นายเป็นแค่สามีเก่า

บทที่192 ซิ่งเจ๋อเฉิงฟื้นแล้ว



บทที่192 ซิ่งเจ๋อเฉิงฟื้นแล้ว

บทที่192 เพิ่งเจ๋อเฉิงฟื้นแล้ว

สถานที่แบบโรงพยาบาลนั้นเงียบเชียบเกินไป ทุกวันจะมี คนตายที่นี่หรือได้รับเอกสารแจ้งอาการป่วยหนัก ถึงแม้ที่นี่จะมี ชีวิตเล็กๆเกิดใหม่ทุกวัน แต่สำหรับเงินอีเวยแล้ว ตราบใดที่ เธอยังอยู่ที่โรงพยาบาลอารมณ์ก็จะมีไม่มีทางดีขึ้น

ทุกสิ่งที่เธอเห็นล้วนเป็นสีขาวที่น่าหวาดกลัว เตียงสีขาว ผ้าห่มสีขาว ผนังสีขาว แม้แต่กาต้มน้ำและแก้วน้ำที่วางอยู่บน หัวเตียงก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ สะอาด แต่เงียบเหงา เงินอีเวยเห็น แล้วได้แต่รู้สึกแสบตา

แต่ความจริงมีเพียงเสิ่นอีเวยเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจตน ว่า ทำไมเธอถึงไม่ชอบสภาพแวดล้อมเช่นนี้ของโรงพยาบาล

ใช่แล้ว นั่นเป็นเพราะเงินเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พวกเธอเมื่อสามปีก่อน ในเวลานั้นเธอกับเงินหุ้ยถูกส่งมาที่โรง พยาบาล แต่ฝ่ายหลังนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่าเธอเล็ก น้อย แต่เสิ่นกลับต้องนอนโรงพยาบาลถึง 20 กว่าวัน

ตั้งแต่นั้นมาสถานที่อย่างโรงพยาบาลก็ได้สร้างความทรง ที่ไม่ดีต่อจิตใจของเงิน

ในเวลานี้สายตาของเธอถูกดึงดูด โดยบางสิ่งที่มีสีชมพู พอมองออกไปก็เห็นเป็นหมวกที่ใส่ให้กับเพิ่งเจ๋อเฉิง ในตอนที่ตนเองออกมาจากตระกูลเซิ่ง พอตอนนี้ลองมามองดู มันกลับ เป็นการเพิ่มชีวิตชีวาให้กับห้องคนไข้ที่เงียบสงัดและเย็นยะ เยือกแห่งนี้ เสิ่นอีเวยรู้สึกดีใจกับการตัดสินใจของเธอ

เมื่อครู่เป็นเพราะเธอร้อนใจมากเกินไป ปล่อยให้เพิ่งเจือ เพิ่งรับการตรวจจึงไม่ทันได้ถอดหมวกใบนั้นให้เขา ตอนนี้เป็น เวลาดึกมากแล้ว อุณหภูมิลดต่ำลงมาก บางทีมันอาจจะช่วยใน การรักษาความอบอุ่น

แต่ก็ไม่รู้เลยว่าหากเพิ่งเจ๋อเฉิงตื่นขึ้นมาเห็นวัตถุสีชมพูบน หัวของตัวเอง เขาจะแสดงออกเช่นไร?

เสิ่นอีเวยรู้ว่าอีกประมาณสองถึงสามชั่วโมงฟ้าก็จะสว่าง แล้ว การที่เพิ่งเจ๋อเฉิงมีไข้สูง ในครั้งนี้จะต้องบอกคนอื่นหรือ เปล่านะ?

แต่จะบอกใครล่ะ? คิดไปคิดมาเห็นจะมีเพียงหลินอ

เท่านั้น

เป็นเพราะเพิ่งเจ๋อเฉิงคนนี้มีอุปนิสัยรักสันโดษและเย็นชา จนเกินไปมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่มีเพื่อนเลย รวม ถึงคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่เคยร่วมงานกันใน วงการธุรกิจหลายครั้งมาก่อน เสิ่นอีเวยก็เคยได้ยินเขาพูดถึง อยู่เหมือนกัน ความจริงแล้วมิตรภาพเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่ การแสดงตามโอกาสเท่านั้น จริงๆ แล้วทั้งสองต่างก็รู้กันดีอยู่ แก่ใจว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกัน

ในเวลานั้นเสิ่นอีเวยได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของเพิ่งเจ๋อเฉิง เธอรู้สึกปวดใจเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง เพื่อนของเธอก็ มีไม่มาก ไปๆ มาๆ ก็มีแค่หลิน ไม่เป็นคนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ ปกติจะไม่ได้ติดต่อกันสักเท่าไร แต่อย่างน้อยทั้งสองคนก็พร้อม ที่จะปรากฏตัวต่อหน้ากันและกัน โดยไม่ลังเลเพื่อปลอบโยนกัน ในช่วงเวลาที่พวกเขาผิดหวังในชีวิต

ถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะถูกลากไปยังสถานที่อย่างบาร์เพื่อ ผ่อนคลายจิตใจเหมือนครั้งที่แล้ว

แต่เพิ่งเจ๋อเฉิงนั้นไม่เหมือนกับเธอ ในความเป็นจริงผู้ชาย คนนี้แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เสิ่นอีเวยรู้จักเขามาหลายปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาฝ่ายหลังมักจะทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่เคย ต้องการเพื่อนเลย เพราะเขาสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง เกือบทุกอย่างแถมยังทำได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้คนอื่นมอง ด้วยสายตาที่ดีอีกด้วย

ดังนั้น ในความเข้าใจของเงินอีเวย เมื่อคนเราป่วยสิ่งแรก ที่อยากทำก็น่าจะเป็นการบอกให้คนใกล้ชิดรับรู้มากที่สุด หลัง จากนั้นค่อยเป็นเพื่อน

อย่างไรก็ตามคนใกล้ชิดของเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างเช่นพ่อของ เขาก็ไม่ได้ทุ่มเทความคิดส่วนใหญ่ไปที่งานตั้งนานแล้วหลัง จากที่เพิ่งเจ๋อเฉิงได้เข้ามารับช่วงต่อบริษัทเพิ่งซื้อ คุณพ่อนั้น ชอบเที่ยวชมภูเขาและแม่น้ำมากกว่า นอกจากนี้ยังดูเหมืนอ นว่าปกติพวกเขาพ่อลูกไม่ได้มีการติดต่อกันบ่อยครั้งนัก

ส่วนแม่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงหรือจะพูดให้ถูกก็คือแม่เลี้ยง เป็นภรรยาคนที่สองของเพิ่งเป็นอน ตั้งแต่คืนนั้นที่คุณพ่อมาเป็น แขกที่บ้านพักของตระกูลเพิ่งเมื่อคราวก่อน ก็พอจะมองออกว่า ความสัมพันธ์ของเพิ่งเจ๋อเฉิงกับแม่เลี้ยงของตนเองดูเหมือนจะ ไม่ค่อยดีนัก

ดังนั้นเมื่อมองจากตรงนี้ คนในครอบครัวของเพิ่งเจ๋อเฉิง ไม่มีอะไรให้น่ากล่าวถึงอีก ส่วนเพื่อนนั้นก็ยังไม่มีใหญ่

เมื่อคิดได้เช่นนี้เสิ่นอีเวยก็หยิบมือถือออกมาทันทีและ วางแผนที่จะโทรหาหลินอวี้เพื่ออธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ ของเพิ่งเจ๋อเฉิง ให้รับรู้ แต่ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าในเวลานี้ หลินอวี้จะต้องกำลังพักผ่อนอยู่ อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลา ทํางานของเขา ไม่ควรโทรไปรบกวน

เงินอีเวยจึงคิดว่าจะรอให้เพิ่งเจ๋อเฉิงฟันแล้วจึงค่อยติดต่อ หลินอวี้อีกครั้ง

เงินอีเวยหยิบแก้วน้ำที่อยู่ข้างขึ้นมาดื่ม ทันใดนั้นเธอก็ เพิ่งรู้สึกว่าอากาศนั้นเหมือนจะค่อนข้างเย็นเล็กน้อย เธอเริ่มมี อาการขนลุก เสิ่นอีเวยถึงเพิ่งรู้ตัวว่า เมื่อครู่ตอนที่พาเพิ่งเจอเ งมาที่โรงพยาบาลนั้นรีบร้อนเกินไป ไม่เพียงแต่ลืมสวมนาฬิกา แต่ยังลืมใส่เสื้อคลุมอีกด้วย

เธอหันกลับมากวาดสายตามองไปทั่วห้องผู้ป่วย นี่เป็น ห้องผู้ป่วยเดี่ยว ถึงแม้ว่าจะมีเตียงเสริมอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่มี ผ้าห่มอยู่ด้านบน ไม่สามารถนอนได้เลย ช่วยไม่ได้ ความง่วง มาเยือนแล้ว เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้อยากจะคิดเล็กคิดน้อยอะไร จึงปีนขึ้นบนเตียงข้างๆ ของเพิ่งเจ๋อเฉิงแล้วหลับไป

ในตอนแรกเสิ่นอีเวยยังนอนไม่ค่อยหลับ ประการแรกเกิด จากท่าทางที่ไม่เหมาะสม ส่วนประการที่สองเกิดจากความเย็น และความรู้สึกผิด เธอไม่รู้ว่าต่อมาเธอนอนหลับไปได้อย่างไร รู้ เพียงว่าสติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนรางและอ่อนแอลงไปทุกที

เพิ่งเจ๋อเฉิงตื่นขึ้นมาในตอนเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ยัง ไม่ทันที่เขาจะลืมตาขึ้นก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแขนซ้ายของตัว เองค่อนข้างชาและเหมือนจะขยับไม่ได้ หัวของเขาหนักอึ้ง เหมือนเต็มไปด้วยตะกั่ว มีความรู้สึกแปลกๆ อยู่รายล้อมตัวเขา เขาเพิ่มความระมัดระวังตัวเองขึ้น ในวินาทีเดียวที่บังคับให้เขา เร่งความเร็วในการลืมตาและตื่นขึ้นมา

ฝ้าเพดานที่แปลกตา กลิ่นในบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย เตียง และผ้าห่มที่ไม่คุ้นตา

ทันใดนั้นเอง เพิ่งเจ๋อเฉิงก็มองเห็นเป็นเงาตะคุ้มๆ เมื่อ มองไปทางด้านข้างก็เห็นศีรษะของคนคนหนึ่ง เขามองออกว่า เป็นเงินอีเวย เธอนอนตะแคงหนุนแขนของเขาอยู่ เผยใบหน้า ออกมาครึ่งเดียว หน้าผากที่สดใสมีเส้นผมอยู่เล็กน้อยปรกอยู่ บนใบหน้าของเธอ หายใจอย่างช้าๆ สม่ำเสมอ

เพิ่งเจ๋อเจ๋งกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว มองมาที่เป็นเวยอีกครั้ง ในใจเริ่มเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว เขาพยายามที่จะลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่มีประโยชน์เพราะแขนของเขา ถูกเส้น เวยที่กำลังนอนหลับสนิทกดทับอยู่
เพิ่งเจ๋อเฉิงลดสายตาลงมองดูคนที่ซุกหน้าอยู่ข้างเตียง เมื่อดูจากสีหน้าจะเห็นถึงความรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นเขาจึงไม่ ได้ตั้งใจที่จะปลุกเธอ

เพิ่งเจ๋อเฉิงนอนลืมตามองดูเพดานสีขาวโพลนด้านบนอยู่ อย่างนั้น ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า แม้แต่เขาเองยังไม่รู้ด้วย ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าเมื่อคืนวานก่อนจะ นอนหลับไปเหมือนตนเองกำลังพูดคุยอยู่กับเงินอีเวยในห้อง นอนของเธอ ต่อมาเมื่อนอนไปแล้วประมาณสองชั่วโมง เขาก็ รู้สึกไม่สบายกายมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเปลวไฟกำลังแผดเผา

ในเวลานั้นเขานึกว่าตนเองกำลังฝัน แต่ต่อมาก็รู้สึกไม่ สบายมากขึ้นเรื่อยๆ เขาอยากขยับเขยื้อนเล็กน้อย แต่กลับ ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อมาร่างกายของเขาก็แทบ ไม่มีความรู้สึกใดๆ อีกเลย

เพิ่งเจ๋อเฉิงจึงได้ข้อสรุปว่าตัวเขาป่วย

นั่นก็หมายความว่าผู้หญิงคนนี้พาตัวเองมาส่งที่โรง พยาบาลงั้นหรือ?

ห้องผู้ป่วยนั้นเงียบสงัดมาก ประสิทธิภาพการกันเสียง ของประตูก็ดีมากเช่นกัน ได้ยินเสียงเพียงเสียงคนเดินอยู่บน ทางเดินด้านนอกอย่างเลือนราง

เชิงเจ๋อเฉิงหลิ่วตาลง มองดูเสิ่นอีเวยที่ยังคงนอนหลับ สนิทอยู่ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้พรั่งพรูออกมาเต็มหัวใจ แววตาของเขาใสสะอาด แต่ดูเหมือนจะแฝงไว้ด้วยบางสิ่งที่ไม่มี

ใครเข้าใจ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ