นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่ 50 ไปออกงานกับฉัน



บทที่ 50 ไปออกงานกับฉัน

เสิ่นอีเวยรู้สึกประหลาดใจเพราะช่วงนี้เจ๋อเฉิงกลับ

บ้านบ่อยมากขึ้น

ห้องนอนหลักบนตึกแบ่งออกเป็นสองห้องนอนย่อย ห้องนี้ เป็นห้องของเสิ่นอีเวย ห้องของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ข้างๆถัดไป แต่ดู แล้วเหมือนว่าเขาไม่คิดจะกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองเลย

คิดเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่เจอกันกับสวี่อันฉิงแล้วอารมณ์ ยิ่งไม่ค่อยดี เลยไม่ได้สนใจเซึ่งเจ๋อเฉิงเลยได้แต่อ่านหนังสือ ของตัวเองต่อไป

ด้านเพิ่งมาก เขาว่าเสิ่นอีเวยไม่ได้ออกวางไว้บนเก้าอี้ได้แสดงอาการ

ไม่นาน เสียงดังมาจากข้างๆกระทบหูอีเวย แล้ว ฉันอยากกินข้าวข้าวอบซี่โครงหมู

เสิ่นอีเวยมือที่กำลังเปิดหนังสืออยู่หยุดนิ่ง หล่อนนึกว่า หล่อนฟังผิด เพราะว่าเสียงของเจ๋อเฉิงเป็นน้ำเสียงอ้อน เบาๆ หล่อนถามกลับ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”

เพิ่งเจ๋อเฉิงอารมณ์ดีอย่างผิดแปลกไปพูดอีกรอบ แล้ว ฉันอยากกินข้าวอบซี่โครงหมู”

ณ เวลานี้ เสิ่นอีเวยอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันเลยว่าคงลงไปทำกับข้าวที่ห้องครัวให้เขาไม่ได้ “ห้องครัวมีของกิน ไปหากินเอาเอง”

“เมื่อกี้ผมหาแล้วไม่มีข้าวอบชี่โครงหมู” น้ำเสียงของ ผู้ชายตัวโตที่ดื้อดึง แต่ว่าเสิ่นอีเวยฟังแล้วมันอีดอัดใจ เพราะ ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยทำแบบนี้และใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเธอมา ตั้งแต่แรก

“วันนี้ฉันไม่ได้ทำข้าวอบซี่โครงหมู หากคุณหิวจริงๆ ให้ ป้าน้ำทำอะไรให้คุณกิน” เสิ่นอีเวยแทบไม่ได้เงยหน้ามอง

เพิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มโมโหแล้วตั้งแต่เขาเข้ามาในห้อง เสี่ นอีเวยแทบไม่ได้สนใจเขาเลย น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้น “เสิ่นอีเวย นี่ คือคำสั่ง ลงไปทำข้าวอบซี่โครงหมูให้ฉันเดี๋ยวนี้”

เสิ่นอีเวยได้ยินคำว่า “นี่คือคำสั่ง” ตัวหล่อนเริ่มมีน้ำโห แล้ว “หน้าที่อะไร?”

สายตาเซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มทอประกายความอันตราย “ไหนเธอ ลองพูดใหม่อีกรอบสิ?”

เสิ่นอีเวยนึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่สวี่อันฉิงมาบอกว่า ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาฯคนสนิทส่วนตัว แล้วยังคอย ปรนนิบัติทั้งเรื่องนวดไหล่ให้ สมองของหล่อนเกิดปะทุขึ้นมา หล่อนกระแนะกระแหนเซิ่งเจ๋อเฉิง “คุณไม่ใช่ว่ามีเลขาฯส่วนตัว คุณสวี่ไม่ใช่หรอ? คุณก็เชิญหล่อนมาที่บ้านมาทำข้าวอบ ซี่โครงหมูให้คุณกินเรื่องมันก็จบแล้ว?”

เซึ่งเจ๋อเฉิงอึ้งไปสักพัก เพราะเขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เสี่ นอีเวยพูดและยังถามกลับอย่างสงสัย “เลขาฯส่วนตัวอะไร?”
กำลังคิดว่าเพิ่งทำตัวไม่รู้ไม่ยอมพูดเรื่องนี้ออกมาตรงๆเลยพยายามมาเลยอยากพูด

แต่ว่าไม่เป็นอย่างนั้นเจ๋อเฉิงไม่ยอมปล่อยผ่านไป

“เธอรีบพูดเรื่องที่พูดออกมาเมื่อให้มัน ชัดเจน!

เรื่องทะเลาะกันมาจนถึงนี้แล้วหนังสือก็อ่านต่อไม่ไหว แล้วด้วย ใจของเธอมันยุ่งร้อนใจมาก อยากลงไปที่สวนข้าง ล่างเดินผ่อนใจบ้าง ตอนเดินผ่านเพิ่งกลับถูกเขาดึงมือ ไว้แน่น

“เมื่อกี้ที่ฉันพูดเธอไม่ได้ยินชัดเฉิงดูได้ไม่ได้ เขาโมโหจริงๆแล้ว เขากลับมาเป็นอยู่ดีอยากโมโหก็โมโหอีกแล้ว

“ได้ คุณอยากให้ฉันอธิบายให้ชัดเจนแจ่มแจ้งใช่ไหม?สีหน้าของเสิ่นก็ทั้งทั้ง

วันนี้ตอนกลางวันไปเดินเที่ยวคนเดียวแถวร้านชุด แต่งงานคุณรู้ไหมว่าฉันเจอใครมาที่คุณเพิ่งรับเข้าทำงานได้ไม่นานนี้ๆว่าหล่อนจะเก่งได้ทำงานวัน ตำแหน่งให้เป็นคนสนิทไปแล้วมีผู้ช่วยพิเศษแล้วไม่ใช่หรอผู้หญิงมาทำแทนถึงจะทำได้ใช่ไหม ? เช่น. พวกนวดใหล่ นวด ขาอะไร?”

อารมณ์โมโหเมื่อครู่นี้ของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้รุนแรงเหมือน เมื่อครู่ แต่ว่าการให้ความสำคัญของผู้ชายและผู้หญิงนั้นไม่ เหมือนกัน สิ่งที่เขาจับประเด็นได้คือสิ่งที่เสิ่นอีเวยกำลังพูดอะไร ที่มันพลาดไป

“วันนี้ตอนเช้าไหนคุณบอกว่าจะไปดูการออกแบบรูปภาพ ที่บริษัทไง? แล้วทำไมถึงไปที่ร้านชุดแต่งงานได้ล่ะ ? เสิ่นอีเวย ใครช่างกล้าให้เธอโกหกฉันเนี่ย”

ใจเสิ่นอีเวยเริ่มตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อสักครู่อารมณ์ตื่นเต้นไป หน่อย ใจร้อนไปนิดเลยไม่ทันคิดอะไรมีอะไรก็พูดออกจากปาก ไปตรงๆ แต่ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงใช้สถานการณ์หรือสิทธิอะไรมาว่าตัว หล่อนหรอ?

“ฉันไปที่นั่นเพราะมีเรื่องของตัวเองนิดนหน่อย คุณมีสิทธิ อะไรมายุ่งวุ่นวายกับฉัน?”

สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจากเดิมที่ปะทุอยู่แล้วเกิดก่อความ ร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ ทำอย่างกับว่าจะกินเสิ่นอีเวยเข้าไปให้ได้ “ได้ งั้นฉันถามเธอ สวีอันฉิงเป็นคนบอกกับเธอด้วยตัวเองใช่ ไหมว่าหล่อนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาฯส่วนตัว?”

เสิ่นอีเวยยิ้มแห้งๆ “ไม่ใช่งั้นหรอ? บนโลกใบนี้ใครจะมา บังคับท่านประธานเซิ่งได้หรอ?”

เพิ่งอีเวยมองตรงๆเข้าไปในสายตาของเสิ่นอีเวย เขานิ่งคิดอยู่นานเลยเอ่ยขึ้นมา “สวีอันฉิงพูดออกมาไม่เป็นความจริง ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นจริงๆ”

เสิ่นอีเวยเพราะหล่อนเองก็ไม่เคยคิดว่าคนอย่าง เจ๋อเฉิงจะมาอธิบายให้หล่อนฟัง แต่ว่าคิดถึงใบหน้าที่ โอ้อวดของอันฉิงในวันนี้ยิ่งบวกกับที่เซิ่งเจ๋อเฉิงอนุมัติให้ หล่อนเข้าไปทำงานในบริษัทได้อีก แล้วมาบอกความ สัมพันธ์ระหว่างสองคนนั่นไม่มีอะไรหล่ะก็ เธอไม่มีวันเชื่อแน่ๆ

แล้วยิ่งเผชิญหน้ากับเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ประนีประนอมแบบนี้เสิ่นอีเสยรู้สึกกลัวอย่างตกใจ ตอนนี้เองเพราะหล่อนกลัว กลัวว่าจะเหมือนตอนเปลี่ยนไปทั้งหมดแล้วแต่หลังจากที่ดื่มเหล้าปากของเขาเอาแต่พร่ำเรียกแต่ชื่อของเสิ่นหุ้ย

ช่วงเวลาที่ต้องการนั้นถึงได้รับรู้เข้าใจตัวเองว่าทุกอย่าง ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเองเป็นได้แค่เพียงตัวแทนที่ ตลกที่สุดเท่านั้นเอง

เสิ่นอีเวยใจนิ่งลง “ฉันไม่ต้องการให้ท่านประธานเชิ่งมา อธิบาย อยู่ข้างนอกคุณจะมีผู้หญิงกี่คนมันไม่เกี่ยวกับฉัน”

เสิ่นอีเวยพยายามพูดปกป้องตัวเองไว้แต่กลับเป็นคำพูดที่ ไม่น่าฟังหลุดออกมาจากปากหล่อน

คุณมีสิทธิอะไรถึงได้ใช้ความสามารถของคุณมาทำร้าย ฉัน คุณมีสิทธิอะไร?

อย่าพูดเลย ท่านประธานเพิ่งยังมั่วอยู่ข้างนอกบ้านได้ฉันก็ทำได้ เราต่างยุติธรรมต่อกัน”

หลังจากที่อีเวยพูดประโยคนี้จบ อารมณ์โกรธของเจ๋อเฉิงถึงกับระเบิดอย่างที่สุด

เจ๋อเฉิงจับหัวไหล่ของเสิ่นอีเวยแน่น ไม่ผิด เขา อยากให้ผู้หญิงที่พูดมั่วๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขารู้สึกเจ็บบ้าง แต่ อีเวยกลับพยายามอดทันอดกลั้นกัดฟันสู้เอาไว้ ไม่มีแสดงออกอ่อนแอใดๆ

ที่เจ๋อเฉิงคิดจะลงมือให้หนักกว่าเดิมอีก แต่เขารับ รู้ความรู้สึกว่าเมื่อเขามองดวงตาคู่นั้นที่มีแต่เจ็บปวดของ เสิ่นอีเวย ใจเขายังรับสัมผัสที่อ่อนโยนนี้ได้ ความไม่คุ้นเคยเพราะว่าตั้งแต่ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ความรู้สึกนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่

แต่ว่าก็ไม่กล้าตัดสินใจเพราะว่าผู้หญิงคนนี้เคย ทำร้ายเขา เขาเกลียดเธอ และตอนนี้เธอก็เกลียดเขาเหมือนกัน

แต่ดูเหมือนมีพลังงานลึกลับบางอย่างไม่รู้ว่าจากไหน เหมือนว่าโชคชะตากำลังยื่นมือมาผลักให้เขาเดินต่อไปทางนี้ ความเชื่อที่อยู่ในใจนี้มันสะท้อนและอารมณ์โกรธค่อยๆ ลดน้อย

อีเวยเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงคิดว่าความเจ็บปวดที่ไหล่ๆผ่อนคลายลงเรื่อยๆ และก็ได้ ยินเสียงเรียบปกติของแทน “พรุ่งนี้มีงานเลี้ยง ไป ออกงานด้วยกัน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ