นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่399ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นน้องสาว เลยด้วยซ้ำว



บทที่399ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นน้องสาว เลยด้วยซ้ำว

บทที่ 399 ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นน้องสาวเลยด้วยซ้ำ

ในระหว่างที่กำลังเดินไปที่ร้านกาแฟร้านนั้น หัวใจของเ นอีเวยก็เต้นอย่างรุนแรงตลอดทาง เธอวิเคราะห์ตามน้ำเสียงที่ เสิ่นหุ้ยพูดทางในโทรศัพท์เมื่อวาน หล่อนรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมี อะไรอยากจะบอกตนเองอย่างแน่นอน

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ความคิดด้านหนึ่งของเงินอีเวยก็ตั้งตารอ ทว่าอีกด้านหนึ่งก็รู้สึกกลัว เงินหุ้ย…เธออยากจะบอกอะไรกับ เธอกันแน่?

เสิ่นอีเวยในตอนนี้ไม่ใช่เสิ่นอีเวยคนเดิมที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว อะไรคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ส่วนเรื่องการตายของพ่อแม่ ก่อน หน้านี้หล่อนเคยสงสัยเงินหุ้ยอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ข้อเท็จจริง เท่านั้นเอง

ดังนั้น ในระหว่างทางที่กำลังเดินทอดน่องอยู่บนถนน หล่อนก็ปรับอารมณ์และท่าทีเพื่อเผชิญหน้าหน้าเงินหุ้ยอยู่ก่อน แล้ว

หน้าตาของเสิ่นหุ้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิดเดียว แต่การแต่งตัวเปลี่ยนไป ชุดเดรสรัดรูป ผมดัดเป็นลอนใหญ่ปล่อยห้อยเป็นพวงอยู่บริเวณหน้าอก มองอย่างไรก็ดูเป็นคนที่ ช่างน่าประทับใจช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน

เสิ่นอีเวณนั่งเก้าอี้ตรงข้ามหล่อน : พนักงานคะ ขอเป็น Espreesso Con Panna แก้วนึงค่ะ

ยามเมื่อหันหน้ากลับมา หล่อนก็เตรียมจะทักทายเงินย แต่ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดลอยๆออกมาประโยคหนึ่ง “ผ่านมา : หลายปีขนาดนี้แล้ว กาแฟที่แกชอบยังไม่เปลี่ยนเลยนะ ไม่รู้ว่า วิสัยทัศน์ที่แกมองผู้ชายเปลี่ยนไปบ้างหรือยัง? เป็นไง ตอนนี้ก็ ยังชอบเชิงเจ๋อเฉิงอยู่มั้ย?”

สิ้นเสียงเงินหุ้ย บรรยากาศโดยรอบนิ่งสงบในทันที เ นอีเวยมองผู้หญิงที่นั่งตรงหน้าด้วยอาการนิ่งสงบ ใบหน้านั้นก็ เป็นใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำของตนเองใบหน้านั้นอย่าง ชัดเจน แต่ว่าทำไม…พอเริ่มพูดแล้วถึงทำให้หล่อนรู้สึกแปลก ไปเหมือนคนไม่เคยไม่รู้จักกันเอาซะเลย?

เงินหุ้ยในตอนนี้ที่กำลังคนกาแฟในมือตนเอง ทว่า สายตาแข็งกร้าวและโหดเหี้ยมกลับเพ่งมองมาที่ใบหน้าเสี นอีเวย ในสายตานั่นฉายร่องรอยของการเยาะหยืนอยู่เสมอ

สายตาแบบนี้ เสิ่นอีเวยคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพราะว่า หลังเกิดเรื่องก่อนหน้านี้เสิ่นหุ้ยก็ใช้สายตาแบบนี้มองหล่อนมา โดยตลอด

เสิ่นอีเวยเอนพิงที่นั่งด้านหลังอย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยขึ้น “นี่พี่ ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา พี่แน่ใจหรือว่าอยากจะใช้ท่าทีแบบนี้คุยกับฉัน?

เสียงเสิ่นอีเวยเพิ่งพูดจบก็ถูกเงินหุ้ยพูดตัดบท “เงินอีเวย

แกอย่ามาหลอกกันหน่อยเลย! แล้วก็อย่ามาเรียกฉันว่าพี่สาว เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนฉันอายุสิบห้า ฉันก็ไม่เคยเห็นแกเป็น น้องสาวอีกเลย!”

อารมณ์ของเสิ่นหุ้ยก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตูมขึ้นมาแทน และเสิ่นอีเวยประหลาดใจกับคำพูดของหล่อนมาก หล่อนใช้ ความพยายามอย่างหนักในการควบคุมอารมณ์ข้างในพลาง ถามนิ่งๆว่า “เธอหมายถึงอะไร?

เงินปุ๋ยยิ้มแห้งๆ “ฉันหมายถึงอะไร แกไม่รู้เหรอ? พ่อแม่ สุดที่รักของแกไม่ได้บอกอะไรกับแกเหรอ?”

หลังพูดประโยคนี้จบ เสิ่นหยจงใจทำท่าเหมือนเพิ่งคิด อะไรขึ้นมาได้ แต่กลับปิดปากลงแถมยังแสดงท่าทาง ประหลาดใจพลางพูดขึ้นมา: “อ้อ ขอโทษที ฉันลืมไปว่าพ่อแม่ ที่รักของแกตายไปหลายปีแล้วนี่หน่า

เงินปุ๋ยเน้นคำว่า “พ่อแม่ของแก” ทำให้เป็นอีเวยฟังแล้ว รู้สึกค่อนข้างที่จะอึดอัดและกรุ่นโกรธ น้ำเสียงของเธอเลือก เย็น ความเย็นหนาวเหน็บราวเข้าถึงกระดูก: “เงินหุ้ย พวกท่าน ล้วนเสียชีวิตไปแล้ว พี่ควรให้ความเคารพพวกท่านสักหน่อย หรือว่าจริงๆแล้วพวกท่านไม่ใช่พ่อแม่ของพี่

เสียงของเสิ่นอีเวยลดต่ำลง ส่วนเงินหุ้ยราวกับได้ฟังเรื่อง ตลกเรื่องหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น “พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ของฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ฉันอายุสิบห้านั้นแล้ว ไม่อย่าง นั้น…ฉันจะเกลียดแกขนาดนั้นได้ยังไงกันล่ะ?”

ในคำพูดของเงินย เสิ่นอีเวยเพียงรู้สึกว่าหัวใจตนเอง เร่งความเร็วขึ้น ยามกลับมาคิดถึงสาเหตุที่มานั่งที่นี่ในวันนี้ และจากการแสดงออกของเงินหุ้ยตอนนี้ เสิ่นอีเวยก็ได้ข้อสรุป ที่ชัดเจนออกมาข้อหนึ่ง ด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ตนเองยังไม่รับรู้ เงินหุ้ยเห็นตนเองเป็นศัตรูไปแล้ว

ในใจเสิ่นอีเวยยิ้มอย่างขมขื่น เดิมนึกว่าสถานการณ์วันนี้ จะแตกต่างออกไปเสียอีก อย่างน้อยไม่กี่ปีมานี้ หลังจากที่ หล่อนและเงินหุ้ยเคยมีประสบการณ์ผ่านอุบัติเหตุมาด้วยกัน อย่างน้อยวันนี้คนทั้งสองก็สามารถมานั่งคุยกันอย่างใจเย็นได้

เพียงแต่ที่เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงก็คือ การที่เป็นปุ๋ยปรากฏตัว แล้วแสดงออกด้วยท่าที่เลวร้ายดุดันต่อหน้าเธอ คำพูดที่พูด ออกมาแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าหล่อนกำลังตั้งป้อมกับเธอ อยู่

สถานการณ์เดียวกัน ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ บางทีเ นอีเวยคงไม่มีความอดทนจะมาอธิบาย หวังว่าเรื่องราวจะพบ ทางออกที่น่าพอใจ

แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ หล่อนเดินบนเส้นทางที่ยาก ลำบากมาด้วยตัวคนเดียว หลังจากมีชีวิตรอดมาได้โดยไม่มี ใครมาช่วยเหลือ หล่อนเพิ่งเข้าใจว่าตนเองไม่จำเป็นต้องใช้ รอยยิ้มต้อนรับทุกคน เพราะคนบางคนก็เกิดมาด้วยนิสัยเลือดเย็นและไม่แยแสความรู้สึกของใคร

ใจของพวกเขาเป็นดั่งก้อนหิน ดั่งน้ำแข็ง ไม่ว่าจะอยู่ใน สถานการณ์ใดเขาก็ไม่เดือดร้อนกับความรู้สึกใดๆ

ยามเมื่อคนอื่นตั้งใจพูดจาหรือกระทำสิ่งใดให้เราเจ็บปวด ก็ตาม มันไม่มีความจำเป็นต้องทนอีกต่อไป เราต้องตอบโต้ กลับ จะต้องไปกลัวอะไรถึงแม้ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนใกล้ตัว ของตัวเองก็ตาม

ช่วงเวลาตั้งแต่ที่พวกเธอสองคนนั่งตรงนี้ ในทุกคำพูด ทุกประโยคของเงินหุ้ยล้วนมีข้อมูลมากมายมันกระทบกับ ความรู้สึกของเสิ่นอีเวยที่ค่อนข้างซับซ้อนตั้งแต่แรกเริ่มตอนนี้ กลับแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบแทน

เพราะหล่อนรู้ว่า เหตุผลที่เงินหุ้ยเดินทางกลับถึงประเทศ แล้วนัดตนออกมา คิดว่าคงอยากจะสะสางเรื่องราวในอดีต

“พูดออกมาเถอะตอนที่เธออายุ 15 ปีนั้น เธออยากพูด

อะไรก็พูดมาเถอะ” เสิ่นอีเวยพูดอย่างใจเย็นที่สุด

เสียงของเสิ่นอีเวยลดต่ำลง ใบหน้าเงินหุ้ยฉายแวว ประหลาดใจเพราะเสิ่นอีเวยในความทรงจำของหล่อนแต่ไหน แต่ไรไม่เคยใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะ ตั้งแต่เด็กที่ได้รับการปกป้องจากที่บ้านอย่างดี ขนาดการ แสดงออกของหล่อนถึงได้เป็นคนที่จิตใจดีแสนดีและอ่อนโยน

เสมอ
กล่าวตามจริง เธอเกลียดที่หล่อนมีท่าทีใจเย็นตลอดเวลา แบบนี้ ดังนั้นจึงมักจะรังแกหล่อนอยู่เสมอ

มุมปากของเงินหุ้ยประดับรอยยิ้มเยาะหยันเอาไว้ : “ตอน นี้แกก็เตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว งั้นฉันก็พูดเลยแล้วกัน แก ฟังให้ดีล่ะ ยังจำคืนวันที่พ่อแม่ของแกตายได้มั้ย? การตายของ พวกเขาเป็นอุบัติเหตุจริงๆ แต่ฉันไม่ได้จะพูดถึงเรื่องแก๊สรั่ว เรื่องนั้น คืนนั้นกลางดึกฉันตื่นขึ้นมา เพราะก่อนนอนในคืนนั้น ฉันต้องการจะทบทวนการบ้านเลยดื่มกาแฟเข้าไปนิดๆหน่อย ตอนกลางคืนจึงหลับไม่สนิท

ตอนที่ตื่นขึ้นมา ทั่วทั้งบ้านมีแต่กลิ่นแก๊สเหม็นตลบ แล้ว ฉันก็พบปัญหาข้อหนึ่ง จิตใต้สำนึกของฉันมันอยากจะไปห้อง ครัวแล้วจัดการปิดแก๊สนั่นซะ ทว่าตลอดเวลาที่ฉันยืนอยู่หน้า ประตูห้องของพวกเขา ฉันก็เกิดอาการลังเลขึ้นมาแทน

เงินอีเวยได้ฟังคำบอกเล่าของเงินหุ้ย อารมณ์ที่แต่เดิม สงบลงไปแล้วกลับแปรเปลี่ยนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ใน ใจของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะเธอมีลาง สังหรณ์เลือนรางว่าสิ่งที่เป็นปุ๋ยกำลังจะพูดต่อไป คงเป็นเรื่อง ยากที่ตนเองจะยอมรับได้

เงินหุ้ยมองหน้าเสิ่นอีเวย มุมปากของหล่อนประดับรอย ยิ้มร้ายกาจเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นมา “รู้มั้ยทำไมฉันถึงลังเล เพราะฉันไม่อยากช่วยพวกเขา ฉันอยากให้พวกเขาสองคนไม่ ตื่นขึ้นมาอีกตลอดชีวิต ฉันก็อยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสของการ ที่ถูกคนที่รักทรยศหักหลังบ้าง
มือของเสิ่นอีเวยเริ่มสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย “เธอกำลังพูด

ถึงเรื่องอะไรกันแน่?


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ