บทที่55 คุณถูกไล่ออกแล้ว
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเจ๋อเฉิง หยดลงบน หลังเปล่าเปลือยของเสิ่นรู้สึกได้ถึงความร้อน
รอยยิ้มของความพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซิ่งเจ๋อ เฉิง แต่การกระทำของเขายังคงไม่ไม่หยุดเท่านั้น เมื่อเขานึกถึง มือของหันถึงที่วางบนเอวของหล่อน และท่าทางที่เขาโน้ม ตัวลงไปเหมือนจะจูบหล่อนนั้นอีก ในใจเขาเหมือนมีไฟถูกจุด ขึ้นอีก
คงมีเพียงการที่จะดับไฟ แห่งโทสะภายใน
หลังจากผ่านหมดเรี่ยวแรง เสิ่นอีเวยรู้สึก
ทันใดนั้นทับหล่อนอีก หล่อนตกใจไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรอีก
“เมื่อกี้คุณถามผมว่าไม่รู้สึกผิดต่อเสิ่นหุ้ยเหรอ”เขาถาม
ข้างหูหล่อน
เสิ่นไม่ตอบ
“ผมจะบอกคุณให้นะ ผมรักเสิ่นหุ้ยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คุณไม่มีสิทธิ์มาถามคำถามนี้กับผม”
ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าท่าทีของเขาที่มีต่อหล่อนจะเปลี่ยนแปลง ไปบ้าง ต่อให้หล่อนเข้าใจว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปกับความรักมันคนละเรื่องกัน แต่เมื่อตอนนี้หล่อนได้ยินเขาพูดว่า เขารัก เสิ่นหุ้ย ในใจหล่อนก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานไม่น้อย
เมื่อหล่อนได้ยินเขาพูดดังนั้นแล้ว หล่อนไม่โต้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มออกมาในความมืดมิด
เพิ่งเจ๋อเฉิงเห็นท่าทางเฉยเมยของหล่อน ไฟโกรธในใจ เริ่มปะทุขึ้นมาอีก เขาเกลียดการถูกหมางเมินแบบนี้ โดย เฉพาะกับเสิ่นอีเวยที่แสดงท่าทีแบบนี้กับเขา หล่อนมีสิทธิ์อะไร
เสิ่นอีเวยยังไม่ทันได้สวมเสื้อผ้า หัวไหล่อันเปล่าเปลือยยัง คงมีเหงื่อท่วม เซิ่งเจ๋อเฉิงจับหัวไหล่ของหล่อนพลิกกลับมา เผชิญหน้ากับเขา ด้วยแสงสว่างจากพระจันทร์ทำให้หล่อนเห็น ดวงตาของเขา เย็นชา ไร้ความรู้สึก
“เสิ่นอีเวย พูดสิ พูดว่า ฉันรู้ว่าคุณไม่รักฉัน”
เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างแตกละเอียดอยู่ ภายในใจหล่อน เสมือนว่าที่หล่อนพยายามทนฝืนมาสิบกว่าปี นี้ จะต้องมาถูกทรมานเพื่อให้ตัวหล่อนยอมรับสิ่งนี้เอง
“ผมบอกให้คุณพูด พูดว่าคุณรู้ว่าผมไม่ได้รักคุณ” หล่อน รู้สึกได้ว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว แต่หล่อนก็ไม่รู้สาเหตุว่า อะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้
สุดท้าย หล่อนก็ได้ยินตัวเองพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้รัก ฉัน คนที่คุณรักมาโดยตลอดคือเสิ่นหุ้ย คุณพอใจแล้วรียัง”
เซึ่งเจ๋อเฉิงมองเสิ่นอีเวยนิ่งไม่ขยับ หลังจากนั้นสามวินาที
เขาจึงปล่อยมือ
เมื่อเซึ่งปล่อยมือจากหล่อน หล่อนก็ทรุดตัวลงบน พื้น เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกมา ในความมืดมิดนั้น หล่อนสัมผัสได้ว่าเขาเดินออกจากห้องนี้ไปแล้ว
ไม่รู้ว่านานขนาดไหน กว่าหล่อนจะพยุงร่างขึ้นมาจากพื้น ได้ ระยะทางจากเตียงไปที่ห้องน้ำเพียงไม่กี่ก้าว แต่หล่อนกลับ รู้สึกว่าเดินนานเหมือนเป็นศตวรรษ
สักพักเสียงน้ำในห้องน้ำดังขึ้น ปนมากับเสียงด้วย ความทุกข์ระทม แต่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดแบบนี้ ไม่มีใคร ได้ยิน
เสียงร้องอย่างโศกเศร้าของหล่อนไม่ได้ให้ใครได้ยิน แต่เป็นเพราะว่าทนมาอย่าง ทรมาน ตลอดเวลาที่ผ่านหล่อนเก็บมันไว้ในใจ ตอนนี้มัน เหมือนกับน้ำที่เอ่อล้นออกมา เก็บอย่างไรก็ไม่อยู่
แปดโมงเช้าวันที่สอง ลืมตาขึ้น หล่อนพบว่าตัว เองนอนอยู่บนพื้นในห้องน้ำ น้ำที่อยู่บนพื้นเย็นจัด แม้ว่าจะเป็น ฤดูร้อน แต่หล่อนกลับหนาวจนตัวสั่น
หล่อนไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะนอนหลับอยู่บนพื้นห้องน้ำ หลังจากเก็บของเรียบร้อย หล่อนก็ไปที่ทำงาน
หลังจากออกมาลิฟท์ หล่อนก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศ ในที่ทำงานดูแปลกไปจากเมื่อก่อน พนักงานที่เคยนอบน้อมต่อ หล่อนวันนี้กลับมองหล่อนด้วยสายตาเห็นใจหรือไม่ก็เหมือน กำลังดูละครหนึ่งอยู่
เสิ่นอีเวยพอจะรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
ในใจหล่อนรู้สึกกังวลขึ้นมา หรือว่าทุกคนจะรู้เรื่องที่ หล่อนเป็นมะเร็งแล้ว
แต่ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ คนที่รู้ว่าหล่อนป่วยก็มีแค่หมอกับ ฉิน โม่เท่านั้น แล้วฉิน โม่ก็ไม่น่าจะรู้จักหรือติดต่อกับคนใน บริษัท
หล่อนเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องทำงาน แต่เสียงของเจ้า นายก็ดังขึ้นมาก่อนด้านหลัง “อีเวย คุณเข้ามานี่หน่อย”
เสิ่นอีเวยหันกลับไป มองเห็นเจ้านายกำลังกวักมือเรียก หล่อนอยู่ ในใจเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอาจจะร้ายแรงกว่าที่หล่อน คิดไว้ หล่อนวางของลงบนโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างกังวล แล้วเดินไปห้องของเจ้านาย
“มา นั่ง”เจ้านายหล่อนชี้มือไปยังโซฟา
เพราะว่าหล่อนเป็นนักออกแบบที่มีฝีมือโดดเด่นคนหนึ่ง หากแทบกับนักออกแบบในรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว และใน เวลาทำทางหล่อนก็ทำได้ดี ทุ่มเทเต็มที่ ดังนั้นเจ้านายจึงชื่นชม ในตัวเธอมาก
แต่นี่นับว่าเป็นครั้งที่เจ้านายพูดกับหล่อนด้วยท่าที เคร่งขรึมแบบนี้
หล่อนมองหน้าเจ้านายนิ่งๆ อีกฝ่ายเองก็เหมือนมือะไรจะ พูดแต่พูดไม่ออก แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ยปากออกมา
“อีเว้นท์ พรุ่งนี้คุณไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ”
หล่อนตกใจถลึงตาโตทั้งสองข้างมองเจ้านายแล้วถามว่า “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
ใบหน้าของเจ้านายหล่อนเจือด้วยความรู้สึกผิด “คุณเป็น นักออกแบบที่อายุน้อยและมีฝีมือดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยเจอมา ที่ ผ่านมาคุณทำงานอย่างเต็มความสามารถผมเองก็รู้ดี ผมจะคิด เงินเดือนบวกกับโบนัสไปให้คุณด้วย”
เวลานี้หล่อนไม่ได้สนใจเงินเดือนหรือ โบนัสอะไรทั้งนั้น แต่หล่อนสนใจท่าทีของคนรอบข้างหล่อนที่เปลี่ยนไป เหตุใดที่ ทำงานที่หล่อนตั้งใจอดทนทำงานมาตลอดกลับทำกับหล่อน อย่างนี้
แต่หล่อนเห็นได้ชัดว่าเจ้านายหล่อนมีบางสิ่งบางอย่างที่ พูดออกมาไม่ได้ และเขาก็ไม่อยากให้หล่อนไป
“เจ้านายคะ สาเหตุคืออะไรคะ ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะได้ รู้”เส้นอีเวยสีหน้าเคร่งเครียด
เจ้านายหล่อนก้มหน้าก้มตา ก่อนพูดว่า”ท่านประธานเชิ่ง”
เสิ่นอีเวยตกตะลึงในคำตอบ หล่อนคิดหาเหตุผลเองต่างๆ มากมายในใจ แต่ไม่ได้คิดถึงเซิ่งเจ๋อเฉิงเลย
“ก่อนที่คุณจะมา ท่านประธานเพิ่งส่งคนมาเพิ่งจะกลับไป เมื่อกี้นี้เอง เขาบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องให้คุณมาทำงานที่นี่แล้ว พวกเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องที่คุณต้องออกอย่างกะทันหัน แล้วทำให้บริษัทต้องเสียหาย คุณเองก็รู้ว่าอ่านาจของท่านประธานเชิ่งมีมากขนาดไหนไม่มีใครกล้าต่อกรอะไรกับเขา และดูเหมือนจะมีเรื่องระหว่างสามีกับภรรยาของพวกคุณอีก ผมยิ่งพูดอะไรมากไม่ได้”
หล่อนเชื่อทุกค่าพูดของเจ้านาย แต่หล่อนไม่คิดเลยว่า เขาโกรธหล่อนถึงขนาดทำเรื่องน่าอายแบบนี้ได้
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตัวเองออกจากที่ทำงานอย่างไร อากาศ ด้านนอกร้อนระอุ หล่อนไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ที่แท้ความรู้สึก เวลาตกงานมันเป็นแบบนี้นี่เอง
คงจะเป็นเพราะหล่อนไม่มีความรักจากพ่อแม่ ไม่ได้รับรัก จากคนที่หล่อนรัก และตอนนี้หล่อนก็สูญเสียงานที่หล่อนรัก เป็นที่พึ่งสุดท้ายไปอีก
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคนที่ล้มเหลวคือหล่อนหรือเพิ่ง เจ๋อเฉิงกันแน่
เขาเป็นถึงประธานบริษัทเซิ่งชื่อ แต่กลับมารังแกผู้หญิงตัว เล็กๆอย่างหล่อนจะต้องไปหาเขาให้เขาอธิบายเรื่องนี้ให้ได้
เสิ่นอีเวยเดินออกจากลิฟต์ด้วยความโกรธ บริษัทเพิ่งซื้อมี ทั้งหมด24ชั้นล้วนเงียบเหงา ห้องทำงานของเชึ้งเจ๋อเฉิงก็ไม่มี คนอยู่ หล่อนเดาว่าคงประชุมกันอยู่ในห้องประชุม
ด้วยนิสัยของหล่อน หล่อนไม่มีทางทำเรื่องสิ้นคิดอย่าง การบุกเข้าไปในห้องประชุมแน่ แต่ครั้งนี้หล่อนคิดว่าเซิ่งเจ๋อ เฉิงทำเกินไปคิดอยากจะทำอะไรก็ทำรังแกคนอื่นมากเกินไป
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ