บทที่142พวกคุณจะทะเลาะกันอีกนาน
แค่ไหม
บทที่ 142 พวกคุณจะทะเลาะกันอีกนานแค่ไหม
เงินอีเวยถูกความเย็นชาของเขาเตือนสติกลับมา จนตื่น
ขึ้นมาจากภวังค์
จริงด้วย ที่นี่คือหวายหลีวิลลา คุณปู่ยังนอนป่วยอยู่บน เตียง เสิ่นเหยียนซึ่งมาหาเธอ ถ้าวันนี้ปล่อยให้เขามาสร้าง ปัญหาในวิลล่าล่ะก็ ดูจากสีหน้าที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็งของเพิ่ง เจ๋อเฉิงแล้ว เสิ่นอีเวยไม่อยากจะนึกเลยว่าจะมีอะไรตามมาบ้าง
เธอเดินผ่านเพิ่งเจ๋อเฉิงไม่ต้องสงสัย ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ได้ สนใจสายตาร้อนแรงจากคนที่อยู่ด้านหลัง
เสิ่นอีเวยเดินตรงไปทางประตูใหญ่ จึงเห็นว่าตรงนั้นมีรถ จอดอยู่คนหนึ่ง เธอเดินไปข้างหน้าต่างรถคันนั้น เป็นเหยียนซึ่ง กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนที่นั่งคนขับ เมื่อเห็นว่าเป็นอีเวยมาแล้วก็ ตับบุหรี่ในมือลงและลงจากรถ
เสิ่นอีเวยโมโหอยู่ในใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หล่อนกลับถาม อย่างเย็นชาไปว่า “ใครใช้ให้อามาที่นี่?”
และก็ต้องโทษตัวเอง ที่เมื่อครู่รีบร้อนมาเยี่ยมคุณปู่ จึงขับ รถเร็วมาตลอดทางไม่ทันระวังตัวจนถูกเสิ่นเหยียนซึ่งสะกดรอยตามมาได้
เสิ่นเหยียนซึ่งยิ้มปรี้พร้อมกล่าวว่า “เธอไม่ได้เต็มใจคุย กับฉันดีๆ ฉันถึงต้องสะกดรอยตามมา แต่ว่า…”
พูดถึงตรงนี้ เป็นเหยียนซึ่งเงยหน้ามองวิลลาที่ใหญ่โต มโหฬารแล้วพูดขึ้นมาว่า “นี่คือที่ไหนเนี่ย? เป็นวิลลาที่แกซื้อไว้ เองเหรอ? หลานสาวที่แสนดีของอา เธอดูเอานะว่าเธอสามารถ ชื่อวิลลาที่ใหญ่โตขนาดนี้เองได้ ทำไมถึงมาพูดกับฉันว่าไม่มี เงินได้ล่ะ? เธอจะให้ลุงเชื่อได้ยังไง”
เสิ่นอีเวยรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังสูบฉีด ตัวเธอนึกไม่ถึงว่า เสิ่นเหยียนซึ่งจะพูดประโยคไร้ยางอายขนาดนี้ออกมาได้
เธอมองไปยังด้านข้างเห็นหัวหน้าพ่อบ้านหยวนที่กำลังยืน อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ดังนั้นระยะห่างระหว่างเขาและทาง พวกหล่อนก็ไม่นับว่าไกลมากนัก แต่ว่าเป็นอีเวยรู้ว่าหัวหน้าพ่อ บ้านหยวนเป็นคนที่สนใจทำแต่งานของตัวเองให้ดีเท่านั้น ดัง นั้นสำหรับเรื่องอื่นแล้ว เขาเป็นคนทำงานในตำแหน่งพ่อบ้าน เท่านั้นไม่มีการวุ่นวายกับเรื่องอื่น
ไม่ว่าจะยังไงเสิ่นอีเวยก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี เพราะยังไง เสียหัวหน้าพ่อบ้านหยวนก็ยังเป็นคนของเพิ่งเจ๋อเฉิง หากอยู่ดีๆ เพิ่งเจ๋อเฉิงเกิดอยากรู้อยากเห็นอยากจะถามเขาขึ้นมาหล่ะ เขา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รายงานเขาไป
เสิ่นอีเวยก็ได้แต่ข่มความโกรธเอาไว้ แล้วพูดตอบกลับ เงินเหยียนซึ่ง “เราไปคุยกันด้านนั้นเถอะ
ทั้งสองเดินมาจนถึงบริเวณข้างแปลงดอกไม้ จนเส้นเว ยมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีใครได้ยินเนื้อหาที่ทั้งสองสนทนากันจึง เปิดปากพูด
“ฉันขอพูดกับอาเลยก็แล้วกัน ในใจฉัน เมื่อปีที่แล้วใน วันนั้นที่อยู่ดีๆอาก็ก่อเรื่องขึ้นมาแบบปุบปับไม่ทันตั้งตัว ฉันว่า ฉันไม่รู้จักอาคนนี้อีกต่อไปอีกแล้ว อาได้ยินชัดแล้ว ตอนนี้ฉัน กับอาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอีกต่อไปแล้ว ฉัน ไม่มีความจําเป็นอะไรที่จะต้องให้อายืมเงิน อาไปหาคนอื่น เถอะ!”
เสิ่นเหยียนซึ่งฟังประโยคพวกนี้แล้วก็ไม่ได้มีความโกรธ เคือง บนใบหน้าไม่แสดงให้เห็นถึงความบูดบึงใดๆ นี่แหละ เป็นสิ่งที่เสิ่นอีเวยกังวล เงินเหยียนซึ่งแสดงออกด้วยการที่เขา อดทนต่อไปแล้วละก็มันแสดงออกได้ถึงการที่เขายังคง ป้วนเปี้ยนกับเธอไม่จบไม่สิ้น
ตรงข้ามกับที่เธอหวังไว้ว่าจะได้เห็นเป็นเหยียนซึ่งโมโห อย่างหนัก เวลาที่ทั้งคู่ตีกันจนมุมไปข้างหนึ่งแล้วถึงจะตัดสิน ปัญหาได้ดีกว่า แต่เสิ่นเหยียนซึ่งคนนี้กลับเหมือนลูกบอลนุ่ม นิ่มที่อยู่ในมือ ไม่สามารถตีเป้าหมายจริงๆของเขาให้แตกได้
“อย่าพูดเหมือนเป็นคนนอกแบบนั้นเลย สี่ปีก่อนเรื่องที่ฉัน มาแย่งชิงมรดกของพ่อแกเป็นฉันเองที่ท่าไม่ถูกต้อง สุดท้าย แล้วทรัพย์สินพวกนั้นก็ไม่ใช่ว่าคืนกลับแกไปหมดแล้วเหรอ? ถ้าฉันตั้งใจจะแย่งไปจากแกจริง แกคิดว่าตอนนี้แกจะได้มีชีวิต ที่สุขสบายขนาดนี้หรอ? นอกจากเพิ่งเจ๋อเฉิงจะให้เงินแกแล้วมรดกส่วนนั้นของพ่อแกคงช่วยแกได้ไม่น้อยมั้ง?
เสิ่นอีเวยทนไม่ได้กับสิ่งที่เสิ่นเหยียนซึ่งพูดจากลับกลอก แบบนี้ ความโกรธจึงปะทุขึ้นมา : “อาอย่ามาพูดมั่วๆ ที่นี่ รับ ออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!
เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เสิ่นอีเวยเก็บคำพูดสุดท้าย ของประโยคนั้นไว้ หล่อนอยากถามคำถามหนึ่งกับเส้นเหยียน ซึ่ง ปีนั้นที่มีการจัดงานเลี้ยงที่วิลลาของตระกูลเชิง คนที่ใส่ของ บางอย่างลงไปในแก้วนั่นทำไมจึงเป็นเขาไปได้?
เมื่อค่าพูดมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว ทว่าเป็นอีเวยได้แต่ กล้ำกลืนฝืนทนกลืนลงคอไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอมักจะรู้สึก ว่า….ตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามคำถามนี้
เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดต่อและไม่ได้คิดจะสนใจเป็นเหยียนซึ่ง อีก เธอเอาแต่เดินหันหลังกลับแล้วเดินตรงไปทางประตูใหญ่
เสียงฝีเท้าสะท้อนมาจากด้านหลัง เสิ่นอีเวยหันศีรษะกลับ ไปมองอย่างตกใจ ดูท่าเงินเหยียนซึ่งคิดจะตามเธอเข้าไปข้าง ใน ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มแย้มแจ่มใสปรากฏอยู่บน
ใบหน้า
ช่างเป็นคนด้านได้อายอดเสียจริงๆ ในใจเสิ่นอีเวยคิด
อย่างจริงจัง
คิดได้แล้วเธอก็เร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้น ขณะที่เดินไปก็พูด กำชับกับหัวหน้าพ่อบ้านหยวนว่า “อาหยวน ช่วยฉันกับคนข้าง หลังนี้ไว้ข้างนอกทีค่ะ ไม่ว่าจะยังไงก็อย่าให้เขาเข้าไปเด็ดขาด!”
หัวหน้าพ่อบ้านหยวนพยักหน้าเล็กน้อยพลางตอบกลับว่า
“ครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็โบกมือหนึ่งที เหล่าบอดี้การ์ดไม่รู้ว่า มาจากไหนจู่ๆ ก็โผล่ออกมา แล้วยืนขวางทางอยู่ด้านหน้าเป็น เหยียนซึ่งเอาไว้
เงินอีเวยส่งยิ้มแล้วเดินไปยังด้านหน้า
เสิ่นเหยียนซึ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตื่นตระหนกอยู่ไม่ น้อย ดูก็รู้ว่าไม่สมควรที่จะต่อกรกับเหล่าบอดี้การ์ดเพราะเขารู้ ว่าไม่มีทางที่จะผ่านพวกนี้ไปได้ แต่วันนี้เขาก็ไม่อยากให้ตัวเอง คว้าน้ำเหลวเช่นกันดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เขาเปิดปาก ตะโกนเสียงดัง
“เสิ่นอีเวยยังไงฉันก็เป็นอาของแก ฉันยังเป็นถึงญาติ ผู้ใหญ่ของแก วันนี้ต้องลดตัวลงมาขอร้องแกขนาดนี้แล้ว แก ยังใจแข็งได้ลงอีกเหรอ? หากเรื่องนี้มันกระจายออกไปไม่กลัว หรอว่าคนอื่นจะพูดถึงว่าแกไม่นับญาติกับฉันแล้ว!
เงินเหยียนซึ่งทั้งตะโกนทั้งทำท่าอึดฮัดต่อสู้บอดี้การ์ดที่ ขวางเขาอยู่ เสิ่นอีเวยที่อยู่ด้านหน้าเขาถึงกับหยุดเดินอย่างอด ไม่ได้ เธอหันกลับมามองเสิ่นเหยียนซึ่ง เธอไม่นึกเลยว่าชายวัย กลางคนคนหนึ่งจะสามารถทำเรื่องไร้ยางอายต่อหน้าคนอื่น แบบนี้ออกมาได้!
อีกทั้งเงินเหยียนซึ่งตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังลั่นเสียงดังสนั่นจนน่าตกใจ เสิ่นอีเลยรีบเดินไปอุดปากเขาไว้ทันที เพราะเธอรู้สึกว่าหากปล่อยให้เขาแผดเสียงตะโกนต่อไป ไม่ ต้องพูดเลยว่าเดี๋ยวเพิ่งเจ๋อเฉิงก็มาจนได้นอกเหนือจากนั้นคุณ ที่กำลังพักผ่อนอยู่ก็อาจจะถูกเขาปลุกให้ตื่นขึ้นมาเช่นกัน
ในตอนนี้เองหัวหน้าพ่อบ้านหยวนที่ยืนข้างๆเสิ่นอีเวย เขา ใช้เสียงทุ้มสอบถาม: “คุณเงินครับ ไม่ทราบว่าต้องการให้ผม ไปเชิญคุณเพิ่งมาไหมครับ?”
เงินอีเวยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา “ไม่ต้องหรอก
ฉันจัดการเองได้”
หัวหน้าพ่อบ้านหยวนนิ่งเงียบ ทําความเคารพแล้วถอย กลับไปอย่างนอบน้อม
เธอเดินก้าวไปยังด้านหน้าไม่กี่ก้าวแล้วยืนประจันหน้ากับ เงินเหยียนซิ่ง สายตาเย็นชา
“ถ้าอายังจะทำแบบนี้ต่อไปอีกล่ะก็ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ
เงินเหยียนซึ่งเห็นสายตาของเงินอีเวยที่มองมาในตอน นั้น ใจเริ่มสั่น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยคิดว่าจะถูก หลานสาวคนนี้จ้องมองด้วยสายตาแบบนี้ออกมาได้ ความทรง ของเขาที่มีต่อเธอนั้นจบลงไปตั้งแต่การทะเลาะกันเมื่อปี ก่อนแล้ว
แม้ว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอไม่ปล่อยให้เป็นเหยื ยนซึ่งทำตามจุดประสงค์ของเขาได้ แต่ยังไงเขาก็ยังคง สายตานั้นออกว่าเธอยังคงขี้ขลาดอยู่ มันเป็นความกล้าบ้าบินของคนที่อยู่ตัวคนเดียว พูดตรงๆ ก็คือก็แค่ความโมโหที่สูญ เสียพ่อแม่ไปก็เท่านั้นแหละ
เสิ่นอีเวย ในตอนนั้นเป็นสาวแรกรุ่นอายุเพียงยี่สิบปี แต่ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว หลานสาวคนนี้ดูเหมือนจะต่างไป จากที่ผ่านมา
เสิ่นเหยียนซึ่งปากยิ้มแต่ใจไม่ได้ยิ้มพูดว่า “ฉันไม่กลัวว่า แกจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่า แกเป็นถึงนัก ออกแบบชุดแต่งงานที่โด่งดังมีชื่อเสียงขนาดนี้ หากเรื่องที่เกิด ขึ้นในวันนี้ นักข่าวรู้เข้า แกก็คงเสียชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยเลยที เดียว?”
เงินอีเวยเงียบงันไร้คำพูด อันที่จริงสิ่งที่เป็นเหยียนซึ่งพูด ก็ใช่ว่าไร้เหตุผล สิ่งที่เธอพูดว่าจะโทรแจ้งตำรวจนั้นที่จริงก็แค่ แกมบังคับไล่เขาไป แต่ไม่คิดว่าเป็นเหยียนซึ่งจะยิ่งหนักข้อ ขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่เธอกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้นเอง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็
ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“พวกคุณจะทะเลาะกันอีกนานแค่ไหน?
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ