นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่400ความจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้น



บทที่400ความจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้น

บทที่ 400 ความจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้น

สายตาของเงินหุ้ยค่อยๆลอยไปหยุดที่มือของเสิ่นอีเวย แถมพูดถากถางขึ้นว่า ” ทำไมแค่นี้ก็ทนฟังไม่ได้เหรอ ฉันยัง อยากให้เธอรู้ว่า พ่อแม่ที่เธอเคารพรักมาตลอด เป็นคนที่เลว ทรามต่ำช้ามากขนาดไหน

เสิ่นอีเวยจ้องเสิ่นหุ้ยไม่ขยับและเพื่อควบคุมอารมณ์ ตนเองให้สงบลง หล่อนจึงยื่นมือมากุมแก้วกาแฟที่อยู่ข้างหน้า ตนเองเอาไว้แน่น

“ยังจำตอนอายุ 15ได้มั้ย ตอนนั้นเธอป่วยหนัก นอนอยู่ที่ โรงพยาบาลเกือบครึ่งเดือนมีปัญหาเกี่ยวกับตับ มีครั้งหนึ่งพ่อ กับแม่ให้ฉันออกไปซื้อผลไม้ ตอนที่ฉันกลับมาถึงตรงบันได ได้ยินพวกเขาคุยกันหน้าประตูห้องด้านนอกพอดี และตั้งแต่ ตอนนั้นฉันเองก็ได้รู้ว่า ฉันไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของพวกเขา แต่ เป็นเด็กที่พวกเขาเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น”

เสิ่นอีเวยตกใจจนอึ้งไป: “ปะ เป็นไปได้อย่างไร

เงินปุ๋ยยิ้มเยาะออกมาแล้วพูดว่า ” เธอยังไม่ต้องรีบตกใจ เพราะเหตุผลที่พวกเขารับฉันมาอุปการะก็เพราะเธอ เพราะเธอ มีปัญหาเรื่องตับมาตั้งแต่เกิด โตขึ้นอาการอาจจะยิ่งหนักมากขึ้น ตอนนั้นที่พวกเขาไปที่สถานสงเคราะห์เด็กแล้วเลือกฉัน ก็ เพราะว่าพวกเขาเห็นผลเลือดของพวกเราแล้วว่า เลือดเธอกับ ฉันมันเข้ากันได้”

พูดถึงตรงนี้เสิ่นหุ้ยก็หยุดจิบกาแฟอีกหนึ่ง เสิ่นอีเวย เหมือนจะเดาได้ว่าต่อไปอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“ดังนั้น ฉันก็เป็นแค่เครื่องมือ ให้เลือดยามที่เธอป่วยต้อง ถ่ายเลือดเท่านั้นเอง นี่คือเหตุผลที่พวกเขารับเลี้ยงฉัน”

คนในร้านกาแฟมีจำนวนมาก ดังนั้นเวลาเสิ่นหุ้ยพูดจึง พยายามกดเสียงตัวเองให้ต่ำลง ถึงจะทำแบบนี้ แต่เงินอีเวย ได้ฟังแล้วก็ยังรู้สึกตกใจกลัวจนขนลุกซู่

เงินอีเวยสายศีรษะ ปฏิเสธออกไปว่า” เธอเพ้อเจ้อ พ่อ แม่ของฉันไม่มีทางเป็นคนที่เลวทรามต่ำช้าขนาดนั้น เธออย่า มาใส่ร้ายคนอื่นนะ”

เสิ่นหุ้ยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันไม่มีเครื่องบันทึกเสียงอยู่กับตัว ถ้าไม่อย่างนั้น พ่อ แม่ของเธอคงถูกฉันส่งเข้าคุกไปนานแล้ว เสิ่นอีเวย ฉันคิดว่า ผ่านมาหลายปีแล้วเธอน่าจะฉลาดขึ้นมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมองเธอมันจะแย่ขนาดนี้ บางครั้งสิ่งที่เธอเห็น อาจจะไม่ได้ เป็นอย่างที่เธอคิด

คนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมคือฉัน เรื่องนี้ฉันควรมีสิทธิ์ที่ จะพูด ในขณะที่เธอถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน เธอไม่เคยเห็น ความเลวร้ายของโลกใบนี้หรอก”
เสิ่นหุ้ยพูดทีละคำทีละประโยคจนจบ เสิ่นอีเวณนั่ง เงียบกริบ วินาทีนั้นเองหล่อนรู้สึกว่าโลกใบที่หล่อนเคยเข้าใจ เริ่มหมุนวนอยู่รอบตัว คำพูดของเงินหุ้ยเปรียบเสมือนกับแสง สว่าง ที่กำลังส่องแสงวิบวับ

อยู่ในสมองหล่อน

“เธอพูดแบบนี้ มีคนเป็นพยานมั้ย” เสิ่นอีเวยที่เริ่มสงบลง แล้ว ในแววตามีความสุขุม

ท่าทีของเสิ่นหุ้ยเหมือนจะรู้ว่าเหตุการณ์จะต้องเป็นแบบนี้ จึงพูดขึ้นว่า ” ในตอนนั้นคุณหมอที่มีหน้าที่รักษาเธอ โดยเฉพาะ ที่โรงพยาบาลนั้น ฉันให้คนช่วยหาวิธีติดต่อเขาได้แล้ว ยังไง ล่ะอยากจะให้ฉันพาเธอไปถามด้วยตัวเองมั้ย”

เงินเลยมองเงินหุ้ย ไม่ได้พูดจาอะไร เพราะใน จิตใต้สำนึกนั้นรู้ดีว่าสิ่งที่เสิ่นหุ้ยพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง

เด็กแม้ว่าจะยังเด็ก แต่บางครั้งสัญชาตญาณการรับรู้ก็ดี กว่าผู้ใหญ่เสียอีก

เงินอีเวยตอนเด็ก ไม่เข้าใจทำไมทุกครั้งที่ไปสวนสนุก พ่อแม่มักจะชอบพาหล่อนไปนั่งม้าหมุน แต่กลับทิ้งพี่สาวไว้ทาง นั้นคนเดียวอย่างไม่แยแส ทำไมถึงยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อ ให้หล่อนได้เข้าเรียนในคลาสที่น่าสนใจต่างๆ ส่งหล่อนไป เที่ยวต่างประเทศ แต่สิ่งเหล่านี้พี่สาวกลับไม่เคยได้รับโอกาส

นั้นเลย
จนกระทั่งได้ฟังที่เสิ่นหุ้ยเล่าหล่อนจึงเข้าใจ ที่แท้แล้วก็อยู่ ร่วมกันอย่างคนแปลกหน้าตั้งแต่แรก แล้วจะได้รับความรักที่ เสียสละได้อย่างไร

ยามเมื่อคิดถึงตอนที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ตนเองกับพวก เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ตอนนี้เวลานี้เป็นอีเวย เพียงความหนาวเหน็บในใจ

“ดังนั้นเสิ่นอีเวย เธอตั้งใจฟังให้ดี ช่วงเวลาหลายปีนี้ฉัน ผ่านมาได้อย่างไรไม่เกี่ยวกับเธอ ชีวิตเธอเป็นอย่างไรก็ไม่ เกี่ยวกับฉัน ต่อไป เธอคือศัตรูของฉัน

แต่ฉันจะขอเตือนเธอไว้ก่อนเลยนะ ว่าสิ่งที่พ่อแม่เธอทำไว้ กับฉัน ทำร้ายฉัน ถ้าวันไหนฉันอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา อาจจะเหมา รวมมาลงที่เธอ

น้ำเสียงของเงินหุ้ยแฝงความหนักแน่นและเคียดแค้น แต่ ในใจเสื่นอีเลยกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

หล่อนไม่รู้ว่าเงินหุ้ยออกจากร้านกาแฟไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แค่ว่าพอตัวเองเริ่มได้สติรู้สึกตัวอีกทีกาแฟในแก้วที่จับไว้ แน่นนั้นก็เย็นชืดไปแล้ว

เดิมทีคิดว่าครั้งนี้ที่เสิ่นหุ้ยฟื้นขึ้นมานัน ตัวเองจะมีญาติ สนิทเพิ่มขึ้นมาอีกคนบนโลกใบนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าการพบกัน ครั้งนี้จะทำให้พวกเธอสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้าของกัน และกัน
ท่าไมโชคชะตามักจะเล่นตลกกับคนเราแบบนี้ เสิ่นอีเวยอ ยากร้องไห้ แต่ก็พบว่าน้ำตาไหลไม่ออกแม้แต่หยดเดียว

เงินอีเวยที่ออกมาจากร้านกาแฟ เธอกลับไม่ได้ขับรถกลับ มาด้วย หล่อนเดินมาถึงผับแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

นานมาแล้วที่ไม่ได้ใช้เหล้าคลายทุกข์ ดังนั้นเมื่อหล่อนนั่ง

ลงบนเก้าอี้บาร์ จึงยังมีความไม่เคยชินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำให้ตัวหล่อนเหนื่อยเกินจะ รับไหวแล้ว การพบกับเงินหุ้ยอย่างกะทันหัน ในวันนี้ ก็เหมือน กับเป็นการเปลี่ยนความคิดของหล่อนทั้งหมดให้กลับตาลปัตร ไป ทำให้หล่อนรู้สึกว่าโลกใบนี้นั้นไม่มีความรู้สึกจริงๆอยู่เลย

เสิ่นอีเวยไม่รู้เลยว่าตัวเองดื่มไปกี่แก้วแล้ว หล่อนเป็นคน ที่หน้าตาสะสวยอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ผู้ชายมอง เห็นผู้หญิงนั่งดื่มเพียงลำพัง เก้าในสิบก็ต้องมาชวนดื่ม แน่นอน

แล้วแถมยังเป็นผู้หญิงที่สวยมากเสียด้วย

เมื่อต้องเจอกับคนอื่นที่มาชวนดื่มไม่ได้หยุด เสิ่นอีเวย เริ่มไม่ปฏิเสธหยิบแก้วมากรอกลงไปในท้องตัวเอง ดื่มจน สำลักแทบจะไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด

ในช่วงที่หล่อนดื่มจนเริ่มรู้สึกไม่ได้สตินั้น ก็ได้ยินเสียง โทรศัพท์ดังมาจากในกระเป๋า หล่อนไม่คิดจะดูที่หน้าจอก่อนว่า ใครโทรมา ก็ใช้สติที่เหลืออยู่นั้นรับสายทันที
“ฮัลโหล ใครอะ”

เพราะว่าดื่มมาก ทำให้หล่อนเริ่มพูดไม่ชัด บวกกับเสียง ในผับที่ค่อนข้างดัง เสียงดนตรีกระแทกหู ดังนั้นปลายสายจึงรู้ ว่าเสิ่นอีเวยอยู่ที่ไหน

เสียงของเพิ่งเจ๋อเฉิงเย็นดุจน้ำแข็ง “เธออยู่ในผับเหรอ”

เสิ่นอีเวยเริ่มออกอาการเมาออกมา” คุณเป็นใครเนี่ย เสียงคุณทำไมฟังคุ้นหูจังห

เซิ่งเจ๋อเฉิง

“เสิ่นอีเวย นี่คุณกล้าแอบไปผับลับหลังฉันเหรอ แล้วยัง ดื่มจนมีอาการแบบนี้อีก คุณนี่นับวันจะยิ่งปีกกล้าขาแข็งใหญ่ แล้วนะ อยู่ที่เดิมห้ามไปไหนจนกว่าฉันจะไปถึงที่นั่น

พูดจบประโยคเชิงเจ๋อเฉิงก็วางสาย

ดังนั้นจึงไม่ได้ถามที่อยู่กับที่ชัดเจน แต่ผับที่เสิ่นอีเวยเคย

ไปก็มีที่นั่นที่เดียว เพิ่งเจ๋อเฉิงมั่นใจอย่างไม่สงสัย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ