นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่455มีฉันอยู่ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว



บทที่455มีฉันอยู่ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว

บทที่ 455 มีฉันอยู่ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว

“หานนี้เพิ่ง! แล้วคุณล่ะ? คุณจะทำยังไง?” เสียงโดยรอบ ดังสนั่นปะปนกันไปทั่ว เสิ่นอีเลยพยายามตะโกนเสียงแข่ง

ในกองไฟสีแดงลุกโชน หานเพิ่งกลับไม่ตอบกลับมา เขาแค่จ้องมองเสิ่นอีเวยอย่างละเอียดจากนั้นก็ปิดประตูใส่เธอ

“ปัง!”

เสิ่นอีเวยถูกปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ด้านนอก เธออยากจะผลัก ประตูเข้าไปในอาคารแต่กลับไม่ทัน ประตูถูกล็อกจากด้านใน

เธอยืนอยู่ด้านนอกประตูครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หันตัว กลับ บริเวณด้านหน้าของเธอนั้นมันดำมืดสนิทจนมันไม่ สามารถอธิบายได้ยังไงว่ามืดขนาดไหน พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ ถูกก้อนเมฆบดบังเอาไว้ แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้มันดำมืดสลัวให้ ความรู้สึกประหลาดๆอย่างบอกไม่ถูก

เสียงเอะอะโวยวายโดยรอบหายไปเป็นปลิดทิ้งจนเงียบ สงบ พอนานเข้าจนเธอสงบสติอารมณ์ได้ถึงได้พบว่ามันเป็น เสียงหัวใจของตัวเองกำลังเต้นอยู่ เธอเครียดมาก เธอยัง คิดถึงคำพูดของหานนี้เพิ่งที่พูดไว้ได้ดี เสิ่นอีเวยรีบคว้ากระเป๋า แล้วรีบวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตายไปข้างหน้า
นานแล้วที่เธอไม่ได้วิ่งเอาเป็นเอาตายแบบนี้มานานแล้ว ราวกับกำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ดีที่ในใจเธอมีจุดหมายอยู่ แล้ว เสาไฟที่สองริมถนน เสิ่นอีเวยวิ่งไปทางด้านหน้าอย่างสุด ชีวิต

ถนนช่างมืดมิด หลายครั้งนักที่เสิ่นอีเวยเกือบหกล้ม สภาพที่นี่ค่อนข้างรกร้างว่างเปล่าเหลือเกินเพราะเป็นฤดูกาล ของการเก็บเกี่ยว ต้นหญ้าสูงท่วมหัวอยู่ในทุ่งนารกร้างมันสูง ยาวเหยียดเท่ากับความสูงของคนเราเลยทีเดียว

หลังจากวิ่งอยู่นั้น ด้านข้างกลับมีเสียงแหวกต้นหญ้าดัง สวบสาบ ราวกับมีคนกำลังวิ่งมุ่งหน้ามาทางเธอ เงินอีเวยเริ่ม ลนลานรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ทว่าขาสองข้างกลับหนักอึ้งราวกับถูกเทตะกั่วตรึงเอาไว้ เจ็บสุดๆ พยายามวิ่งแต่กลับวิ่งช้ามากกว่าเดิม

อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่กระโดดพรวดออก มาจากด้านข้างของทุ่งนาพร้อมเข้ากระโจนใส่เสิ่นอีเวย ณ วินาทีนั้น เธอมองใบหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ชัดเจน แต่ในใจกลับ รู้สึกคุ้นชินอยู่อย่างแปลกประหลาด

แขนของเสิ่นอีเวยถูกคนจับไว้แน่น อวัยวะทุกส่วนของ ร่างกายดูตื่นตัวขึ้นมาทันที ในที่สุดเขาก็มาแล้ว

ไม่รู้ว่าน้ำตาคลอเบ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เสิ่นอีเวยถึงกลับ ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแล้วเดินตามผู้ชายคนนั้นไปข้างหน้า
ฝ่ามือขนาดใหญ่แต่อบอุ่นของเขาโผล่ออกมาจากชาย แขนเสื้อจนมันกระทบกับผิวของเธอ จนเธอรู้สึกได้ถึงความ อุณหภูมิที่แผ่ความอบอุ่นมาให้เธอ

เขาก้าวและเร่งฝีเท้ากว้างอย่างรวดเร็ว เสิ่นอีเวยตาม

ไม่ทัน ในที่สุดคนที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดเท้าลง เสิ่นอีเวยถึงกับ ตัวเกร็งเพราะเขาก้มตัวลงแล้วช้อนตัวเธอขึ้นมา

เสิ่นอีเวยก็เคยครุ่นคิดกับปัญหานี้มาก่อน ว่าทำไมนะ ผู้ชายคนนี้ถึงได้มีแรงมหาศาลได้ขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองยังอุ้มคน กลับเดินเหินได้อย่างคล่องตัวมาก

เสิ่นอีเวยถูกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา เธอสบายใจมาก ขึ้นกว่าเดิม หานเพิ่งบอกว่าเขาจะอยู่รอที่เสาไฟที่สองไม่ใช่ หรอ? แล้วทําไมถึงรับเร็วก่อนกำหนดล่ะ

หรือว่า เขาตั้งใจมารับเธอก่อน…?

ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมืดมิดโดยรอบ มันมืดไม่มีแสงสว่าง ใดๆ แสงในยามค่ำคืนนั้นไม่ได้หนักหนามาก ไม่มีรูปร่าง ไม่มี บรรยากาศ ทว่าเงินอีเวยที่อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้ชาย คนนั้น กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอนกายเหนือบรรยากาศที่ มืด ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย สับสนและความคิด ที่ผลุบโผล่ไปมาอยู่ตลอด

ความรู้สึกที่วุ่นวายที่สัมพันธ์ต่างเรียกร้องและซักถามเธอ ตลอดมันเหมือนกับปีศาจที่อยู่คอยอยู่รอบๆตัวเสิ่นอีเวย มันทั้ง จู่โจมอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเธอจะขยับหรือไม่ขยับตัวก็ตามก็รับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้ามากมายมหาศาล

เสิ่นอีเวยรู้ดีอยู่แก่ใจว่า การขาดความอบอุ่นมานาน ทว่า ในยามนี้เจ้าของอ้อมกอดนี้กลายมาเป็นคนช่วยชีวิตเธอขึ้นมา แต่ก็เหมือนว่าเป็นการฉุดตัวเธอให้ลงไปอยู่ในนรกอีกครั้ง มัน มีทั้งหมดความหวังและความปรีดิ์เปรม มันเป็นเรื่องที่ทำให้คน ยาก าบากใจในชีวิต

เธอเอาแต่หลับตาไว้เลยมองไม่เห็นบุคคลด้านหน้าที่กำลัง เดินมาหาแต่ฟังจากเสียงแล้วก็รู้ว่าเป็นหลินอ

“เจ้านาย”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหลินอวี้มักเรียกเขาว่าท่านประธานเชื่ งมาโดยตลอด แต่ในเวลานี้กลับเปลี่ยนเจ้านายแทน ในเ นอีเวยเต้นสั่นขึ้นมาทันที การเอ่ยเรียกแบบนี้มันเป็นครั้งที่สอง ที่หลินอวี้เรียกเขา ครั้งแรกคือช่วงที่คุณปู่เพิ่งเสียชีวิต

ในครั้งนั้นหลินอวี้เห็นเพิ่งเจ๋อเฉิงร่างกายเหนื่อยล้ามาก เขาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าเพราะนั่นมันเป็นช่วงที่เขา อ่อนแอที่สุดในเวลานั้น

เงินอีเวยเงยหน้าขึ้น เธอเองก็แทบไม่รู้ตัวว่าซึ่งเจ๋อเฉิงเอา เสื้อโค้ตมาคลุมเรือนร่าง ให้เธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เธอหันไป ทางหลินอและพยักหน้าในเขาเบาๆ

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพวกเขาถึงมาโผล่ตรงนี้ได้ อีกทั้ง ไม่รู้ว่าหานฉีเฟิงกับเซิ่งเจ๋อเฉิงพวกเขามาเกี่ยวข้องอะไรกันตอนไหน แต่เธอก็ยังไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงถามเขา ยังไงก็ตาม แค่รู้ว่าตนเองหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้นได้ก็ถือว่าดีมาก แล้ว

หลินอยื่นมือออกไปเปิดประตูรถ ส่วนเพิ่งเจ๋อเฉิงก็เอาตัว ของคนที่อยู่ในอ้อมกอดวางบนที่นั่งด้านหลัง จากนั้นตัวเองก็ นั่งอยู่ข้างๆ ทุกการกระทำของพวกเขาช่วงรวดเร็วมาก ยาน พาหนะวิ่งออกตัวในค่ำคืนที่มืดมิดอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียง ฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ

รถหายวับไปกลับตา โดยใช้เวลาไม่กี่วินาที

เสิ่นอีเวยสำรวจโดยรอบว่าในรถคันนี้มีกันอยู่สามคน หลินอวี้เป็นคนขับรถนั่งอยู่ด้านหน้า สถานการณ์อย่างนี้เธอ ทำตัวไม่ถูกจริงๆ…

บางครั้ง เสิ่นอีเวยก็พบว่าหลังจากเธอขึ้นรถมาแล้วนั้น เพิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่กอดเธอมาตลอดทาง แขนของเขาที่ซ่อน อยู่ใต้แขนเสื้อสูทสีดำนั้นกระชับเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยทำ ราวกับกลัวว่าเธอจะหายตัวไปอีก

เอาเข้าจริงหานฉีเฟิงก็พูดถูกใช่ไหม? เขามาช่วยเธอ จริงๆแล้วทำไมคืนนั้นเขาถึงตัดสินใจทิ้งเธอไปได้ล่ะ?

จากการช่วยคนให้หลุดพ้นจากถิ่นของท่านฉินออกมาได้ อย่างเรียบร้อยนั้น คนๆนี้ต้องใช้ความคิดมากมายทีเดียว พอ คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เดิมทีเสิ่นอีเวยอยากพูดอะไรขึ้นมาบ้างที่ เธอทำได้แค่พูดออกมาได้คำเดียว เพิ่ง
เดิมที่ก็อยากจะเรียกชื่อเขาเท่านั้นเอง แต่เธอเหนื่อยแสน เหนื่อย

ภายในตัวรถช่างเงียบงันยิ่งนัก แม้ว่าสียงของเธอจะค่อน ข้างแผ่วเบาก็ตามที แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเธอชัดเจน เสิ่นอีเว ยก็แทบตกใจกลับเสียงของตัวเธอเองเพราะมันแหบพร่าจนไม่ น่าฟังสักนิด เสียงที่ออกมานั้นมันเหมือนว่าคอหอยของตัวเอง มีสิ่งกีดขวางจนอยากที่จะเปล่งเสียงออกมา

เธอรู้ดีว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ข้อแรกน่าจะมาจากการที่ เธอพักผ่อนไม่เพียงพอหลายวันมานี้แถมอากาศก็หนาว อีกทั้ง ยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจหวาดกลัวขึ้นมาอีก

ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เธอกล้าหาญมากขึ้น จิตใจก็สามารถ รับเรื่องราวต่างๆได้มากขึ้น แต่การที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพ วันๆถูกขังอยู่แต่ในห้อง อีกทั้งเรื่องที่อีกนิดเดียวก็จะถูกข่มขืน อีก เสิ่นอีเวยคิดว่าสภาพจิตใจของเธอนั้นมันเกือบจะเข้าสู่ สภาวะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

หากในค่ำคืนนี้เธอไม่ถูกผู้ชายคนนี้ช่วยออกมา ตัวเอง แทบไม่รู้จริงว่าหากอยู่ที่นั่นต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก

“กลัวหรอ? เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นมาในตัวรถ

เขาเป็นคนถามเธอ เสิ่นอีเวยถึงกับใจสั่นแล้วรีบตอบ ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว: “ป่าว ฉันไม่ได้กลัว

ท่ามกลางความเงียบงันนั้น เพิ่งเจ๋อเฉิงสูดลมหายใจแรงจนเสิ่นอีเวยได้ยินอย่างชัดเจน

“ฉันมาแล้ว ไม่ต้องกลัวอีกแล้วนะ” น้ำเสียงของเขามัน ช่อนการปลอบโยนให้หัวใจของคนเรามากมายทีเดียว น้ำ เสียงช่างอบอุ่นราวกับเป็นการพูดคุยกับเด็กน้อย

เสิ่นอีเวยตะลึงอยู่สักพัก เมื่อครู่ตอนที่เธอกำลังวิ่งหนีอยู่

นั้นเขาก็โผล่มาถึงตัวเธอเอาไว้ เธอยอมรับว่าในวินาทีนั้น เธอ ร้องไห้จริงๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้จะสังเกตเห็นด้วย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ