บทที่80เอาอำนาจหน้าที่การรับผิดชอบ
กลับคืนมา
บทที่ 80 เอาอำนาจหน้าที่การรับผิดชอบกลับคืนมา
เธอจ้องมองใบหน้าของอันฉิงที่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าที่ ควรจนโมโหมาถึงนี่ได้ : “เธอใช้วิธีไหนกันถึงแย่งผู้นำทีม ของการเข้าแข่งขันของฉันไปได้?”
สีหน้าของดูงงงวย หรือว่าในการรับผิด ชอบในครั้งนั้นกลับมาอยู่ในแล้วหรอ? ขนาดตัวเองยัง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร?
เสิ่นอีเวยจ้องมองดวงอันตอบกลับอย่าง ใจเย็นตามปกติ : “ฉันไม่ได้ใช้วิธีการ แย่งวิธีการอะไรที่มันไม่ ทำให้ไปขึ้นจุดสูงสุดได้หรอก ฉันกลับรู้สึกว่าเธอเหมาะที่จะ ทำวิธีการเรื่องพรรณค์นี้มากกว่า ”
สวีอันฉิงหัวเราะเยาะกลับบ้าง : “เหอะ เซิ่งเจ๋อเฉิงนี่หูเบา จริงๆเลย ก็ไม่รู้ว่าเธอไปปรนนิบัติพัดวีในที่ลับยังไงจนเขา สบายอกสบายใจขึ้นมาเลยไม่สนใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจ ลงไปแล้ว เป็นไง ตอนนี้เธอสบายใจแล้วใช่ไหม?”
คำพูดสกปรกทุเรศของสวี่อันฉิง เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ชอบฟัง อยู่แล้ว ทว่าคิดถึงเรื่องที่เมื่อคืนที่ทั้งคู่ตัวติดกันยังกับแล้ว เธอเลยอยากให้เรื่องนี้มายั่วโมโหให้อันฉิงปะทุสักหน่อย
เสิ่นอีเวยคิดสรรหาคำพูดขึ้นมาอยู่ในใจและยิ้มอย่างอ่อน โยนออกมา : “เธอก็ไม่เลวจริงๆเลย เพิ่งเจ๋อเฉิงเขาชอบอยู่ภาย ใต้อำนาจส่วนตัวส่วนตัวของฉันจริงๆแหละ หัวหน้าสวีหากมี เรื่องไม่พอใจอะไรก็ไปหาเขาได้เลยนะจะใช้วิธีไหนเรียกเขา กลับมาก็ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา เอง”
ที่จริงแล้วเสิ่นอีเวยไม่ชอบในการเล่นสงครามประสาทกับ ผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์อย่างสวีอันฉิงเลยแถมยังพูดเรื่องส่อแนวสอง แง่สองง่ามนั่นอีกด้วย เธอคิดว่ามันน่าอับอาย ในใจรู้สึก เหมือนว่าตัวเองเป็นผู้หญิงชั่วร้าย
แต่ว่าหลังจากที่เธอพูดคำพวกนั้นออกไปเลยทำให้รู้ว่า “ผู้ หญิงชั่วร้าย”นั้นมันรู้สึกดีจริงๆ !
เสิ่นอีเวยกระดกคิ้วขึ้น : “ใช้ได้นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอ พัฒนาได้สูงขนาดนี้แล้ว ได้ งั้นเรามาดูกันว่าการแข่งขันการ ออกแบบนี้เนี่ยเธอจะใช้วิธีไหนพลิกเปลี่ยนมันขึ้นมาอีก เสิ่ นอีเวยรอดูต่อไปแล้วกัน”
เสิ่นอีเวยยิ้มนิดๆพลางผายมาขึ้นไปทางหน้าประตู : “ไป ดีๆนะไม่ไปส่ง”
หลังจากที่สวี่อันฉิงเดินออกไปแล้ว เสิ่นอีเวยคิดอย่าง ฟุ้งซ่าน เธอตัดสินใจจะถามไปถามเชิ่งเจ๋อเฉิงให้ชัดว่าการ แข่งขันการออกแบบชุดแต่งงานในครั้งนี้เนี่ยมันสำคัญกับตัวเธอมาก หลังจากครั้งนี้ผ่านไปแล้ว ไม่คาดหวังว่าจะมีความผิด พลาดอะไรเกิดขึ้นมาอีก หากถึงเวลานั้นความสามารถในการ ออกแบบของตัวเองปรากฏแก่สายตาทุกคนแล้ว เช่นนั้น สถานะของตัวเองคงยกระดับขึ้นมาถึงตอนนั้นการที่จะเอา บริษัทของแม่กลับคืนมานั้นคงช่วยได้มากทีเดียว
ใช่แล้ว บริษัทของแม่ เธอไม่เคยลืม
เพิ่งเจ๋อเฉิงมาถึงห้องทำงานของตัวเองแล้ว เสิ่นอีเวยเดิน เข้าไปนั่งตรงข้ามเขา : “เมื่อกี้นี้สวีอันฉิงมาหาฉันแล้วพูดว่าคุณ เอาอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการแข่งงขันนั้นกลับ คืนมาให้ฉันนี้เรื่องจริงใช่ไหม?”
ใจเธอเต้นแรงสิ่งเดียวที่กลัวคือการปฏิเสธของเพิ่งเจ๋อเฉิง
เขากำลังตรวจเอกสารอยู่ได้แต่พนักหน้าเท่านั้น
“งั้นคราวที่แล้วที่ไร้สาระนั่นก็เพราะว่าฉันทำให้คุณโมโห คุณเลยทำแบบนั้นหรอ?” เสิ่นอีเวยถามกลับ
เพิ่งจเอเฉิงพยักหน้าแล้วจ้องมองหล่อนเหมือนกำลังดูสัตว์ ประหลาด : “ไม่งั้นแล้วไงหล่ะ?”
เส้่นอีเวย : 2.40
ไม่นาน เสิ่นอีเวยก็โพล่งหลุดคำออกมา : “เซิ่งเจ๋อเฉิง คุณ
นี่มันเด็กจริงๆ”
ท่านประธานบริษัทที่ใหญ่โตโออ่ามีหรอที่คนอื่นมาว่าตัว เองเป็นเด็กอยู่ เขาโยนปากกาที่อยู่ในมือของเขาทิ้งแล้วถามกลับ : “เธอพูดอีกรอบสิ?”
เธอไม่ได้โง่ที่จะได้พูดแบบนั้นอีกรอบ
“แต่ว่าสงสารสวีอันฉิงนะ ถือว่าตัวเองได้รับมอบหมายรับ ผิดชอบด้านการแข่งขันแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า พอท่านประธานอารมณ์ดีขึ้นก็ยึดตำแหน่งคืนจากหล่อนเฉย เลย”
อาจเป็นเพราะวันนี้รับผู้ช่วยคนใหม่ที่เชื่อฟังหล่อน เรื่อง การแข่งขันก็แก้ไขปัญหาแล้ว อารมณ์เธอดีจริงๆ น้ำเสียงปรับ เป็นเสียงดีอกดีใจจนไม่รู้ตัว
เพิ่งเจ๋อเฉิงฟังเสียงออกว่าหล่อนดีใจมากจนยอมเงยหน้า ออกจากกองเอกสารขึ้นมา : “ดูเหมือนวันนี้เธอจะหยิ่งนะ”
เสิ่นอีเวยรีบโบกมือปฏิเสธทันที : “ไม่ ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้มี ความหมายแบบนั้น ฉันแค่อยากแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเรื่อง จริงหรือล้อเล่น จะได้จัดการเรื่องต่อไปได้ถูก”
“ใช่ ผู้นำทีมต่างๆ ในการแข่งขันของบริษัทในครั้งนี้คือ เธอหากมีอะไรผิดพลาด ถึงเวลานั้นฉันจะมาเอาเรื่องที่เธอเอง”
ถึงแม้น้ำเสียงเขาจะพูดไปแบบไม่เหมือนมีอะไร แต่เสี่ นอีเวยไม่ใช่คนที่ดูสถานการณ์ไม่ออก ตั้งแต่ทำงานมาหาก หล่อนพูดแบบไหนก็คือแบบนั้นไม่มีการปรับเปลี่ยนไปมาได้
“ฉันทราบ ครั้งนี้ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”
คิดถึงเรื่องฉินจื่อเฟิงขึ้นมาเสิ่นอีเวยเลยได้ถามเขา : “สาวน้อยผู้ช่วยคนนั้นของฉัน คุณเป็นคนสัมภาษณ์งานหรอ? ได้ยิน ว่าคุณพูดยกยอฉันต่อหน้าหล่อนด้วยหรอ?”
มือที่กำลังเปิดอ่านเอกสารชะงักลง สีหน้าดูเย็นชา : “วัย รุ่นสมัยนี้ชอบพูดออกจากปากตรงๆแล้วหรอ?”
เสิ่นอีเวยดูอาการที่ผิดปกติขอเขาออก หล่อนคิดว่าเขา คงจะอายไม่กล้าที่จะยอมรับต่อหน้าตัวเองแต่กลับมาคิดดูอีกที แล้วคนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงเนี่ยนะมีอะไรจะให้เขินอายใด้อีกหรอ?
“สาวน้อยดูมีชีวิตชีวาอยู่นะ สายตาของท่านประธานไม่ เลวเลย”
เพิ่งเจ๋อเฉิงเงยหัวขึ้นและมองอย่างพินิจพิจารณาและพูด กับเธอ : “อื้อ หลังจากวันนั้นที่เธอผ่านการสัมภาษณ์แล้ว ฉันว่า หล่อนยังมีเหตุผลอีกด้านหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญอยู่ นั่นก็คือฉัน รู้สึกว่าหล่อนมีหลายๆอย่างที่เหมือนกันกับเธอ”
ความอยากรู้อยากเห็นของเสิ่นอีเวยกระตุกขึ้นได้แต่ยิ้ม แล้วถามเขากลับ : “ตรงไหนหรอ?”
“คิดเล็กคิดน้อย”
เสินอีเวย : 0.00
“โอเค พอแล้ว จะพูดอีกยังไงฉันก็ขอบคุณที่คุณช่วยฉัน หาผู้ช่วยคนใหม่ที่ดีขนาดนี้มาให้ ฉันไปทำงานต่อก่อน”
ช่วงที่เตรียมหัวตัวกลับไปทำงาน โทรศัพท์ของเซิ่งเจ๋อเฉิ
งก็ดังขึ้นมา เขากดสายรับ
เธอดูสีหน้าเขาสี่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในฉับพลัน : “ได้ ผม
ไปเดี๋ยวนี้”
เพิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้กลับมามองเธอเลย เขาเดินตรงลิ่วผ่าน
ตัวหล่อนเดินออกไปเฉยๆ ไรผมที่บริเวณหน้าผากถูกสายลม
อ่อนๆพัดมาจากตัวเขาตอนที่เขาเดินผ่านมา ร่างกายเหมือนจะ ยืนไม่อยู่ เพิ่งเจ๋อเดินไปไกลมากแล้วแต่เสิ่นอีเวยยังคงยืนตรงจุด เดิมอยู่นานไม่ได้ขยับไปไหน หัวใจกลับเย็นเฉียบ เมื่อครู่นี้ เธอ
ได้เสียงคนที่คุยกับเขาอย่างชัดเจนว่ากำลังเอ่ยชื่อชื่อหนึ่งอยู่
คุณเสิ่นหุ้ย
เสิ่นหุ้ย
ก่อนหน้านั้นวินาทีเดียวทั้งสองยังคุยกันอยู่ดีอยู่เลยแต่ พอได้ยินชื่อเสิ่นหุ้ยเท่านั้นแหละ เหมือนเขาจะปิดกั้นตัวเองโดย อัตโนมัติ ขนาดเธอเองเขายังมองเหมือนไม่มีตัวตน
ระหว่างหลายเดือนที่ผ่านมาเธอและเพิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ด้วยกัน อย่างสงบสุข อยู่ดีๆ ก็มีชื่อนี้เข้ามา ในสมองเหมือนเส้นแห่ง พรหมลิขิตที่ถูกกำหนดลากเอาไว้ได้หย่อนลงมาแล้ว นี่อาจจะ คงไม่ได้หมายถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างเธอกับเซิ่งเจ๋อ เฉิงใช่ไหม?
เสิ่นอีเวยกุมมือแน่น หัวใจยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ตอนนี้เป็น ตอนกลางวันสว่างจ้าแต่เธอกลับรู้สึกว่าโลกทั้งใบในสายตา ของนั้นมันดำมืดสนิท หล่อนไม่กล้าแม้กระทั่งจะคิดต่อ
มีอำนาจในการรับผิดชอบแล้วเป็นไงหรอ? หยิ่งต่อหน้า
สวีอันจึงแล้วยังไงหรอ?
ทั้งหมดทั้งสิ้นก็สู้คนที่นอนเป็นผักอยู่บนเตียงไม่ได้ คนที่
อยู่ในหัวใจของเขา
เสิ่นอีเวยคิดเองเออเองจนกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง ตอนที่กำลังจะนั่งลงหัวใจเธอก็เจ็บแปลบๆขึ้นมาอีก มันเจ็บ หนักกว่าคราวที่แล้วที่อยู่ที่ลานจอดรถอีก เธอพาดตัวพักผ่อน บนโต๊ะทำงานอยู่สักพัก แต่มันทนไม่ไหวจริงๆเลยหยิบ โทรศัพท์กดโทรศัพท์หาคุณหมอลู่เลย
“ฮัลโหล คุณหมอลู่ ตอนนี้คุณยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ?”
คุณหมอลู่ฟังน้ำเสียงของเสิ่นอีเวยออกว่าไม่มีแรงแถมยัง ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาอีกจำนวนมาก
“ไม่ยุ่งครับ เธอไม่สบายใช่ไหมจะมาที่โรงพยาบาลใช่
หรือเปล่า?”
เสิ่นอีเวยตอบกลับ : “ค่ะ ฉันจะไปหาคุณหมอค่ะ”
“พระเจ้าช่วยขอบคุณฟ้าดินที่เธอคิดได้แล้วว่าควรจะต้อง ผ่าตัดที่โรงพยาบาลได้แล้ว”
เสิ่นอีเวยเงียบไปสักพัก ตอบกลับไปว่า : “เดี๋ยวฉันไปโรง พยาบาลแล้วเราค่อยคุยใหม่นะคะ”
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เธอบังคับร่างกายอ่อนปวกเปียก ของตัวเองลงตึกมันเจ็บจนทนไม่ไหว จะขับรถเองก็ไม่กล้าตั้งใจจะโบกรถไปโรงพยาบาลแทน
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ