นายเป็นแค่สามีเก่า

ตอน105คลื่นลมสงบอย่างไม่คาดคิด



ตอน105คลื่นลมสงบอย่างไม่คาดคิด

ตอนที่ 105 คลื่นลมสงบอย่างไม่คาดคิด

สวีอันฉิงมองไปที่เสิ่นอีเวยแล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ เหมือนกับ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่ว่าสายตาเป็นส่วนที่สามารถบอกต่อ ถ่ายทอดความคิดออกมาได้ เสิ่นอีเวยมองผ่านลำแสงที่สลัว ยังเห็นรังสีของความเกลียดชังและความอำมหิตข้างในแววตา ของสวี่อันฉิง

ผู้หญิงที่กันมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ที่เริ่มเข้าอยู่เคียงข้างพี่ เสิ่นหุ้ยมาตลอด ซึ่งกันและกัน เพียงเพราะเหตุผลดังนั้นจึงประมือ กันมาหลายปีเช่นนี้

“ฉันพูดแล้วว่าจะไม่ทำอะไรเธอ เธอผ่อนคลายลงหน่อยดี

?” หรือว่า ?

แววตาของสวี่อันฉิงเปลี่ยนเป็นเพิ่มความเฉียบแหลมและ น่ากลัว “เธอกำลังกลัวฉันหรอ?”

เสิ่นอีเวยหัวเราะเยาะเบาๆ แสงในแววตายามกลางคืน ปรากฏให้เห็นเป็นพิเศษ เธอจึงพูดขึ้นอย่างนิ่งๆว่า

“เธอคิดมากไปแล้ว ฉันไม่ได้กลัวเธอ ถ้าหากว่าฉันกลัว เธอจริงๆ ตอนนี้ฉันคงคิดหาวิธีแยกออกจากเธออย่างสุดชีวิตหลังจากนั้นก็กลับไปอยู่เคียงข้างเซิ่งเจ๋อเฉิง ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอเคยพูดต่อหน้าฉันด้วยตัวเองว่าจะเอาหัวใจของเซิ่งเจ๋อเฉิง ไปให้ได้ ตอนนี้ฉันตั้งท้องลูกเขาแล้ว ครอบครัวของเราก็จะ สมบูรณ์แบบมากขึ้น ดังนั้นทำไมฉันจะต้องปล่อยโอกาสให้เธอ มาทำร้ายฉันและลูกในท้องด้วย?

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เสิ่นอีเวยก็รู้ทันความคิดที่อยู่ในใจ ลึกๆของสวี่อันฉิง ในใจของเธอเต็มไปด้วยความโกรธที่อยาก จะฆ่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ให้ตาย

“เสิ่นอีเวย เธอมีสิทธิ์อะไรถึงมั่นใจขนาดนี้? พ่อแม่เธอเสีย ไปเร็ว พี่สาวก็เป็นอัมพาต ผู้ชายของเธอก็ไม่รักเธอ ตกลงแล้ว เธอจะพึ่งพาใคร?”

เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินคำพูดที่โหดร้ายออกมาจากปากของ สวีอันฉิง เพียงชั่วพริบตาเดียวในใจก็เกิดความเครียด คิดไม่ ถึงว่าสวีอันฉิงจะพูดถึงความเจ็บปวดทั้งหมดที่เธอไม่สามารถ รับได้ภายในรวดเดียว เธอจึงโกรธไปทั้งตัว “ตกลงฉันจะพึ่งพา อะไรใครมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย แต่ฉันคิดว่าฉันวาสนาดี กว่าเธอมาตลอดนะ เธอคิดดูนะ พ่อของเธอสวีโก๋วหมิง เพื่อผล ประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะตัดใจเอาเธอเป็น เหยื่อล่อแอบอ้างเป็นเมียน้องของเพิ่งเจ๋อเฉิง เธอมีดีตรงไหน บ้างนะ?”

สีหน้าของสวี่อันฉิงได้เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา กำลังจะอ้า ปากโต้แย้ง แต่กลับถูกเสิ่นอีเวยพูดขัด
“ถ้าเธอคิดว่าฉันน่าสงสาร งั้นฉันว่าเธอน่าสงสารกว่าฉัน

อีก”

ในโลกของการเป็นผู้ใหญ่ พูดว่าคนนึงน่าสงสารน่าจะ เป็นคำพูดที่โหดร้ายที่สุดแล้ว เสิ่นอีเวยที่ดูแล้วจะไม่มีแรงอะไร ไปสู้คน แต่บางครั้งกลับรู้จักการประณาม

สวีอันฉิงที่โกรธเคืองกับคำพูดนั้นอยู่แล้ว รู้สึกว่าในใจถูก แผดเผาไปด้วยไฟ ถ้าไม่ระบายอารมณ์ออกมาจะไม่สบายใจ “เธอ”

“สองท่านที่อยู่ข้างหน้าลดเสียงลงหน่อยได้มั้ยครับ ภรรยาของผมกำลังนอนหลับอยู่ ถ้าเสียงดังอีกผมจะเรียกแอร์ โฮสเตสแล้วนะ”

เบาะแถวที่นั่งของสวี่อันฉิงถูกตบตีเพื่อตักเตือนอย่างแรง ทั้งสองคนหันหน้ากลับ คนที่พูดเมื่อสักครู่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ บนใบหน้าแสดงออกอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก

พวกเธอไม่ได้พูดอะไร เสิ่นอีเวยและสวี่อันฉิงจ้องมองกัน และกัน ในแววตาเต็มไปด้วยการดูถูกและเหยียดหยาม

เสิ่นอีเวยรู้สึกท้อใจนิดหน่อย ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพึ่งถูกสวี่ อันฉิงพูดเยาะเย้ยถากถางแต่เป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าจิตใจตัว เองกำลังค่อยๆเปลี่ยน เมื่อก่อนเธอเป็นคนที่มีมารยาทและมี จรรยาบรรณมาก แต่คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกสวี่อันฉิงโน้มน้าว จนโมโหและทะเลาะเสียงดังกับเธอบนเครื่องบิน

ไม่สมควรเลยจริงๆ เสิ่นอีเวยครุ่นคิดไปพลางใส่ที่ปิดตาไปพลางเพื่อเตรียมตัวที่จะนอน ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ออกไป ทำงานต่างเมืองที่แสนพิเศษ เธอก็ต้องป้องกันสภาวะจิตใจและ สภาวะการนอนหลับที่ดีเหมือนกัน

สองทุ่มห้านาที ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอด เมื่อเสิ่นอีเวย เปิดโทรศัพท์มือถือใจเธอก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอพบว่าบน ฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ

บนเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมง เสิ่นอีเวยไม่ได้หลับแม้แต่นิด เดียว เพราะว่าเธอไม่กล้าหลับ สวีอันฉิงที่เหมือนกับปีศาจร้าย นั่งอยู่ข้างๆเธอ เธอจะหลับลงได้อย่างไร? ดังนั้นเธอระมัดระวัง การเคลื่อนไหวของคนข้างๆตลอดทาง ยังไงพวกเธอทั้งสองก็ อยู่บนชั้นอากาศสูง ถ้าหากสวี่อันฉิงทำอะไรกับเธอขึ้นมาจริงๆ เธอจะแสวงหาความช่วยเหลือใดใดไม่ได้เลย

ถึงแม้ว่าเสิ่นอีเวยไม่ได้มีความคิดที่จะสนใจข้อความของ เพิ่งเจ๋อเฉิงในเรื่องที่บอกให้เธอรายงานความปลอดภัยเลยสัก นิด แต่เมื่อนึกถึงขณะที่ตนเองกับสวี่อันฉิงอยู่บนเครื่องบิน ใน เวลานั้นเต็มไปด้วยการคุมเชิงในการโจมตีกัน เธอจึงเกิดความ รู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง บางที…ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แล้ว ให้เชิ่งเจ๋อเฉิงรับรู้สถานการณ์ของตนเองตลอดเวลาก็เป็น เรื่องที่ดีเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะว่าเธอเชื่อใจเขาจึงอยากที่จะ พึ่งพาเขา แต่เพื่อลูกที่อยู่ในท้อง

เพิ่งเจ๋อเฉิงรับรู้ความเคลื่อนไหวของเสิ่นอีเวยตลอดเวลา สำหรับสวีอันฉิงแล้วอย่างน้อยก็เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง
ดังนั้น เสิ่นอีเวยจึงต่อสายโทรศัพท์หาเซิ่งเจ๋อเฉิงต่อหน้า

สวีอันฉิง

“ฮัลโหล ฉันถึงแล้ว”

* ค่อนข้างเร็ว”

เสิ่นอีเวยไม่ได้แสดงอะไรทางสีหน้า พูดด้วยระดับเสียงที่ สามารถทำให้สวีอันฉิงได้ยิน “อึม ไม่กี่วันต่อจากนี้ฉันจะ รายงานสถานการณ์ต่างๆของฉันตอนอยู่ที่นี่ให้คุณตลอดเวลา ตามที่คุณขอ คุณคอยรับโทรศัพท์นะ”

เพิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกว่าน่าหัวเราะ ในน้ำเสียงของเขาจึงเต็มไป ด้วยการเหน็บแนม “ฉันเพียงแค่ให้เธอโทรหาฉันเมื่อเครื่องบิน ลงจอดแล้ว ไม่ได้ให้เธอรายงานสถานการณ์ตลอดเวลา เธอ สำคัญตัวเองมากไปหน่อยมั้ย?”

ถึงแม้ว่าเสิ่นอีเวยจะฟังออกว่าน้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นมี อารมณ์ของความล้อเล่นอยู่ แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บ ปวด ใช่แล้ว เมื่อก่อนนี้เธอสำคัญตัวเองมากไป เธอนึกว่าในที่ สุดเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ปฏิบัติกับเธอแต่งต่างออกไป แต่ว่าดูจาก ตอนนี้แล้ว เป็นเหมือนแค่เรื่องตลก

เสิ่นอีเวยชำเลืองสวี่อันฉิงที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดเข้าไปใน โทรศัพท์ว่า “คุณก็ไม่ต้องคิดถึงฉันให้มากเกินไป ไม่ถึงห้าวันก็ กลับแล้ว ได้ งั้นฉันวางแล้วนะ”

หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ “ติด” เสิ่นอีเวยก็วางสาย โทรศัพท์ หลังจากนั้นเธอพึ่งสังเกตเห็นว่ามือตัวเองสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองเป็นฝ่ายพูดความรู้สึกที่อบอุ่นนั้นกับเซิ่งเจ๋อเฉิ งออกไป

เซึ่งเจ๋อเฉิงฟังโทรศัพท์ที่มีเสียงวางสายออกมา บน ใบหน้าก็เย็นชาลง ได้ยินเสียงพูดคุยซุบซิบจากข้างหลังออกมา เขาหันหน้ามากวาดตามองในห้องประชุมใหญ่ “พวกคุณว่าง นักหรอ”

แค่ประโยคนี้ ทั้งห้องประชุมก็หนาวเย็นคล้ายกับอุโมงค์

น้ำแข็ง

ประธานผู้เย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็ง ประชุมได้ครึ่งทางก็รับ โทรศัพท์ระหว่างประชุมอย่างหน้าอายต่อสายตาทุกคน ดูแล้ว คนที่โทรเข้ามาต้องเป็นคนที่สำคัญแน่นอน

เพิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ไกลหลายพันไมล์กำลังตำหนิอยู่ในใจ “ผู้

หญิงคนนี้นี่เป็นคนยังไง” ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะมาจากข้างๆ เสิ่นอีเวยไม่ต้องคิดก็

พอรู้ว่าเป็นเสียงของใคร

ในความเป็นจริงแล้วเธอเข้าใจดีว่าตนเองเป็นคนยังไง ความเย่อหยิ่งนี้เป็นคุณสมบัติพิเศษของผู้หญิงอย่างหนึ่ง แม้ แต่เสิ่นอีเวยก็มีเช่นกัน เธอยอมรับ คำพูดเมื่อสักครู่ที่คุยใน โทรศัพท์กับเซิ่งเจ๋อเฉิงจริงๆแล้วตั้งใจที่จะทำให้สวี่อันหนิง โมโห

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อารมณ์ของเสิ่นอีเวยเริ่มดีขึ้น เพราะว่า ถึงจะพูดว่ามาทำงานต่างเมือง แต่จริงๆแล้วไม่มีเรื่องที่ซับซ้อนหรือยากลำบากที่จำเป็นต้องไปทำเลย ถึงแม้ว่าเมืองc จะไม่ได้ ใหญ่เท่าเมืองที่เสิ่นอีเวยอยู่ แต่ว่าก็เจริญมากเช่นกัน ดังนั้นจึง เป็นการเดินทางมาที่ไม่ได้เหนื่อยอย่างที่คิดไว้

เวลาผ่านไปสองวันแล้วเสิ่นอีเวยพึ่งจะรู้ว่า การมาทำงาน ต่างเมืองครั้งนี้จริงๆแล้วไม่เพียงแต่ให้เธอกับสวีอันฉิงมานั่ง ศึกษาและฟังการบรรยายที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบจัดงาน แต่งงาน ในนี้ยังมีการรับเชิญอาจารย์ออกแบบมาหลายท่าน ถือได้ว่าเป็นการสั่งสมประสบการณ์

เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงเลยว่าที่เรียกว่าการมาทำงานต่างเมือง จริงๆแล้วจะสบายขนาดนี้ เวลาผ่านไปเร็วมาก แต่ว่าในใจเธอ ก็ยังไม่ผ่อนคลายจากการที่ต้องระมัดระวังตัวจากสวี่อันฉิง

และเรื่องที่เกินความคาดหมายเป็นอย่างยิ่งก็คือ การเดิน ทางครั้งนี้สวีอันฉิงไม่ได้กระทำการใดๆเลยจริงๆ แต่กลับยิ่ง ทำให้ในใจของเสิ่นอีเวยยิ่งมีความกังวล

หลังจากห้าวันผ่านไป การเดินทางไปทำงานต่างเมืองก็ได้ จบลง ทั้งสองคนก็ออกมาจากเมืองc


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ