นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่469ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่มาจาก ไหนแต่ภรรยาใหญ่ที่สุด



บทที่469ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่มาจาก ไหนแต่ภรรยาใหญ่ที่สุด

บทที่469 ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่ภรรยาใหญ่ที่สุด

เงินอีเวยองตกตะลึง คนที่บ้างานอย่างเพิ่งเจ๋อเฉิง บอกว่า จะพาหล่อนไปเที่ยว

หัวใจดวงน้อยๆรู้สึกเบิกบานเหมือนมีฟองสบู่ลอยออกมา และฟองสบู่เหล่านั้นยังเป็นสีชมพูอีกด้วย ถึงจะดีใจแต่ในใจ ของเงินอีเวยก็ยังคงคำนึงถึงความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

“แต่ว่าคุณจะยอมวางมือจากบริษัทเพิ่งเชื่อเหรอ”

เพิ่งเจ๋อเฉิงมองดวงตาหล่อนอย่างที่ไม่อาจจะจริงจังไป มากกว่านี้ได้แล้ว

“เรื่องพวกนั้นให้หลินอจัดการไปชั่วคราวก่อน การที่ได้ ไปเที่ยวกับคุณคือสิ่งที่ผมอยากทํามากที่สุดตอนนี้

น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยน ดังขนนกสีขาวเส้นหนึ่ง ที่มาหยุดอยู่ในใจเสิ่นอีเวยแล้วลอยไปลอยมา เหมือนจิตใจ อยู่ๆก็ได้รับการปลอบประโลม ทำให้หล่อนเกือบจะน้ำตาไหล ออกมา
“แต่ว่าเหมียนเหมียน พวกเราพาลูกสาวไปด้วยได้มั้ยคะ คุณเพิ่ง” ในก้นบึ้งของหัวใจก็ยังปล่อยวางเหมียนเหมือนไม่ได้

เพิ่งเจ๋อเฉิงกระแอมขึ้นมา สีหน้าดูเหมือนจะรู้สึกขัดเขิน เล็กน้อย แล้วรีบอธิบายว่า “ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะไปด้วยกัน สามคน แต่ว่าผมกับคุณจากกันมาตั้งนาน ขอเวลาให้พวกเรา อยู่กันตามลำพังบ้าง การถ่ายทำของเหมียนเหมียนก็ยุ่งมาก คงไม่สามารถหาเวลาว่างไปได้

เพิ่งเจ๋อเฉิงพูดประโยคนี้ด้วยใบหน้าจริงจัง เสิ่นอีเวยเบะ ปาก พูดเปิดโปงความจริงอย่างไม่เกรงใจเขาว่า

: “ไม่อยากพาเหมียนเหมียนไปก็บอกมาตามตรง ไม่ต้อง เอาตารางโน่นนี่นั่นมาอ้าง ที่แท้คุณก็อยากไปกับฉันแค่สอง คน”

ประธานเพิ่งที่ถูกภรรยาตัวเองเปิดโปงแผนการที่คิดไว้ใน

ใจสีหน้ายิ่งดูกระอักกระอ่วนชัดเจนยิ่งขึ้น

วินาทีต่อมา เด็กน้อยก็วิ่งมาทางเสิ่นอีเวย เกาะขาเรียว ยาวของหล่อนไว้ “หม่ามี

เสิ่นอีเวยหัวเราะอย่างมีความสุข เตรียมที่จะย่อตัวลงไป ทำเหมือนเมื่อก่อนอุ้มเหมียนเหมียนขึ้นมาแล้วหอมหนึ่งฟอด แต่ในขณะที่หล่อนกำลังจะย่อตัวลงไปนั้น เด็กน้อยที่อยู่ตรง หน้าหล่อนกลับพุ่งตัวออกไปรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ

สายฟ้าแลบนั้นพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเพิ่งเจ๋อเฉิงที่ย่อตัวลงมา ร้องออกมาด้วยความดีใจว่า: “แอ๊ดดี้”

เสียงของเด็กน้อยดังไพเราะ ฟังแล้วเสนาะหูยิ่งนัก

เสิ่นอีเวยที่ยืนงงอยู่ข้างๆด้วยท่าเติมยังไม่ทันได้ตั้งตัว

เธอมองดูเหมียนเหมียนที่หอมเพิ่งเจ๋อเฉิงไปหนึ่งฟอด เสี นอีเวยรู้สึกเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อย ในมือถูกอีกคนหนึ่งแย่งชิง ไป และคนที่แย่งชิงเจ้าหญิงไปนั้นก็คือพ่อแท้ของเจ้าหญิงเอง

เงินอีเวยลุกขึ้นยืน มือกอดอกมอง การแสดงความรัก ระหว่างพ่อกับลูกสาวตรงหน้า อดไม่ได้พูดออกมาว่า “แล้ว หอมของหม่ามี ไม่มีแล้วเหรอ

เด็กน้อยได้ยินเสียงของหม่าม ดวงตาคู่โตและสว่าง สดใสมองไปที่หล่อน แล้วมองไปที่แด๊ดดี้ มุมปากของเพิ่งเจือ เฉิงมีรอยยิ้มและพูดว่า “หม่ามีหนูอิจฉาแล้ว”

เงินอีเวยถลึงตา ไม่ยอมรับ: “ใครอิจฉากัน อย่ามาพู ดมั่วชั่วนะ” แต่นัยน์ตามีรอยยิ้มแห่งความอ่อนโยนอยู่

เมื่อเด็กน้อยได้ยินพ่อพูดอย่างนั้นแล้ว ใบหน้าเล็กๆที่อ้วน กลมนั้นก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา หันไปทางเพิ่งเจ๋อเฉิงแล้วพูด ว่า ” เมื่อกี้หนูก็เห็นว่าคุณพ่อก็อิจฉาเหมือนกัน”

มุมปากของเซิ่งเจ๋อเฉิงคว่ำลง ทำทีเป็นนิ่งๆแล้วถามกลับ

ไปว่า “พ่อไปอิจฉาตอนไหนกัน” อีกด้านก็ส่งสายตาไปหา ลูกสาวสุดที่รักว่าไม่ต้องพูดต่อแล้วไว้หน้าเขาด้วย

แต่เหมียนเหมียนนั้นไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อไป ยังคงบรรยายภาพที่ตนเองเห็นเมื่อสักครู่ : “ก็เมื่อกี้นี้ไง คุณอาเจียงคนนั้นมาคุยกับหม่ามีไม่กี่ประโยค คุณพ่อก็ไม่ พอใจ แถมยังแกล้งหาเรื่องให้เขาโกรธด้วย

เงินอีเวยกลั้นไว้ ยืนอยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียง มองเชิงเจ๋อ เฉิงที่หน้าถอดสี

เพิ่งเจ๋อเฉิง :

มองดูเพิ่งเจ๋อเฉิงอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน เสิ่นอีเวยจึง พูดขึ้นมาว่า “เห็นรึยังล่ะ นิสัยร้ายกาจแบบนี้เหมือนคุณนั่น แหละ ไม่มีใครโชคดีตลอดไปหรอก คำนี้คุณเคยได้ยินมั้ย ฮาๆๆ”

เพิ่งเจ๋อเฉิงถลึงตาใส่หล่อน ก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาวสุด ที่รักอย่างจริงจังว่า: หนูอยากให้หม่ามีของหนูถูกผู้ชายคน อื่นที่ไม่ใช่พ่อแย่งไปเหรอ”

เมื่อเหมียนเหมียนได้ฟังก็สายศีรษะอย่างแรง : “ไม่อยาก ค่ะ หม่ามีเป็นของหนู”

คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริมว่า “แล้วก็เป็นของปะป๊าด้วย”

เพิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินดังนั้น ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลง ก่อนที่ จะวางยาเพิ่มว่า “ถ้าครั้งหน้าหนูเห็นคนแปลกหน้ามาเข้าใกล้ หม่ามีอีก หนูต้องแอบมารายงานพ่อนะ ได้มั้ย”

ด้วยความหวงแหนหม่ามีของตัวเองเด็กน้อยจึงรีบตอบรับ ข้อตกลงของคุณพ่อเธออย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เด็กน้อยไม่รู้คือคนที่จะมาแย่งหม่ามีนั้นคู่แข่งคนสำคัญก็คือผู้ชายที่กำลังโอบ กอดหล่อนอยู่นั้นเอง

เสิ่นอีเวยที่ยืนอยู่ข้างๆมองดูภาพที่เหมือนดั่งละครของ สองพ่อและลูกสาวตรงหน้า สองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

หล่อนไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ลูกสาวนะลูกสาว หนูจะรู้มั้ยว่าเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวกับหม่ามีสองต่อสอง คุณพ่อ หนูถึงกับตัดสินใจไม่ยอมพาหนูไปเที่ยวด้วย

ใช้คำพูดของท่านประธานเพิ่งก็คือ ต่อให้อะไรจะใหญ่แค่ ไหน แต่ภรรยาใหญ่ที่สุด คำกล่าวที่ว่า ไม่เจอเพียงวันเดียวเสมือนนานนับปี

ครั้งนี้เสิ่นอีเวยไปทำงานที่อีกมณฑลหนึ่ง นับถึงวันนี้ก็เป็น วันที่สี่เท่านั้นที่ห่างจากเพิ่งเจ๋อเฉิง หล่อนยืนอยู่บนถนนที่ครา คร่ำไปด้วยรถและผู้คน มองที่โทรศัพท์มือถือ เพิ่งเจ๋อเฉิงไม่รู้ ว่าโทรหาหล่อนที่สิบสายแล้ว เสิ่นอีเวยถอนหายใจเบาๆ

“ฮัลโหล มีธุระอะไร” เสิ่นอีเวยพยายามแกล้งพูดด้วยน้ำ เสียงเรียบเฉย จุดประสงค์ก็คือให้คนที่อยู่ปลายสายเข้าใจว่า หล่อนเองก็ไม่อยากจะรับสายเท่าไหร่นัก

แต่ปรากฏว่าปลายสายนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่หล่อนต้องการสื่อ คำพูดหวานเลี่ยนก็ออกมา: “เสี่ยวเวย ผมคิดถึงคุณจัง

เสิ่นอีเวย “.…….

นิ่งเงียบไปประมาณชั่ววินาทีก่อนจะเอ่ยปาก: “คุณเพิ่งคะชาตินี้ปากคุณทำไมหวานขนาดนี้ ขอถามหน่อยเถอะชาติที่แล้ว เป็นโดนัทเหรอ”

ปลายสายนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายจะพูดออกมา คำ: “คุณช่างทุเรศจริงๆ

เงินอีเวย: “คุณก็รู้จักคำว่าทุเรศเหรอ คุณแค่ได้ยินครั้ง แรกก็รู้สึกทุเรศ แล้วคุณเคยนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย ทุกวันคุณต้องโทรหาฉันอย่างน้อยสามครั้ง ทุกครั้งก็พูดแต่ อะไรหวานๆเลี่ยนๆ คุณไม่อะไรจะทำแล้วเหรอ

ใช่ไม่ผิด ก่อนจะโทรสายนี้ เขาโทรหาหล่อนมาสองครั้ง

ขณะที่เสิ่นอีเวยพูดประโยคนี้หล่อนพยายามกดเสียงต่ำแล้ว

เพราะว่าเพื่อนร่วมงานยังยืนอยู่ที่ด้านข้างหล่อน

ปลายสายกลับมีเสียงน้อยใจของท่านประธานบางคน: “อี เวย คุณดุผมเหรอ”

ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกหนาวขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หล่อน หยิบโทรศัพท์ออกแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่โปร่งใส แล้วถอน หายใจออกมา

เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าชีวิตหล่อนช่างยุ่งยากเหลือเกิน เงินอีเวย คิดว่าชาติที่แล้วชีวิตคงเหมือนกับโจทย์ทางคณิตศาสตร์

ตอนแรกหล่อนคิดว่าลูกสาวตัวแสบที่ชอบเอาแต่ใจก็ ทรมานหล่อนมากพอแล้ว แต่เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงว่าเมื่อเพิ่งเจอเฉิงเอาแต่ใจขึ้นมานั้นยิ่งน่ารำคาญมากกว่าเหมียนเหมียนเสียอีก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ