ตอนที่ 36 คุณยิ่งกล้ามากเกินไปแล้ว
เสิ่นอีเวยรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ใช่แล้ว เซึ่งเจ๋อเฉิงพูดมา ถูกต้องแล้ว หลังจากแม่ตายไป ก็มีเพียงเพิ่งเจ๋อเฉิงที่ค่อยช่วย เหลือบริษัทนี้อย่างเงียบๆหลายครั้ง เพราะขาดกระดูกสันหลัง หลัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะพัฒนาให้บริษัทดำเนินการต่อ ไป แต่กลับสามารถประกอบธุรกิจถึงวันนี้ได้เพราะเขา
เสิ่นอีเวยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานในบริษัทมาโดย ตลอด พวกเขาเลยบอกเสิ่นอีเวยว่าเพิ่งเจ๋อเฉิงค่อยช่วยเหลือ มาโดยตลอด แต่เสิ่นอีเวยแทบไม่รู้เหตุผลของเขาเลย หากพูด ตามหลักการแล้ว เขาเกลียดชังตัวเองขนาดนี้คงเป็นไปไม่ได้จะ เป็นเพราะตัวเอง คงเห็นแก่หน้าของเงินหุ้ยมากกว่า
ต่อมาเสิ่นอีเวยก็ไม่ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงหาเรื่องให้ลำบากใจอีก แต่หลังจากที่ได้ยินเขาคุยโทรศัพท์ในเช้าวันนั้น เสิ่นอีเวยก็รู้ว่า เขายังคงตรวจสอบเรื่องเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้วอีก
ส่วนเรื่องเสิ่นหุ้ยได้รับบาดเจ็บและการตายของพ่อแม่ เสี่ นอีเวยหวังอยากให้เสิ่นหุ้ยรีบออกจากโรงพยาบาลมากกว่า ใครทั้งนั้น แต่สวรรค์ไม่ตอบรับคำอวยพรจากใครง่ายๆ เวลา ผ่านไปวันแล้ววันเล่า แต่เสิ่นหุ้ยที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลกลับ ไม่มีวี่แววข่าวดีเลย
วันนี้เสิ่นอีเวยกำลังยุ่งในห้องทำงานกับเรื่องปรึกษาหารือ ออกแบบชุดแต่งงานอยู่ เธอรับสายโทรศัพท์จากหลิน โม่เยน เพื่อนรักของเธอ “ทำอะไรอยู่? เดี๋ยวคืนนี้จะพาเธอไปรื่นเริง ว่ายังไง มีเวลาว่างใหม?”
เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินเสียงสุขสำราญของเพื่อนรัก ก็ทำให้ อารมณ์นิ่งสงบดั่งสายน้ำครึกครื้นขึ้นมาเลยทันที ซึ่งเธอก็รู้ดีว่า รื่นเริงในความหมายของหลิน ไม่เยนที่เธอพูด คงเป็นโรงแรม ไม่กีพับบาร์ หรือสถานที่ที่ทำให้ชอร์โมนพลุ่งพล่าน
แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ เธอก็ปฏิเสธ อย่างไม่ต้องคิดเลยทันที” พับบาร์หรอ? ไม่ไปอ่ะ”
หลิน โม่เยนบ่นครคร่ำครวญในสายโทรศัพท์ว่า”ฉันรู้ว่าเธอ ต้องปฏิเสธ! ฉันไม่สน ตอนนี้ฉันอยู่ข้างล่างตึกบริษัทของเธอ แล้ว ถ้ากากเธอเลิกงานแล้วเธอยังไม่มา ฉันก็จะขึ้นไปตามเธอ ไปเลย!”
พูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกวางสาย และเกิดเสียงว่า “ฟุ๊บ”
เสิ่นอีเวยถือโทรศัพท์มือถืออย่างทำอะไรไม่ถูก อันที่จริง เธอไม่เข้าใจตลอดว่า คนที่มีนิสัยซึมเศร้าอย่างเธอ ทำไมถึงมา เป็นเพื่อนกับคนที่มีนิสัยร่าเริงอย่างหลินโม่เยนได้ เธอสายหน้า และมอง โทรศัพท์มือถือ
ถึงยังไงก็จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว หลังจากเสิ่นอีเวยส่งแขก กลับไปเสร็จ ก็รีบจัดเตรียมของก่อนลงข้างล่าง
เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ หลิน โม่เยนนั่งรอเธอบนรถเปิด ประทุนขนาดเล็กอยู่ ระหว่างทางไปพับบาร์เสิ่นอีเวยมีสีหน้า กังวลตลอดทาง เพราะเธอไม่เคยไปพับบาร์หรือสถานที่ ยุ่งเหยิงแบบนั้นมาก่อน และถ้าหากเชิงเจ๋อเฉิงรู้คงมีผลลัพธ์ที่ไม่ดีมากนัก
ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูพับบาร์แล้ว ป้ายร้านค้าขนาด ใหญ่ที่มีคำว่า “อั้นตู้”สองพยางค์ได้ประกายแสงระยิบระยับยัง ไม่หยุดหย่อน
เงินอีเวยลังเลใจว่าจะเข้าไปตีหรือเปล่า และพูดขึ้นว่า”ฉัน ว่า….ไม่ต้องเข้าไปดีกว่า พวกเราเปลี่ยนสถานที่อื่นกันไหม? ฉัน ไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้”
หลินโม่เยนมองทะลุปรุโปร่งความหมายของเสิ่นอีเวย”เสี่ นอีเวย เธอรู้ไหมว่าเธอไร้เดียงสาทั้งยังเชื่อฟังเกินไปด้วย ดัง นั้นคนอย่างเชิ่งเจ๋อเฉิงไม่ควรค่าให้เธอเสียดาย คืนนี้เธอว่า เป็นการปลดปล่อยความทุกข์ออกมาก็แล้วกัน!”
พูดจบ ไม่รอให้เสิ่นอีเวยตอบกลับ หลินโม่เยนก็ลากเธอ เข้าไปทันที ชั่วพริบตาเสียงสั่นสะเทือนกังวานก็ตั้งขึ้นเต็มหูของ เสิ่นอีเวย
เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของหลิน โม่เยน เสิ่นอีเวยก็รู้สึก ว่ามันไม่มีเหตุผล ในสายตาทุกคนตัวเองต้องทำตัวเป็นเด็กดี และเรียบร้อย จนทำให้ตัวเธอเองลืมระบายความรู้สึกของตัว เอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
เสิ่นอีเวยยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับแก้วเหล้าของคนที่ไม่รู้จัก ที่อยู่ในห้องด้วยกัน ดูเหมือนปีศาจน้อยอีกตัวที่อยู่ในร้างกาย ได้ถูกเรียกออกมาแล้ว
แต่สิ่งที่เสี่นอีเวยคิดไม่ถึงคือ การมาพับบาร์ครั้งแรกตลอดยี่สิบปีกว่า คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะดื่มมากขนาดนี้ได้
ตอนที่เสิ่นอีเวยถอดรองเท้าส้นสูงทิ้ง และขึ้นไปบนโต๊ะ กระโดโลดเต้นด้วยเท้าเปล่านั้น หลินไม่เยนก็รู้เลยทันทีว่าไม่ สามารถควบคุมได้แล้ว สถานการณ์นี้เกินคาดจากที่เธอคิดไว้ ช่วยไม่ได้ เธอเลยต้องขับรถไปส่งเสิ่นอีเวยกลับบ้าน
หลิน โม่เยนก็ดื่มจนเมาเหมือนกัน แต่ปริมาณไม่ได้มาก เท่าเสิ่นอีเวย ถึงแม้เธอยังพอมีสติอยู่ แต่ระหว่างทางก็ขับรถ โคลงแคลงไม่กี่ครั้ง เพียงครึ่งทางเสิ่นอีเวยก็ตื่นขึ้น
ตอนที่เสินอีเวยยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเซิ่งนั้น หัวใจเต้นเหมือนกับดึกลองเลย
ในตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจภายหลังมาก เพราะคิดไม่ถึงว่า ตัวเองจะดื่มจนมีสภาพแบบนี้ได้ แต่สูบลมหายใจก็ได้กลิ่น เหล้าทั่วทั้งร่างกาย แม้แต่เส้นผมก็ด้วย เธอรู้สึกรังเกียจตัวเอง
เมื่อมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้เวลาเที่ยง คืนแล้ว เสิ่นอีเวยหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู และเดินเข้าไป อย่างเงียบเฉียบ เดิมทีเสิ่นอีเวยคิดว่าตัวเองสามารถเดินขึ้น บันไดอย่างเงียบๆได้โดยไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึง คือ วันนี้เพิ่งเจ๋อเฉิงอยู่บ้าน
“หยุดนะ”
ในห้องรับแขกไม่ได้เปิดไฟไว้ เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงดังขึ้น มาจากบนโซฟา วินาทีต่อมา หลอดไฟก็สว่างใสว มีคนใช้เปิด ไฟให้
เส้นอีเวยหันหลังกลับไปก็เห็นเจ๋อเฉิงจ้องมองเธอด้วย แววตาไม่มีความอ่อนโยน อีเวยรู้สึกขนลุกขนพอง เธอ ทำได้เพียงถามอย่างเก้อเขินว่า”คุณ..ยังไม่นอนอีกหรอ?”
พูดจบไม่รอให้เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบกลับ เสิ่นอีเวยก็เดินขึ้นชั้น สองทันที เพราะเธอรู้สึกว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยห่วงใยเธอว่าทำไม เธอถึงกลับบ้านดึกขนาดนี้ แต่เธอคิดผิดแล้ว
เสิ่นอีเวยไม่แน่ใจว่าวันนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงกินยาผิดหรือเปล่า เพราะเขาพูดอย่างดื้อรันว่า”ผมให้คุณไปแล้วหรอ?”
เพราะคืนนี้เส็นอีเวยดื่มเหล้าหนักมาก ถึงแม้ตอนนี้จะตื่น แล้ว แต่ยังคงรู้สึกวงเวียนศีรษะอยู่ ถ้าหากเป็นเธอปกติดี เธอ คงตอบโต้กลับไปแล้ว แต่คืนนี้เสิ่นอีเวยไม่มีเรี่ยวแรงต่อเถียง ต่อกับเขาแล้ว
ดังนั้นเสินอีเวยเลยหยุดฝีเท้าลง”คุณมีธุระอะไรหรอ?”
เจ๋อเฉิงได้ยืนขึ้นจากโซฟาและเดินตรงมาหาเธอ และ รอบบริเวณตัวเขาก็แพร่รังสีอันเยือกเย็นออกมา เขาเดินพลาง พูดพลางว่า”ตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว ใครกันทำให้คุณกล้ากลับ บ้านตึกขนาดนี้กัน?”
เสิ่นอีเวยรู้สึกน่าขัน มุมปากของเธอยกขึ้นด้วยสีหน้า เสียดสีและเจ้าเล่ห์”คุณเชิ่งค่ะที่คุณพูดมาฉันไม่เข้าใจค่ะ ทุก คนล้วนมีอิสระ ดังนั้นฉันจะไปที่ไหนทำอะไรต้องรายงานคุณ ด้วยหรอ?”
เมื่อนึกถึงตัวเองเฝ้าห้องที่ว่างเปล่าตั้งแต่แต่งงานมาสองปี เส้นอีเวยก็เกิดสุมไฟในใจขึ้น”ไม่นึกถึงตัวเองบ้างหรอ เมื่อ ก่อนตอนที่คุณไม่ค่อยกลับบ้าน ฉันเคยซักถามคุณเหมือนตอน นี้ที่คุณทำบ้างไหม?”
ในตอนนี้เพิ่งเจอเส้นเดินมาถึงตรงหน้าของเสินอีเวยแล้ว กลิ่นเหล้าเหม็นทั้งที่รุนแรงส่งกลิ่นไปถึงจมูกของเขา จากนั้น สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เปลี่ยนสีหน้า
ดวงตาของเขาหรี่ลง”คุณเมาแล้วหรอ?
“ใช่ค่ะ ฉันไปพับบาร์มา ดื่มเหล้าเยอะมาก ทำไมหรอ คุณ
ไม่ชอบหรอ?
เมื่อเสียงของเฉินอีเวนต์สิ้นสุด แขนก็ถูกเพิ่งเจ๋อเฉิงจับ ไว้”เสิ่นอีเวย ตอนนี้คุณกล้ามากเกินไปแล้วนะ
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ