านก็อย่าได้สอดปากไปหน่อยเลย!”

สำหรับอ๋องจวิ้นเสี้ยว อันหลิงหยุนมีเพียงความรู้สึกไม่ ชอบจากใจจริง เวลาพูดจา จึงติดจะโหดร้ายใจดำไปสัก หน่อย
เป็นธรรมดาที่อ๋องจวิ้นเสี้ยวย่อมต้องฟังออก แต่ใครใช้ ให้กงชิงวี่กับอันหลิงหยุนมีฐานะสูงส่งกันล่ะ เขาไม่ต่อ ปากใดๆ รอหลังจากนี้ค่อยกลับไปเล่นงานป่ายสู้สู้ก็ย่อม ได้ ปัญหานี้เกิดเพราะนางเป็นคนนำพามา ดังนั้นเขา ย่อมต้องเอาความโกรธนี้ไปลงกับนาง

กลายเป็นป่ายสู้สู้คิดว่านั่นไม่ถูกต้อง จึงได้ถามกลับว่า: “เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดอย่างนั้นหรือ?”

อันหลิงหยุนรู้สึกอึ้งอยู่หน่อยๆ ป่ายสู้สู้ก็เป็นเช่นนี้ นาง มักจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ได้รับ ความรักใคร่เอ็นดู

แต่การช่วยนางแค่พูดง่ายๆใครก็พูดได้ แต่การทำอาจ ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิด?

“ไม่เชิงว่าเป็นธุระอะไร อย่างแรกคือมาขอบคุณที่ช่วย ข้าไว้เมื่อวาน อย่างที่สองคือท่านอ๋องมีเรื่องอยากรบกวน ถาม เจ้ารู้เรื่องการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ของข้า ใช่หรือไม่”

อันหลิงหยุนจับจูงมือของป่ายสู้สู้ครู่หนึ่ง แท้ที่จริงป่า ยสู้สู้ก็รู้อยู่นานแล้วว่าคืออะไร แต่ถ้าพวกเขาสองสามี ภรรยาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนนางจะเป็นฝ่าย เอ่ยปากเอง นั่นก็ไม่เหมาะสม

หลังจากพูดเปิดประเด็นขึ้นมา ป่ายสู้สู้จึงเหลือบมองไป ยังกงชิงวี่ ที่กำลังจ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์

เมื่อถูกสายตาสี่ข้างจับจ้อง ป้ายสู้สู้กลับไม่ได้หลบซ่อนเขินอายเหมือนอย่างผู้หญิงทั่วไป เพียงพยักหน้า น้อยๆพลางเอ่ยขึ้นว่า: “ท่านอ๋องเสียน พระชายาเสียน ขอเชิญสองท่านไปหาที่เงียบสงบสักแห่ง คุยกันกับข้า หน่อย”

“ได้”

กงชิงวี่หยัดกายลุกขึ้น ปรายตามองไปยังอ๋องจวิ้น เสี้ยวเพียงครู่ จึงหันกายเดินออกไปข้างนอก

อันหลิงหยุนกับป้ายสู้สู้เพิ่งเดินตามกันออกไป อ๋องจ วิ้นเสี้ยวตัดสินใจจะตามไปด้วย แต่กลับถูกอันหลิงหยุน หยุดไว้

“อ๋องจวิ้นเสี้ยวไม่ต้องส่ง!”

หลังจากพูดจบ อันหลิงหยุนก็พาป่ายสู้สู้เดินจากไป

อ๋องจวิ้นเสี้ยวโกรธจัด จนแทบอยากจับป่ายสู้สู้มาฉีก เป็นชิ้นๆยืนอยู่ที่ประตูด้วยแววตาเหมือนจะปล่อยมืด คมกริบออกมาได้อยู่แล้ว

อันหลิงหยุนเดินออกประตูไปพร้อมป้ายสู้สู้ เมื่อถึง ด้านนอกจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ายิ่งทำให้เจ้าลำบากกว่าเดิม แล้ว”

ป้ายสู้สู้ส่ายหน้า: “เจ้าไม่มาเขาก็ใช่ว่าจะทำดีต่อข้าเสีย เมื่อไหร่ มันถึงขั้นที่ว่าเลวร้ายที่สุด ไม่มีอะไรจะเลวร้าย ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว”
กงชิงวี่ยืนอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่าอันหลิงหยุนพูดถูกอยู่ บ้าง ป่ายสู้สู้เป็นคนฉลาดมองคนได้ทะลุปรุโปร่งจริงๆ

อันหลิงหยุนกปล่อยมือป้ายสู้สู้ เอ่ยถามว่า “ข้ามีเรื่อง หนึ่งอยากขอคำชี้แนะจากเจ้าก่อน”

“เกี่ยวกับเด็กในครรภ์ของเจ้า”?

แค่เห็นพวกเขาสองคน ป้ายสู้สู้ก็พอจะเดาได้แล้ว ยิ่ง พวกเขาพูดถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ก็ ชัดเจนแล้วว่าพวกเขามาหานางเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องเด็ก ในท้อง

“ถูกต้อง” อันหลิงหยุนเหลือบมองกงชิงวี่ แม้ว่านางจะ รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อ แต่นางก็เชื่อในตัวป่ายสู้สู้

ป้ายสู้สู้ดึงมือของอันหลิงหยุนกลับขึ้นมาอีกครั้ง จาก

นั้นจึงตรวจสอบชีพจรให้ ผ่านไปไม่นานนางจึงปล่อยมือ

ของอันหลิงหยุน

“สามเดือนแล้ว?”

“ยิ้ม”

อันหลิงหยุนสามารถยืนยันได้ในเรื่องนี้ กลายเป็นกง ชิงวี่ที่เป็นฝ่ายวิตกกังวลขึ้นมา แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการ คลอดครั้งละเป็นครอก ช่างเป็นการพูดจาที่ไม่มีมูล ความจริงเอาเสียเลย แต่เนื่องจากเขาได้เห็นตัวตนนาง มากเข้า ทั้งยังสามารถพูดรายละเอียดเรื่องราวเหล่านั้น ออกมาได้อีก เขาจึงไม่กล้าไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว!
ป่ายสู้สู้มองไปที่ท้องของอันหลิงหยุน: “ข้าเองเคยตรวจ ผู้คนมาไม่น้อย แต่เจ้าเป็นคนแรกที่ในหนึ่งครรภ์กลับ มีได้มากมายเพียงนี้ อีกทั้งขนาดท้องของเจ้าก็ดูไม่ได้ ใหญ่โตอะไร ช่างเป็นสิ่งที่น่าแปลกเสียจริง

“แต่ว่าในครรภ์นี้ของเจ้ามีผู้หญิงอยู่หนึ่ง ส่วนที่เหลือ เป็นเด็กผู้ชาย ”

หัวใจของกงชิงวี่หน่วงหนักแทบจะหยุดนิ่ง: “มีกี่คน?” ป้ายสู้สู้มองซ้ำ “หนึ่งโต๊ะ แล้วยังเหลืออีกหนึ่ง”

“ห้าคน?”

อันหลิงหยุน โดนความรู้สึกตื่นตระหนกโจมตีเข้าใส่ อย่างหมดจดสมบูรณ์ อะไรจะมากมายขนาดนี้!?

ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องล้อกันเล่นใช่ไหมนี่!?

เมื่อวานยังคิดอยู่ว่ามากสุดก็คงแค่สี่คน ผลสุดท้ายคือ เหมือนโดนตบหน้าเข้าไปเต็มๆฉาด

สวรรค์โปรด! ให้ตายเถอะ!

กงชิงวี่ถึงกับเซ่อไปเลยเช่นกัน เขามองไปที่ท้องของ อันหลิงหยุน ท้องเดียวนี่น่ะหรือ? มีห้าคนเลย!?

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือไม่ ว่าตรวจดูได้ถูกต้อง?”

จนถึงตอนนี้ อันหลิงหยุนก็ยังรู้สึกไม่เชื่ออยู่หน่อยๆ
ป้ายสู้สู้กลับมีท่าทางเป็นธรรมชาติมาก สุดท้ายแล้ว มีกี่คน รอให้คลอดออกมาท่านก็รู้ชัดแล้ว เหตุใดต้อง กังวลอยากรู้ตอนนี้ให้จงได้ด้วย?”

* แต่ใครมันจะไปคลอดครั้งเดียวเป็นครอกได้กันเล่า!? อันหลิงหยุนถูกทำให้โกรธจนแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว มากขนาดนี้ไม่ตายไปก่อนเรอะ!?

กงชิงสีหน้าจริงจัง เดินไปยังข้างกายของอันหลังหยุ โอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด: “หนึ่งครอกก็หนึ่งครอก น เถอะ! ข้าเลี้ยงไหว! “


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ