นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่ 53 จุมพิตประกาศอ่านาจ



บทที่ 53 จุมพิตประกาศอ่านาจ

เสิ่นอีเวยกำลังจมดิ่งอยู่กับภาพที่เห็นก่อนหน้านั้น จึงไม่ ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่เชียวหันถึงพูด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความหมาย ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น หล่อนถามเขาอย่างงงๆว่า “เมื่อกี้ คุณพูดว่าอะไรนะคะ”

หันถึงมองไปยังดวงตาสดใสที่เหมือนไม่ประสี ประสาต่อความเลวร้ายบนโลกนี้มาก่อน แล้วเลื่อนลงมามองที่ ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ในใจเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย เขาไม่รอให้ หล่อนไหวตัวได้ทัน เขาโน้มศีรษะลงมาหาเสิ่นอีเวย

เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าแสงสว่างด้านหน้าถูกลง ใบหน้าของเซียวกันถึงอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว หล่อนอึ้งชะงักงัน แม้ว่าอยากหลบหลีกแค่ไหน แต่ขาทั้งสองข้างก็เหมือนถูก หลอมด้วยตะกั่วขยับเขยื้อนไม่ได้เลย

วินาทีต่อมาหล่อนรู้สึกว่าปากของหล่อนถูกประกบปิดจาก

บางสิ่ง

หล่อนตกใจสุดขีด รีบลืมตามอง ปรากฏว่าคนที่จูบหล่อน ไม่ใช่หันถึงแต่เป็น เซิ่งเจ๋อเฉิง

โชคดีที่ไม่ใช่ เชียวหันถึง

ความคิดแรกที่แวบขึ้นในหัวสมองของหล่อนเมื่อได้สติ

หล่อนนึกสมเพชตัวเองในใจ

ที่แท้เซิ่งเจ๋อเฉิงจับตาดูความเคลื่อนไหวระหว่างหล่อนกับ เชียวหันถึงอยู่ตลอด และช่วงที่หันถึงกำลังก้มหน้าลงมานั้นเอง เขาก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วคว้าตัวเส่นอีเวยเข้าสู่ อ้อมกอดของเขา และลงโทษหล่อนด้วยการจุมพิต

เขาจูบหล่อนอย่างบ้าคลั่ง จนเสิ่นอีเวยแทบจะหายใจ ไม่ทัน หล่อพยายามผลักเขาออกอย่างสุดกำลังจนหลุดจากเขา ได้ในที่สุด

โชคดีของเสิ่นอีเวยที่ช่วงเวลานี้ไฟสลัวมองเห็นไม่ชัดนัก ดังนั้นจึงมีแค่เพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในขณะที่คนอื่นกำลังเต้นรำกันอย่างมีความสุข เสิ่นอีเวย หายใจเข้าเต็มที่ แล้วมองไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างแค้นเคือง

แต่เพิ่งเจ๋อเฉิงนั้นกลับไม่ได้มองเธอเลยแม้แต่น้อย เขา มองไปที่เซียวหันถึงที่อยู่ข้างๆอย่างโกรธแค้น ประหนึ่งว่าตน เป็นกษัตริย์ที่กำลังปกป้องอธิปไตยของชาติก็ไม่ปาน สายตา ของเขาส่อความหมายถึงการตักเตือน

เชียวหันถึงเองก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว อำนาจบารมีของ เขาก็มีมากไม่แพ้เซ็งเจ๋อเฉิง ดังนั้นบนใบหน้าเขาจึงไม่มีแวว หวาดเกรงแม้แต่น้อย ยังคงมองเซิ่งเจ๋อเฉิงตอบด้วยสีหน้า เรียบเฉย

ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายด้วยกันเองเป็นอย่างดี

เสิ่นอีเวยเองก็ไม่เข้าใจว่าทั้งสองเปิดศึกทางสายตากัน หมายความว่าอย่างไร หล่อนรู้แค่เพียงว่าหล่อนยากจะหนีออก จากที่นี่เสียตอนนี้ แต่ว่าร่างท่อนบนของหล่อนนั้นถูกแขนทั้ง สองเขิ่งเจ๋อเฉิงยึดไว้แน่น ขยับไปไหนไม่ได้เลย
เพิ่งเจ๋อเฉิงรับรู้ได้ถึงแรงต่อต้านขัดขืนของเสิ่นอีเวยจึงก้ม ลงมาพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็น “ก่อเรื่องแล้วคิดจะหนีเห รอ”

เสิ่นอีเวยเตรียมจะโต้ตอบเขา แต่เพิ่งไม่เปิด โอกาสให้หล่อนได้ทำอย่างนั้น

เพิ่งเจ๋อเฉิงมองไปทางเซียวหันถึงอย่างมีเลศนัย ยิ้มมุม ปากอย่างเย้ยหยัน เสิ่นอีเวยรู้จักรอยยิ้มแบบนี้ของเขาดี หล่อนรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่

ท้ายทอยของเสิ่นอีเวยถูกสองมือยึดเอาไว้แน่น ปากของ หล่อนถูกประกบปิดอีกครั้ง หล่อนถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ว่าสู้แรงเชิงเจ๋อเฉิงไม่ไหว จึงไร้ซึ่งหนทางใดๆ เหมือนตัวเองใกล้จะหายใจไม่ได้แล้ว

เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสี่คนเริ่มจะเป็นที่สนใจ ของใครหลายๆคนแล้ว เสิ่นอีเวยมองข้ามไหล่ของเซิ่งเจ๋อเฉิง เห็นหลายคนกำลังมองมาทางพวกเขาอยู่ ช่วงนี้เองที่หล่อนเขิน จนหน้าแดงขึ้นมา

เสิ่นอีเวยได้ยินคำพูด วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆมาจากในหมู่ ผู้คน หล่อนคิดว่าเจ๋อเฉิงจะต้องบ้าไปแล้ว เพราะรับรู้ได้ถึง กลิ่นคาวเลือดจางๆ ในปาก ใช่แล้วเพราะความบ้าคลั่งของเขา ทำให้ปากหล่อนแตก

ขาของหล่อนเริ่มอ่อนแรง ในช่วงจังหวะที่หล่อนกำลังเซ ถลาล้มลงนั้น สองมือที่แข็งแกร่งรับร่างของหล่อนเอาไว้ ในที่สุดเพิ่งเจ๊กเอ็งก็ยอมปล่อยหล่อน หล่อนเงยหน้าขึ้นมามองเขา ใบหน้าแตงเป็นจานๆ ในตากลับมีน้ำตาคลอด้วยความโกรธ และอับอาย

ทันใดนั้นในใจรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกมือขึ้นแล้ว ฟาดไปทางใบหน้าเพิ่งเจ๋อเฉิง แต่กลับถูกเขาสกัดไว้ได้ทัน เขา บีบมือของหล่อนไว้เหมือนกับจะให้กระดูกหักคามือของเขา

หลังจากนั้น หล่อนได้ยินเขาพูดว่า “เสิ่นอีเวย คุณฟังผม ให้ดีๆนะ ของๆผมต่อให้ผมทิ้งมันไม่ต้องการมันแล้ว แต่ผมก็ จะไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด”

เสิ่นอีเวยที่เติมทีก็รู้สึกอับอายคั่งแค้นอยู่แล้วนั้นก็ยิ่งทวี ความโกรธยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเขาเปรียบหล่อนเป็นเหมือน สิ่งของ รู้สึกว่าตัวเองไร้ซึ่งศักดิ์ศรี หล่อนรู้สึกเสียใจที่ฝ่ามือเมื่อ สักครู่หล่อนช้าไปหน่อย

หล่อนเตรียมจะอ้าปากโต้เถียงเขา แต่คำพูดเหล่านั้นก็ ต้องถูกกลืนลงคอไปตามเดิม เพราะเชิ่งเจ๋อเฉิงจับมือหล่อน ลากออกไปที่นอกประตู

ไม่มีใครสังเกตความเสียใจบนใบหน้าของสวี่อันฉิงที่ถูก ทิ้งไว้ด้านหลัง

เสิ่นอีเวยเองก็ไม่อยากจะตามเขาไปนัก แต่หล่อนก็ไม่อาจ ทนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปได้ ขาสองข้างเหมือนสูญเสียความรู้สึก และการเดินไปแล้ว เหมือนหล่อนถูกเขาลากขึ้นรถไป

หลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว เพิ่งเจ๋อเฉิงที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับเหมือนกำลังกล้ำกลืนฝืนทนอะไรสักอย่าง ก้มหน้านิ่งอยู่พัก ใหญ่ เหมือนสัตว์ร้ายสิงอยู่ในตัวอยู่ๆเขาก็ทุบพวงมาลัยอย่าง แรง แล้วร้องตะโกนออกมา หล่อนตกใจมาก

“เพิ่งเจ๋อเฉิงคุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ” หล่อนนั่งขดตัวที่ บนเบาะข้างคนขับ ชุดราตรีที่สวมกับผมเผ้าเริ่มยุ่งเหยิง เป็น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดในงานเมื่อสักครู่ หล่อนสูญเสียการ ควบคุมอารมณ์ไปแล้วและคิดว่าหล่อนและเขาต้องมาทะเลาะ กันบนรถอีก

เชิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมามองหล่อน แววตาโกรธเคือง แต่ไม่ ได้พูดอะไร เขาสตาร์ทรถ รถทะยานไปในความมืดด้วยความ รวดเร็ว ยิ่งขับความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เขาขับแซงรถคนอื่นๆ ฝ่า ไฟแดง เสิ่นอีเวยรู้สึกว่ารถที่หล่อนนั่งอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับเซิ่ง เจ๋อเฉิง

หล่อนเองก็รู้สึกกลัวแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ตอนนี้ในใจหล่อนกำลังคิดว่า แล้วเซียวหันถึงล่ะจะเป็น อย่างไร

ตอนแรกเป็นเพราะหล่อนขอความช่วยเหลือจากเขา เรื่อง ที่เกิดขึ้นเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ แต่เซิ้งเจ๋อเฉิงก็ทำให้ เขาต้องเสียหน้า ไม่ว่าจะอย่างไรคนที่เป็นคนผิดคนแรกก็คือตัว หล่อนเอง หล่อนกำลังคิดว่าครั้งหน้าที่พบเขาจะอธิบายให้เขา ฟังอย่างไร

หล่อนยังคงจมอยู่ในความคิดของหล่อน

เสิ่นอีเวยไม่รู้เลยว่าต่อไปหล่อนจะต้องเจอกับการลงโทษอย่างไร

ระหว่างทางทั้งสองต่างไม่มีใครพูดอะไร

รถเบรคอย่างกะทันหัน เมื่อมาจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ตระ พนักงานรักษาความปลอดภัยเปิดประตูใหญ่ให้เขา เมื่อเซิ้งเจ๋อเฉิงลงยากรถเขาก็รีบลากเสิ่นอีเวยลงมาทันที

เสิ่นอีเวยกลับรู้สึกว่าเรื่องในคืนนี้ไม่ใช่ความผิดของ หล่อนเพียงคนเดียว ดังนั้นระหว่างนั่งรถหล่อนจึงพยายามหลีก เลี่ยงที่จะแสดงความคิดท่าทีของหล่อน แต่เจ๋อเฉิงก็ไม่ได้ สนใจ

แรงปะทะระหว่างพวกเขามีไม่น้อย พวกเขาชนของที่อยู่ ระหว่างทางเดินห้องรับแขกหลายอย่าง เสียงของพวกเขาก็จุดสนใจของพวกคนใช้ เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังจะขึ้นชั้นบน มาคำรามใส่ว่า “ใครกล้ามองอีก”

พวกคนใช้ถูกเขาคำรามใส่ตกใจจนแตกตื่นหนีไปหมด

เซิ่งเจ๋อเฉิงลากหล่อนขึ้นไปชั้นบน แต่หล่อนไม่ยอม สาย ตามมองไปที่ราวบันไดแล้วจับเอาไว้แน่น

“ปล่อย” เซิ่งเจ๋อเฉิงตะคอกหล่อนอย่างดุดัน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ