นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่447หวาดกลัวว่าจะไม่เห็นหน้าเขาอีกครั้ง



บทที่447หวาดกลัวว่าจะไม่เห็นหน้าเขาอีกครั้ง

บทที่ 447 หวาดกลัวว่าจะไม่เห็นหน้าเขาอีกครั้ง

เขาโบกมือสะบัดไปมา สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องพวกนี้มันเรื่องขี้ปะติ้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ : แล้วแต่ ผมทำตามจุดประสงค์ของผมเรียบร้อยแล้ว

เสิ่นอีเวยถึงกับตกตะลึงพร้อมถามกลับ : “จุดประสงค์ อะไร?”

หานฉีเฟิงเดินสาวเท้ามายังบริเวณโต๊ะข้างๆเตียงนอน แล้วเอื้อมมือออกมาหยิบบุหรี่กับไฟแช็กที่วางอยู่บนโต๊ะ จาก นั้นก็จุดบุหรี่แล้วก้มศีรษะลงเพื่อคีบบุหรี่ใส่ปาก อยู่ดีๆก็ทำท่า ทางเหมือนเป็นพวกนักเลงไปซะงั้น

เสิ่นอีเวยมองหานนี้เพิ่งอย่างเงียบๆเพื่อรอคอยให้เขา อธิบายให้เธอฟัง

หานฉีเฟิง ใช้คางชี้ไปทางกระจกในห้องน้ำแล้วเอ่ยขึ้นมา ว่า : “คุณไปส่องกระจกดูก็จะรู้แล้วนี่?”

หลังจากเขาพูดประโยคนี้จบ ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกว่ามีลาง สังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอรีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ
ช่วงเวลาที่เธอเห็นตัวเองในกระจกยามนั้น คำด่าทอเสียด เสียเทเสียติดอยู่ปากแล้ว แต่เธอกลัวเหลือเกินว่าบางทีด้าน นอกประตูนั้นจะมีคนคอยแอบฟังอยู่อีก เพราะฉะนั้นคำด่าทอ ต่างๆนานาที่เธอนั้น ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ก่อน

เธอเห็นภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกคือ ลำคอที่เรียว งามขาวเกลี้ยงเกลาของเธอนั้นกลับปรากฏรอยคิสมาร์กทั้ง รอยเล็กรอยใหญ่เต็มไปหมดทั่วทั้งลำคอแถมยังให้ความรู้สึก อุ่นๆจากรอยที่เพิ่งปรากฏขึ้นมา

มันคือ “ผลงานของหานนี้เพิ่ง

หลังจากที่เสิ่นอีเวยเดินออกจากห้องน้ำ เธอก็ใช้เสียงทุ้ม ถามเขากลับ: “หานนี้เพิ่งไอ้คนทุเรศ ทำไมถึงต้องแบบนี้ ด้วยห้า?”

หานฉีเฟิงพ่นควันสีขาวออกมาจากปากจนมองใบหน้าที่ อยู่ด้านหลังเขาไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร ในยามนั่นเงินอีเวย รู้สึกใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ เพราะว่า

เพิ่งเจ๋อเฉิงก็เคยทำกับหล่อนแบบนี้ต่อหน้าหล่อนเช่นกัน เขาจุดบุหรี่จากนั้นก็ค่อยๆสูดมันเข้าปอดแล้วก็พ่นควันออกมา ต่อหน้าเธอเช่นกัน ทุกอย่างที่เขากำลังทำอยู่นั้นมันเหมือนกับ ไม่ค่อยเป็นไปตามความจริงสักเท่าไหร่

อยู่ดีๆก็มีชื่อเพิ่งเจ๋อเฉิงโผล่ขึ้นมาในสมองแทนขนาดตัว เธอเองยังตกใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ทำไมตัวเธอเองถึงอยู่ดีๆไปนึกถึงชื่อเขาคนนั้นขึ้นมาได้ นะ? แถมยังในใจกลับมีความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอีก

ในยามค่ำคืนที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักแถมไม่มีหนทาง ร้องขอความช่วยเหลือได้ ในหุบเขาที่มืดมิดอีกทั้งยังเป็นแหล่ง ซ่องสุมอโคจร ท่ามกลางผู้คนที่หิวกระหายเลือดอย่างรุนแรง เธอกลับคิดถึงเขาเป็นคนแรก เพิ่งเจ๋อเฉิง

เดิมที่เธอคิดว่าความรู้สึกที่อยู่ในใจนี้จะค่อยๆหายไป เรื่อยๆ ทว่าก่อนและหลังจากการพูดทุกครั้งต่างติดอยู่ที่ริม ฝีปากอยู่ตลอด ราวกับสายน้ำที่สามารถทลายทุกอย่างและ ไม่มีทางสิ้นสุดลง

ในยามนั้น เสิ่นอีเลยรู้สึกกระวนกระวายใจ พอนานเข้าจน ได้สติกลับมา เธอกลับพบว่าความคิดของตัวเองนั่นแหละที่มัน ทำให้เธอตกใจ เพราะมีอยู่แวบหนึ่งเมื่อครู่นี้ สิ่งที่ในใจเธอคิด อยู่ก็คือ——

หากชั่วชีวิตนี้ไม่ได้เจอผู้ชายคนนั้นอีกแล้วจะทำยังไงดี?

เสิ่นอีเวยคิดถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งขึ้นมาในเวลานี้ เรื่อง The Truman Show) ในภาพยนตร์เรื่องนั้นมีคำพูดที่กิน ใจอยู่คำพูดหนึ่ง : “หากฉันไม่สามารถพบเจอคุณได้อีก ขอให้ คุณอยู่รอดปลอดภัยทั้งยามเช้า ยามเที่ยงวัน และยามค่ำคืน

ทว่าเสิ่นอีเวยรู้ตัวเองดีว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะว่าเธอไม่ เต็มใจที่ยอมรับ
เหตุผลที่เธอมาภูเขาจิ๋วเหมิง ในครั้งนี้ก็เพราะเธอเชื่อใน การขอพรจากพระมาโดยตลอด ทว่าตัวเองกลับไม่ได้กลับไป บอกค่าตอบของตัวเองที่มีให้เขาเลย แถมต้องมาติดแหง็กอยู่ ที่นี่หายตัวไปจากที่นี่ก็ไม่ได้

เธอต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้เพื่อไปพบเขาคนนั้น

ความคิดเรื่อยเปื่อยของเสิ่นอีเวยถูกเสียงหานนี้เพิ่งดึง เรียกกลับมาแทน : “เพราะฉันประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเธอเป็น ผู้หญิงของฉัน ชายหญิงต่างโสดด้วยกันทั้งคู่แถมอยู่ห้องพัก เดียวกันอีก อีกอย่างฉันดื่มเหล้าเข้าไปอีก ถ้ามีเรื่องอื่นเกิดขึ้น เธอไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ควรจะเกิดขึ้นหรอ? ฉัน ไม่อยากทำตัวให้เป็นจุดสนใจของพวกนั้นให้เกิดข้อสงสัยขึ้น มา”

เงินอีเวยถึงอ้าปากค้าง ที่แท้พฤติกรรมทั้งหมดของผู้ชาย คนนี้เมื่อครู่ก็คือการเล่นละครจัดฉากขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เพื่อ ตบตาคนด้านนอกให้เข้าใจว่าตนเองตกเป็นของเขาแล้วแถม ยังสื่อความหมายว่าไม่ว่าใครก็ตามห้ามคิดมาแตะต้องเธอเด็ด ขาด…

เสิ่นอีเวยเงยหน้าจ้องหานนี้เพิ่งด้วยสายตาสับสน : “แล้ว ไง? ฉันต้องพูดขอบคุณไหม?

หานนี้เพิ่งยิ้มอ่อนๆ พร้อมทั้งจ้องมองเธอ “ขอบคุณผม หมายความว่ายังไง?

เสิ่นอีเวยหลุบตาแล้วพยายามคิดหาคำตอบเพื่ออธิบายให้เขาฟัง : “สถานการณ์เมื่อครู่ ฉันไม่ทำตามที่คุณ บอกทั้งๆ ที่คุณสามารถไม่ต้องสนใจกับอาการแข็งกร้าวของฉัน แล้วทำเรื่องพรรค์นั้นได้ แต่คุณกลับไม่ทำมัน

ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว การที่หล่อนพูดว่า “เรื่องพรรค์ นั้น ต่างคนต่างเข้าใจความหมายมันดีไม่จำเป็นต้องพูดมัน ออกมา

ขนคิ้วเงางาม นัยย์ตาแวววาวสดใสดั่งสายน้ำของหาน เพิ่งน้ำตานอยู่นาน สักพักเขาถึงได้เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง : “หากเป็นไปตามที่เธอพูดมา งั้นเธอก็พูดขอบคุณ ฉันรอฟัง อยู่”

เสิ่นอีเวย : “….…..”

ทําไมคนๆนี้ถึงได้พูดอย่างหน้าไม่อายเลยนะ

หานฉีเฟิงสูงกว่าเธอเลยศีรษะไปเกือบเกินครึ่งหนึ่งของ ศีรษะของเธอได้ ความสูงของเขาเท่าๆกับเพิ่งเจ๋อเฉิงได้ เพราะ ฉะนั้นเวลาที่เธอคุยกับก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา แถมใบหน้า ของอีกฝ่ายยังทำหน้าที่ตากวนๆอยู่เสมอ สักพัก เธอถึงได้ เปิดปากพูด: “ฉันตัดสินใจแล้วว่าควรพูดออกไปดีไหม เพราะ ยังไงฉันก็ไม่มีความสุขที่พูดมันออกไป และฉันก็พอจะประมาณ การได้ว่าคุณเองก็ไม่อยากฟัง

เมื่อพูดจบเธอก็หันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย หานฉีเฟิงถึงกลับหมดคำพูด ผู้หญิงคนนี้ช่างแค้นฝังใจซะจริง

บรรยากาศในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงบ เงียบที่ขนาด ได้ยินเสียงดังอึกทึกครึมโครมที่ดังมาจากห้องโถง จาก สถานการณ์ที่เอาแต่ต่อปากต่อคำกันไปมาตอนนี้สามารถหลุด พ้นออกมาได้แล้ว ในยามนี้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของเงินอีเวยมันมี แค่ความคิดอยู่อย่างเดียว

เธอควรจะทำอย่างไรถึงจะหนีออกไปจากที่นี่ได้

เพิ่งเจ๋อเฉิง หากคุณมาปรากฏตัวในตอนนี้ได้ก็คงดี

“อย่าเชื่อใจผม ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร เธอลืมคิดไปหรือ ป่าวว่าใครเป็นคนพาเธอมาที่นี่ หานเพิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ชา หัวคิ้วของเสิ่นอีเวยถึงกับกระตุกเล็กน้อย

เธอเงยหน้ามองไปทางหานนี้เพิ่งที่เขากำลังยืนอยู่ขอบ เตียง นัยย์ตาของผู้ชายคนนั้นมันมีความเยือกเย็น คำพูดของ เขาเมื่อครู่เหมือนเป็นการกำลังตักเตือนเธออยู่กลายๆ

เสิ่นอีเวยก็กล้าบ้าบิ่นที่สบตากับเขา ในสายตานั่นกลับ ไม่มีแม้อาการสั่นสะท้านสักนิด สักพัก เธอถึงได้พูดตอบกลับ : “ฉันไม่โง่อยู่แล้วกับการที่จะเชื่อใครสักคนที่ฉันไม่รู้จักง่ายๆได้ ถึงแม้ว่าคุณจะช่วยเหลือฉันหลายครั้งหลายคราวมาแล้วก็ตาม

บรรยากาศที่ทั้งคู่ต่างสื่อความหมายว่ากำลังต่อปากต่อ คำฟาดฟันกันไปมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนในที่สุดหานนี้เพิ่งถึงกลับหัวเราะออกมาแทนแต่กลับไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา

เขาเดินไปข้างประตู ตอนที่มือของเขาเตรียมเปิดประตูใน

วินาทีนั้นอยู่ดีๆเขาก็หันกลับมาแล้วพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา “คุณอยู่แต่ที่นี่นะ หากผมยังไม่เข้ามาในห้องนี้คุณก็อย่าออก ไปจากประตูนี้ เข้าใจไหม?”

ยามไหนควรยืนหยัด ยอมไหนควรผ่อนปรน ในใจเส นอีเวยเข้าใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี : “ตกลง

ยามเมื่อหานนี้เพิ่งออกไปจากห้องแล้วจัดการปิดประตู อย่างเรียบร้อยแล้ว เสิ่นอีเวยเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในห้อง นี้ไม่ว่าจะเปิดกล่อง ล้มตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นหักหัวเตียง หรือค้น โต๊ะชงชาทุกชั้นก็ตาม ทุกสิ่งที่สามารถค้นได้เธอก็ค้นหาหมด ทุกซอกทุกมุม ทว่ากลับไม่พบอะไรเลยที่สามารถทุบหน้าต่าง ให้แตกได้

ห้องพักขนาดใหญ่นอกจากของใช้ส่วนตัวแล้วก็ไม่มีสิ่งขอ งอื่นๆอีก แม้ที่เขี่ยบุหรี่ก็ไม่มี การควบคุมที่เข้มงวดขนาดนี้เพื่อ เป็นการเตรียมพร้อมในการป้องกันไม่ให้คนหลบหนีไปจากที่นี่ ความหวังที่อยู่ในใจเสิ่นอีเวยพังทลายหมดสิ้น เธอเห็น ความหวังสุดท้ายหายริบหรี่ไปจากตา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ