นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่ 64 หมี่ย่าปรากฏกายขึ้น



บทที่ 64 หมี่ย่าปรากฏกายขึ้น

หมี่ย่าหัวเราะสีหน้าดูขาวซีดสภาพดูไม่เหมือนพฤติกรรม ที่แสดงออกการเป็นหัวหน้าของคนที่บริษัทเลย : “สัปดาห์ที่ แล้วฉันเลิกกับสามีแล้วยังไม่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก แถมวันนี้ ยังตกงานอีก ฉันไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้วจะกลัวว่าแกจะฟ้องฉัน หรอ?”

เสิ่นอีเวยอึ้งไปชั่วขณะ หล่อนคาดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ ของหมี่ย่าจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ งั้นพูดให้ถูกคือหล่อน หมดอาลัยตายอยากทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ถึงว่า ทำไมเดินมาถึงจุดๆนี้ได้

ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป หล่อนกำลังคิด ว่าหล่อนทำผิดอะไรไปหรือเปล่า หากไม่ใช่หล่อน หมีย่าคงไม่ ถูกไล่ออก หล่อนเป็นผู้หญิงอายุสามสิบกว่าที่สูญเสียทั้ง ครอบครัวและงานไปทั้งคู่ อีกทั้งผลกระทบเรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ หลวงเหมือนกัน หรือว่าตัวฉันเองควรคุยกับหล่อนดีๆก่อนอาจ ทำให้ดีขึ้น

หมีย่าชี้หน้าด่าเสิ่นอีเวย : “ก็เพราะแก! เสิ่นอีเวย!ฉัน

ทำงานไม่เรียบร้อยแต่ฉันแก้มันได้ แกแค่พูดประโยคเดียวก็ไล่ ฉันออก แกมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรวะ!

เสิ่นอีเวยกำลังอ้าปากเพื่ออธิบายบ้าง เชิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ ด้านข้างตึงมือหล่อนไว้ด้านหลังตัวเองเพื่อเป็นการปกป้อง หล่อน ตัวหล่อนถูกดึงจนเซ อีกนิดก็จะยืนไม่อยู่แล้ว ขณะนั้น เอง หล่อนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนั้นที่แผ่ออกมาจากตัวเชิงเจ๋อ บทที่ 64 หมี่ย่าปรากฏกายขึ้น

หมี่ย่าหัวเราะสีหน้าดูขาวซีดสภาพดูไม่เหมือนพฤติกรรม ที่แสดงออกการเป็นหัวหน้าของคนที่บริษัทเลย : “สัปดาห์ที่ แล้วฉันเลิกกับสามีแล้วยังไม่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก แถมวันนี้ ยังตกงานอีก ฉันไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้วจะกลัวว่าแกจะฟ้องฉัน หรอ?”

เสิ่นอีเวยอึ้งไปชั่วขณะ หล่อนคาดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ ของหมี่ย่าจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ งั้นพูดให้ถูกคือหล่อน หมดอาลัยตายอยากทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ถึงว่า ทำไมเดินมาถึงจุดๆนี้ได้

ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป หล่อนกำลังคิด ว่าหล่อนทำผิดอะไรไปหรือเปล่า หากไม่ใช่หล่อน หมีย่าคงไม่ ถูกไล่ออก หล่อนเป็นผู้หญิงอายุสามสิบกว่าที่สูญเสียทั้ง ครอบครัวและงานไปทั้งคู่ อีกทั้งผลกระทบเรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ หลวงเหมือนกัน หรือว่าตัวฉันเองควรคุยกับหล่อนดีๆก่อนอาจ ทำให้ดีขึ้น

หมีย่าชี้หน้าด่าเสิ่นอีเวย : “ก็เพราะแก! เสิ่นอีเวย!ฉัน

ทำงานไม่เรียบร้อยแต่ฉันแก้มันได้ แกแค่พูดประโยคเดียวก็ไล่ ฉันออก แกมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรวะ!

เสิ่นอีเวยกำลังอ้าปากเพื่ออธิบายบ้าง เชิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ ด้านข้างตึงมือหล่อนไว้ด้านหลังตัวเองเพื่อเป็นการปกป้อง หล่อน ตัวหล่อนถูกดึงจนเซ อีกนิดก็จะยืนไม่อยู่แล้ว ขณะนั้น เอง หล่อนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนั้นที่แผ่ออกมาจากตัวเชิงเจ๋อ เฉิงในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกถึงความปลอดภัยในตอนนั้น

ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งเจ๋อเฉิงสัมผัสหล่อนในคืนนี้

น้ำเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงเย็นชาเยือกเย็นไม่ไว้หน้าใคร : “เรื่อง เมื่อตอนกลางวัน ผู้อำนวยการเสิ่นเป็นหัวหน้าของเธอโดยตรง การที่จะบอกว่ามีปัญหาตรงไหนนั้นเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ เธอ ไม่มีอำนาจหรือคุณสมบัติใดที่จะโยนความผิดให้หล่อน ส่วน เรื่องที่มีคำสั่งไล่เธอออกนั้น แน่นอนเลยว่าต้องเป็นฉัน ประธาน บริษัทเซิ่งชื่อเป็นคนพิจารณา ในใจเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมหรือว่า โมโหควรมาลงที่ฉัน แต่ว่า –

ตอนนั้นเพิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมามองหน้าเสิ่นอีเวยในสายตา ของเขาเต็มไปด้วยความต้องการปกป้องหล่อนอย่างแรงกล้า

“ถ้าเธอต้องการที่จะทำร้ายหล่อนอีกหนึ่งเซนติเมตร ถึง เธอเป็นผู้หญิงก็ตามฉันก็จะไม่ออมแรง”

เสิ่นอีเวยเงยหน้ามองเซิ่งเจ๋อเฉิงในใจคิดมากมายหลาย หมื่นตลบ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ทันได้มองความหมายที่อยู่ในดวงตา ของเสิ่นอีเวย

หมี่ย่าขย้ำผมตนเองไปมา นิ้วมือที่สั่นระริกชี้ไปที่เสิ่นอีเว ยอย่างบ้าคลั่ง : “ท่านประธาน ไม่ใช่ว่ารังเกียจผู้หญิงคนนี้มา ตลอดไม่ใช่หรอ? หล่อนมีอะไรดีนัหนาถึงทำให้คุณหลงใหล เข้าไปอยู่ในใจคุณได้? อ้อ ใช่สิ ได้ข่าวว่าหล่อนใช้วิธีการจ้าง คนมารุมโทรมพี่สาวของตัวเองใช่ไหม? คือ เธอช่างเป็นคน โหดร้ายจริงๆ!” เฉิงในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกถึงความปลอดภัยในตอนนั้น

ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งเจ๋อเฉิงสัมผัสหล่อนในคืนนี้

น้ำเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงเย็นชาเยือกเย็นไม่ไว้หน้าใคร : “เรื่อง เมื่อตอนกลางวัน ผู้อำนวยการเสิ่นเป็นหัวหน้าของเธอโดยตรง การที่จะบอกว่ามีปัญหาตรงไหนนั้นเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ เธอ ไม่มีอำนาจหรือคุณสมบัติใดที่จะโยนความผิดให้หล่อน ส่วน เรื่องที่มีคำสั่งไล่เธอออกนั้น แน่นอนเลยว่าต้องเป็นฉัน ประธาน บริษัทเซิ่งชื่อเป็นคนพิจารณา ในใจเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมหรือว่า โมโหควรมาลงที่ฉัน แต่ว่า –

ตอนนั้นเพิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมามองหน้าเสิ่นอีเวยในสายตา ของเขาเต็มไปด้วยความต้องการปกป้องหล่อนอย่างแรงกล้า

“ถ้าเธอต้องการที่จะทำร้ายหล่อนอีกหนึ่งเซนติเมตร ถึง เธอเป็นผู้หญิงก็ตามฉันก็จะไม่ออมแรง”

เสิ่นอีเวยเงยหน้ามองเซิ่งเจ๋อเฉิงในใจคิดมากมายหลาย หมื่นตลบ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ทันได้มองความหมายที่อยู่ในดวงตา ของเสิ่นอีเวย

หมี่ย่าขย้ำผมตนเองไปมา นิ้วมือที่สั่นระริกชี้ไปที่เสิ่นอีเว ยอย่างบ้าคลั่ง : “ท่านประธาน ไม่ใช่ว่ารังเกียจผู้หญิงคนนี้มา ตลอดไม่ใช่หรอ? หล่อนมีอะไรดีนัหนาถึงทำให้คุณหลงใหล เข้าไปอยู่ในใจคุณได้? อ้อ ใช่สิ ได้ข่าวว่าหล่อนใช้วิธีการจ้าง คนมารุมโทรมพี่สาวของตัวเองใช่ไหม? คือ เธอช่างเป็นคน โหดร้ายจริงๆ!” มือเงินอีเวยเริ่มออกอาการสันเล็กน้อย สีหน้าเชิงเจ๋อเฉิงก็ เปลี่ยนสี เดิมที่เสื่นอีเวยคิดว่าเขาคงลงมือกับหมีย่าเองแบบนั้น ถึงได้จับแขนของเขาไว้แน่น

เซึ่งเจ๋อเฉิงก้มหัวมองเสิ่นอีเวยครั้งเดียว สายตานั้นปกติ ธรรมดา ดูไม่ออกว่าอารมณ์แบบไหนกัน สักครู่ เขาสั่งหลินอี้ : “จับพวกมันทั้งหมดไว้ แล้วไปเจอกันที่ศาล”

หลินอี้ยักหน้าและสั่งให้พวกบอร์ดี้การ์ดเริ่มจัดการ เสียงด่าทอของหมี่ย่าดังอยู่ด้านหลัง

เพิ่งเจ๋อเฉิงพาตัวเสิ่นอีเวยเดินออกมาไปยังด้านหน้า เพราะว่าเขาไม่อยากให้เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงนั้นเลยเอามือทั้ง สองข้างปิดหูหล่อนไว้อย่างเบามือ เสิ่นอีเวยอึ้งสักพักแต่จมูก เริ่มแสบขึ้นมานิดๆ

ก่อนขึ้นรถเพิ่งเจ๋อเฉิงตรวจดูตัวเสิ่นอีเวยอย่างละเอียด รอบคอบอีกครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีบาดแผลที่ใหญ่จนเห็นชัดมาก นักจึงได้เปิดประตูรถ

เสิ่นอีเวยคิดมาตลอดว่าตัวเองใจเย็นลงแต่ว่าตั้งแต่ที่ปิด ประตูรถ ในตอนนั้น หล่อนรู้สึกได้ถึงการสั่นไปหมดทั้งตัว

โดยปกติเชิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่ขับรถเร็วมาก แต่วันนี้กลับ ผิดปกติกว่าวันอื่น รถค่อยๆขับไปเรื่อยๆ ไฟข้างทางค่อยๆหาย แวบไปแล้วต่ออย่างเสมอกัน ตลอดการเดินทางเสิ่นอีเวยมัก เงียบตลอด

เซึ่งเจอฉิงหันกลับไปมองหล่อนสักครู่ สีหน้าของเสิ่นอีเวย มือเงินอีเวยเริ่มออกอาการสันเล็กน้อย สีหน้าเชิงเจ๋อเฉิงก็ เปลี่ยนสี เดิมที่เสื่นอีเวยคิดว่าเขาคงลงมือกับหมีย่าเองแบบนั้น ถึงได้จับแขนของเขาไว้แน่น

เซึ่งเจ๋อเฉิงก้มหัวมองเสิ่นอีเวยครั้งเดียว สายตานั้นปกติ ธรรมดา ดูไม่ออกว่าอารมณ์แบบไหนกัน สักครู่ เขาสั่งหลินอี้ : “จับพวกมันทั้งหมดไว้ แล้วไปเจอกันที่ศาล”

หลินอี้ยักหน้าและสั่งให้พวกบอร์ดี้การ์ดเริ่มจัดการ เสียงด่าทอของหมี่ย่าดังอยู่ด้านหลัง

เพิ่งเจ๋อเฉิงพาตัวเสิ่นอีเวยเดินออกมาไปยังด้านหน้า เพราะว่าเขาไม่อยากให้เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงนั้นเลยเอามือทั้ง สองข้างปิดหูหล่อนไว้อย่างเบามือ เสิ่นอีเวยอึ้งสักพักแต่จมูก เริ่มแสบขึ้นมานิดๆ

ก่อนขึ้นรถเพิ่งเจ๋อเฉิงตรวจดูตัวเสิ่นอีเวยอย่างละเอียด รอบคอบอีกครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีบาดแผลที่ใหญ่จนเห็นชัดมาก นักจึงได้เปิดประตูรถ

เสิ่นอีเวยคิดมาตลอดว่าตัวเองใจเย็นลงแต่ว่าตั้งแต่ที่ปิด ประตูรถ ในตอนนั้น หล่อนรู้สึกได้ถึงการสั่นไปหมดทั้งตัว

โดยปกติเชิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่ขับรถเร็วมาก แต่วันนี้กลับ ผิดปกติกว่าวันอื่น รถค่อยๆขับไปเรื่อยๆ ไฟข้างทางค่อยๆหาย แวบไปแล้วต่ออย่างเสมอกัน ตลอดการเดินทางเสิ่นอีเวยมัก เงียบตลอด

เซึ่งเจอฉิงหันกลับไปมองหล่อนสักครู่ สีหน้าของเสิ่นอีเวย ขาวซีดไปทั้งหน้า สายตาล่องลอย เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ในคืนนี้ทำให้หล่อนตกใจอย่างมาก น้ำเสียงเขามีการเยาะเย้ย แบบปกติของเขาแต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มที่คาดเดาความรู้สึก นั้นไม่ได้ : “กลัวแล้วหรอ? ปกติเธอก็ทำถึงพริกถึงขิงแบบนั้น กับฉันไม่ใช่หรอ?”

ความคิดวุ่นวายต่างๆนานาของเสิ่นอีเวยก็ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงดี งมันกลับมา หล่อนหัวมองไปยังเขาแล้วกรอกตาหยิ่งๆ ไม่นาน นักหล่อนถามเขา : “ฉันหิวน้ำ มีน้ำหรือเปล่า?”

ซึ่งเจ๋อเฉิงถึงกับสำลัก จ้องหล่อนสักพักแล้วมองไปยังที่ เท้าตรงนั้นมีกล่องที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมา เสิ่นอีเวยงอตัวลงแล้ว หยิบน้ำขึ้นมาหนึ่งขวด ดื่มเข้าไปหลายอีกอยู่เหมือนกันถึงได้ รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“พูดมาได้ ผู้ชายพวกนั้นเป็นคนเลวถ้าเป็นคุณ คุณไม่กลัว หรือไง!” ความกว้างในรถไม่ได้มากนัก อยู่ดีๆก็มีเสียงดังขึ้นมา อย่างไม่มีปีมีขลุ่ย เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกว่าแก้วหูของเขาเหมือนจะถูก เธอทำลายจนแตกยับไม่มีชิ้นดี

เพิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว : “เธอเบาเสียงหน่อย!”

เสิ่นอีเวยแลบลิ้นให้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หล่อนไม่อยาก บังคับตัวเองแค่อยากจะแสดงวิธีที่เป็นธรรมชาติของตัวหล่อน เองในการสื่อสารกับเขา และไม่ได้คำนึงถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะ เกลียดเธอเพราะเรื่องแบบนี้หรือเปล่า

ผู้ชายที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่แยแส ขาวซีดไปทั้งหน้า สายตาล่องลอย เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ในคืนนี้ทำให้หล่อนตกใจอย่างมาก น้ำเสียงเขามีการเยาะเย้ย แบบปกติของเขาแต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มที่คาดเดาความรู้สึก นั้นไม่ได้ : “กลัวแล้วหรอ? ปกติเธอก็ทำถึงพริกถึงขิงแบบนั้น กับฉันไม่ใช่หรอ?”

ความคิดวุ่นวายต่างๆนานาของเสิ่นอีเวยก็ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงดี งมันกลับมา หล่อนหัวมองไปยังเขาแล้วกรอกตาหยิ่งๆ ไม่นาน นักหล่อนถามเขา : “ฉันหิวน้ำ มีน้ำหรือเปล่า?”

ซึ่งเจ๋อเฉิงถึงกับสำลัก จ้องหล่อนสักพักแล้วมองไปยังที่ เท้าตรงนั้นมีกล่องที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมา เสิ่นอีเวยงอตัวลงแล้ว หยิบน้ำขึ้นมาหนึ่งขวด ดื่มเข้าไปหลายอีกอยู่เหมือนกันถึงได้ รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“พูดมาได้ ผู้ชายพวกนั้นเป็นคนเลวถ้าเป็นคุณ คุณไม่กลัว หรือไง!” ความกว้างในรถไม่ได้มากนัก อยู่ดีๆก็มีเสียงดังขึ้นมา อย่างไม่มีปีมีขลุ่ย เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกว่าแก้วหูของเขาเหมือนจะถูก เธอทำลายจนแตกยับไม่มีชิ้นดี

เพิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว : “เธอเบาเสียงหน่อย!”

เสิ่นอีเวยแลบลิ้นให้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หล่อนไม่อยาก บังคับตัวเองแค่อยากจะแสดงวิธีที่เป็นธรรมชาติของตัวหล่อน เองในการสื่อสารกับเขา และไม่ได้คำนึงถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะ เกลียดเธอเพราะเรื่องแบบนี้หรือเปล่า

ผู้ชายที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่แยแส สักนิด: “ฉัน? ฉันจะไม่ยุ่งกับคนพวกนี้อยู่แล้ว”

เสิ่นอีเวยเบ้ปากแล้วเงียบไปสักพักจนกลับมาถามได้ตาม ปกติ : “คุณลองพูดมาหน่อยสิว่าที่ฉันทำกับหมี่ย่าที่บริษัทฉัน

ทำพลาดไปแล้วใช่ไหม?”

เพิ่งเจ๋อเฉิงมองเธอด้วยหางตา : “ทำไม มาเสียใจในตอน

นี้แล้วหรอ?”

เสิ่นอีเวยไม่ได้ตอบอะไร

“เมื่อกี้ฉันก็พูดจนชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วนะว่า ฉันเป็นคนสั่ง ไล่ออกหล่อนเองไม่เกี่ยวกับเธอเลย เธอยังไม่แก้นิสัยขี้ใจอ่อน ละก็มันจะเป็นจุดด้อยของเธอ ต่อไปเธอก็จะมีเดือดร้อนให้เสีย เปรียบอยู่เรื่อยไป”

เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดอะไร เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ตรงหน้าหล่อน กำลังสอนหล่อนอยู่ เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ เสิ่นอีเวย เคยชินกับการที่เขาจะระเบิดอารมณ์หรือการไม่มีความอดทน ใดๆ แล้วยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้หล่อนเลยไม่รู้ว่าจะ แสดงออกยังไงดี

เซึ่งเจ๋อเฉิงขับรถมาจนจอดสนิท ทั้งคู่หนึ่งหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนเดินตามหลังไปยังห้องรับแขก เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือเปิดไฟ ในห้องรับแขกตามปกติทว่าตอนที่เขากันหลังกลับไปหาเสิ่ นอีเวย ดวงตาเขาแสดงออกถึงความตกใจ ใบหน้าเสิ่นอีเวย ไม่มีสี

ตลอดการเดินทางการมองเห็นในรถค่อนข้างสลัวเลยไม่ สักนิด: “ฉัน? ฉันจะไม่ยุ่งกับคนพวกนี้อยู่แล้ว”

เสิ่นอีเวยเบ้ปากแล้วเงียบไปสักพักจนกลับมาถามได้ตาม ปกติ : “คุณลองพูดมาหน่อยสิว่าที่ฉันทำกับหมี่ย่าที่บริษัทฉัน

ทำพลาดไปแล้วใช่ไหม?”

เพิ่งเจ๋อเฉิงมองเธอด้วยหางตา : “ทำไม มาเสียใจในตอน

นี้แล้วหรอ?”

เสิ่นอีเวยไม่ได้ตอบอะไร

“เมื่อกี้ฉันก็พูดจนชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วนะว่า ฉันเป็นคนสั่ง ไล่ออกหล่อนเองไม่เกี่ยวกับเธอเลย เธอยังไม่แก้นิสัยขี้ใจอ่อน ละก็มันจะเป็นจุดด้อยของเธอ ต่อไปเธอก็จะมีเดือดร้อนให้เสีย เปรียบอยู่เรื่อยไป”

เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดอะไร เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ตรงหน้าหล่อน กำลังสอนหล่อนอยู่ เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ เสิ่นอีเวย เคยชินกับการที่เขาจะระเบิดอารมณ์หรือการไม่มีความอดทน ใดๆ แล้วยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้หล่อนเลยไม่รู้ว่าจะ แสดงออกยังไงดี

เซึ่งเจ๋อเฉิงขับรถมาจนจอดสนิท ทั้งคู่หนึ่งหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนเดินตามหลังไปยังห้องรับแขก เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือเปิดไฟ ในห้องรับแขกตามปกติทว่าตอนที่เขากันหลังกลับไปหาเสิ่ นอีเวย ดวงตาเขาแสดงออกถึงความตกใจ ใบหน้าเสิ่นอีเวย ไม่มีสี

ตลอดการเดินทางการมองเห็นในรถค่อนข้างสลัวเลยไม่ ได้เอะใจถึงเรื่องใบหน้าและแผลที่แขน ตอนนี้ไฟส่องสว่างแล้ว ถึงได้พบว่าบริเวณลำคอและใบหน้าของเสิ่นอีเวยมีรอยแผลขีด ช่วนเล็กบ้างใหญ่บ้างเต็มไปหมดเป็นรอยแผลจากการที่ผู้ชาย คนนั้นทุบกระจกแล้วเศษกระจกเหล่านั้นหล่นใส่จนเป็นรอย

เอาเข้าจริงรอยแผลก็ไม่ได้ลึกอะไรมากนักแต่ด้วยผิวที่ ชาวเนียนของเสิ่นอีเวยเลยทำให้เลือดที่หยุดแล้วที่ปากแผลนั้น มันยิ่งทำให้ตกใจ

เซึ่งเจ๋อเฉิงมองใบหน้าของเสิ่นอีเวยในใจเริ่มก่อนตัว ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขามองหล่อนที่เฉยชาแล้วพูดออก ไป : “เธอนี่ไม่รู้จักเจ็บบ้างหรอ? ดูไม่ออกเลยว่าเธอจะใจกล้า

มาก”

เสิ่นอีเวยเบะปากอย่างเยาะๆ หล่อนหยิบกระจกที่พก เดี๋ยวก็ดีขึ้น” พูดจบหล่อนก็มองไปยังห้องด้านบน

ติดตัวตลอดขึ้นมาส่อง : “ก็แค่แผลเล็กๆ ฉันทายาแปบเดียว

กำลังก้าวออกไปได้ก้าวเดียว เสียงเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิง ที่มาจากด้านหลังดังขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น”

เสิ่นอีเวยหยุดชะงักหันหัวกลับมองอย่างสงสัยในตัวเขา :

“อะไรอีกล่ะ?”

“แผลที่อยู่บนหน้านี่ไม่คิดจะจัดการสักหน่อยหรอ? เธอไม่ เตรียมเรียกคนให้หยิบกล่องยามาให้ที่

กลัวว่าจะติดเชื้อหรอ? ” พอเชิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบประโยคนี้ก็ ได้เอะใจถึงเรื่องใบหน้าและแผลที่แขน ตอนนี้ไฟส่องสว่างแล้ว ถึงได้พบว่าบริเวณลำคอและใบหน้าของเสิ่นอีเวยมีรอยแผลขีด ช่วนเล็กบ้างใหญ่บ้างเต็มไปหมดเป็นรอยแผลจากการที่ผู้ชาย คนนั้นทุบกระจกแล้วเศษกระจกเหล่านั้นหล่นใส่จนเป็นรอย

เอาเข้าจริงรอยแผลก็ไม่ได้ลึกอะไรมากนักแต่ด้วยผิวที่ ชาวเนียนของเสิ่นอีเวยเลยทำให้เลือดที่หยุดแล้วที่ปากแผลนั้น มันยิ่งทำให้ตกใจ

เซึ่งเจ๋อเฉิงมองใบหน้าของเสิ่นอีเวยในใจเริ่มก่อนตัว ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขามองหล่อนที่เฉยชาแล้วพูดออก ไป : “เธอนี่ไม่รู้จักเจ็บบ้างหรอ? ดูไม่ออกเลยว่าเธอจะใจกล้า

มาก”

เสิ่นอีเวยเบะปากอย่างเยาะๆ หล่อนหยิบกระจกที่พก เดี๋ยวก็ดีขึ้น” พูดจบหล่อนก็มองไปยังห้องด้านบน

ติดตัวตลอดขึ้นมาส่อง : “ก็แค่แผลเล็กๆ ฉันทายาแปบเดียว

กำลังก้าวออกไปได้ก้าวเดียว เสียงเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิง ที่มาจากด้านหลังดังขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น”

เสิ่นอีเวยหยุดชะงักหันหัวกลับมองอย่างสงสัยในตัวเขา :

“อะไรอีกล่ะ?”

“แผลที่อยู่บนหน้านี่ไม่คิดจะจัดการสักหน่อยหรอ? เธอไม่ เตรียมเรียกคนให้หยิบกล่องยามาให้ที่

กลัวว่าจะติดเชื้อหรอ? ” พอเชิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบประโยคนี้ก็


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ