พิชิตใจนายปีศาจ

ตอน464พบกันอีกครั้งนึง



ตอน464พบกันอีกครั้งนึง

ตอนที่ 464 พบกันอีกครั้งนึง

“แล้วเราจะไปไหนกันต่อ?

“ต้องออกจากที่นี่ไปเมืองที่นั่นบรรยากาศดีมากแถมยัง ติดทะเลอีกพวกเราไปพักผ่อนทำจิตใจให้สบายซักหน่อย

“แต่ว่า….”

“แต่ว่าอะไร?”

เธอเกือบจะพูดออกมาแล้วแต่จู่ๆจันวิภาก็เปลี่ยนเรื่องแล้ว พูดต่อว่า “แต่ว่าทั้งเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของสุพจน์ ทั้งหมดการที่เราจะหนีออกจากที่นี่ไม่น่าใช่เรื่องง่ายเลยนะ

เธอก็พูดเองนิว่าเมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสุพจน์ แล้วเธอยังจะอยากอยู่ที่นี่อีกเหรอ?ดังนั้นถ้าจะทำให้สำเร็จก็ ต้องพยายามอย่าพึ่งท้อใจ

จันวิภาไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเปมิศาต่อได้แต่กินบะหมี่ไป เงียบๆแต่ในใจกำลังคิดแผนการอื่นอยู่

ท่าทางของเปมิศาแปลกไปมากแล้วคำพูดของเธอเมื่อ ยิ่งแปลกกว่าอีกแล้วตอนจะพาเธอไปเมืองอีกเธอยัง…จะเชื่อ

ใจเปมิศาได้ไหมนะ?
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามการได้อยู่กับฉันวิภาก็ปลอดภัยกว่า อยู่กับสุพจน์แน่นอนแล้วอีกอย่างถ้าออกไปจากที่นี่ได้เธอจะได้ ติดต่อสุมิตรได้เขาจะได้มาตามหาเธอได้ถูกพอคิดถึงเรื่องนั้น แล้ววันวิภาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเธอรีบกินอย่างไวเพราะอยาก จะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

มองดูสายตาของลูกน้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มิตรก็เม้มปากแน่น

“ตามไม่ทันเหรอ?”

“ตามๆอยู่แล้วสัญญาณก็ขาดหายไปครับแต่ว่าเธอไม่น่า จะหนีไปได้ไกลแน่นอนผมหารถของพวกเธอเจอแล้ว”

“จอดอยู่ที่ไหน?”

“ตรงหน้านี้เองครับ”

“ฉันขอไปดูหน่อย”

“ครับ”

ลูกน้องนำทางสุมิตรเดินมาถึงริมถนนแล้วก็ยื่นมือไปจับ รถที่เปมิศาทิ้งเอาไว้แล้วก็บอกเขาว่า คันนี้แหละครับ

ในตอนนั้นฟ้าสว่างแล้วสุมิตรมองไปรอบๆแล้วพูด ว่า “พวกเธอต้องอยู่แถวๆนี้แน่ๆไม่น่าไปได้ไกลส่งคนออกไปปิด ทางเข้าออกของเมืองนี้ให้หมดพอเห็นเธอก็รีบจับตัวไว้
“ครับ”

“อย่าลืมว่าผู้หญิงคนนั้นมีปืนอย่าให้ทำร้ายจนวิภาได้เด็ด

ขาด”

“เข้าใจแล้วครับ”

“ไปได้”

หลังจากออกคำสั่งเสร็จสายเรียกเข้าของโทรศัพท์สุมิตร

ดังขึ้น

นิเวศน์โทรมานั่นเอง

สุมิตรรับสายทันทีแล้วก็ได้ยินเสียงที่ร้อนรนของนิเวศน์

“ปะผมเจอเบาะแสสำคัญแล้ว!

สุมิตรตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีแล้วรีบถามว่าเบาะแส

อะไร?”

“เปมิศามีพรรคพวกอยู่ในเมืองนั้นส่วนใหญ่สองคนนี้จะ คอยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผมเดาว่าเปมิศาน่าจะหนีไปอยู่กับ พรรคพวกเธอคนนั้น

“รีบส่งข้อมูลของมันมาเลย

“ส่งไปแล้วครับ”

“ดีมาก!”

หลังจากวางสายไปสุมิตรก็เปิดอ่านข้อมูลที่นิเวศน์พึ่งส่งมาแล้วก็เรียกลูกน้องมาสั่งว่า เรียกคนของเรากลับมาให้หมด ไปรวมตัวกันที่โรงแรมนี้

จันวิภาที่ตอนนี้อยู่ในโรงแรมยังคงไม่รู้ตัวว่าคนที่เธอโดย หามาโดนตลอดก็อยู่ในเมืองนี้เหมือนกันและเข้ามาใกล้เธอ มากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้วจันวิภาก็ลงมาหาเปมิศาที่

นั่งรออยู่แล้ว

เปมิศาได้เตรียมรถออฟโรดไว้คันนึงเธอกำลังขนกล่องสี สองกล่องขึ้นไปเก็บไว้บนรถ

เธอมองแล้วเดินเข้าไปหาเปมิศาอย่างสงสัยและถาม ว่า อะไรเนี่ยดูเหมือนจะหนักนะ

“นี่คือกุญแจสำคัญที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ เธอตอบพลางเอา ของเก็บไว้ที่เบาะหลังแล้วเธอก็ถามกลับว่า เก็บของเสร็จหมด แล้วเหรอ?”

“อืมเสร็จหมดแล้ว

“งั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ” พอพูดจบเปมิศา โบกมือลาหมูแอมแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ขอบใจนายมากนะจดไว้ใน บัญชีนะเดี๋ยวครั้งหน้าฉันจะมาตอบแทน

หมูแอมกลอกตาใส่เปมิศาแล้วตอบว่า “ขออย่าให้ได้มี โอกาสมาตอบแทนเลยเจ้าตัวซวย!”

เปมิศาหัวเราะออกมาเธอไม่ได้พูดอะไรต่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็ปิดประตู

“นี่ขับรถดีๆนะ”

เธอเปิดกระจกลงมาโบกมือลาหมูแอมแล้วก็ค่อยๆขับรถ ออกไป

หลังจากมองดูรถไกลออกไปเรื่อยๆ หมูแอมก็ถอนหายใจ ออกมาพร้อมบ่นพึมพำกับตัวเองว่า หวังว่าจะได้เจอเธอแบบ ครบ32อีกครั้งนะ”

เมืองนี้ตอนกลางวันคึกคักกว่าตอนกลางเยะอเลยผู้คน เดินไปมาพลุกพล่านแต่ละคนดูสบายอกสบายใจ แต่จันวิภากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยเธอเอาหัวพิงกับ

หน้าต่างรถ ในหัวมีแต่ความสับสนงุนงงไปหมด

“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”

“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะเลยง่วงนิดหน่อย

“งั้นเธอก็หลับตาพักผ่อนไปก่อนเถอะเดี๋ยวพอถึงแล้วฉัน ปลุก”

จันวิภาสายหัวแล้วตอบว่า “ไม่ได้นอนไม่ได้เด็ดขาดเพราะ เรายังไม่รู้ว่าอยู่ๆคนของสุพจน์จะโผล่มาจากทางไหรอีกฉัน ต้องมีสติไว้”

เปมิศายิ้มออกมาแล้วตอบว่า “ถึงแม้เธอจะมีสติแล้วเธอจะทําอะไรได้ล่ะหม?”

คำพูดพวกนี้ทำให้จันวิภารู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เธอ พูดต่อว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เก่งเท่าเธอแต่ว่ามีมือเพิ่มมาอีก สองมืออย่างน้อยก็ช่วยเธอขนของได้ล่ะนะ

“เรื่องนั้น…..ฉันก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน

ยัยเพื่อนคนนี้เห็นค่าความหวังดีของคนอื่นหน่อยไม่ได้ หรือยังไง!

พอเห็นในวิภาเงียบไปเปมิศาก็หันหน้าไปมองหน้าเธอเธอ

หัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไปโกรธแล้วเหรอ?” จันวิภาไม่ได้สนใจเปมิศาเพราะเธอยิ่งปวดหัวมากกว่า

เดิมอีก

“โอเคๆไม่ต้องโกรธแล้วเชื่อฉันเถอะพักผ่อนซะหน่อยเธอ ต้องมีพลังงานเต็มที่ถึงจะช่วยฉันได้นะ

“ใครอยากจะช่วยเธอกันคงไม่คิดว่าเป็นฉันหรอกใช่

ไหม…..

จันวิภายังไม่ทันจะพูดจบเธอก็เหมือนเห็นร่างกายของคน

ที่คุ้นเคย

จันวิภายกมือขึ้นขยี้ตาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีก ครั้งสายตาเบิกโพลง

รถคนนึงที่ขับอยู่เลนข้างๆมีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่มองไกลๆเขาดูเหมือนรูปปั้นผู้ชายคนที่ดูเหมือนเป็นกษัตริย์แค่ชายตา มองแว๊บเดียวก็ทำให้คนทุกคนแทบจะก้มหัวให้แล้วก็ไม่ใช่ ใครอื่นเขาคือสุมิตรนั่นเอง

ใบหน้าเล็กๆก็ยิ้มกว้างออกมาจนวิภารีบพูดออกมา นี่ฉัน ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคนๆนั้นคือมิตรจริงๆ ใช่ไหม?

จันวิภาพูดไปพลางเอามือหยิกแขนตัวเองหนึ่งที

“เจ็บจังเลย!”

ถึงแม้ว่าจะเจ็บแต่จันวิภากับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

มาก

“ไม่ได้ฝันไปจริงๆด้วยนั่นมิตรจริงๆ! เธอรีบหันหน้าไป มองเปมิศาแล้วจันวิภาก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “สามีฉันมาแล้วเขา มารับฉันแล้ว!ปมิศาจอดรถเร็วฉันจะไปหามิตร!

จันวิภาพูดเสียงดังมากแต่เปมิศาทำราวกับไม่ได้ยินอะไร ทั้งสิ้นแถมยังเร่งเครื่องให้เร็วกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ

“เปมิศาเธอเป็นอะไรไปน่ะไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ?”

แน่นอนว่าเปมิศาได้ยินที่เธอพูดเธอเลยยิ่งเร่งเครื่องให้

เร็วขึ้นเพื่อจะหนีไปจากสุมิตรให้ได้ ตอนที่จันวิภากำลังงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสุมิตร

มองเห็นเธอแล้วเช่นกัน

คนที่รักที่สุดอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาแล้วแต่สุมิตรก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้มากเกินไปเขากลัวว่าถ้าเปมิศา โมโหขึ้นมาแล้ว จะทําอะไรบ้าๆ

“จันวิภา…….”

ราวกับว่าเธอได้ยินเสียงเรียกของเขาในวิภาหันหน้ากลับ ไปมองเขาอีกครั้งทั้งสองสบตากัน

การที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งหลังจากต้องแยกจากการมา นานทำให้ฉันวิภาซาบซึ้งจนอยากจะร้องไห้ออกมาพอเห็นว่า มิตรปราศจากอันตรายจันวิภาก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเธอ อยากจะพูดบางอย่างกับเขาแต่พอเธอจะอ้าปากพูดอยู่ๆก็รู้สึก ว่าตัวเองไม่มีเสียงซะยังงั้น

เกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ๆก็รู้สึกเหนื่อยรู้สึกง่วงขึ้นมาขนาดนี้?

แต่ว่าตอนนี้จะนอนไม่ได้เด็ดขาดมิตรอยู่ตรงหน้านี้แล้วตัว เองจะต้องกลับบ้านไปกับเขาให้ได้

เธอพยายามเบิกตาโพลงเพื่อไม่ให้แต่ตัวจันวิภาที่กำลัง พิงหน้าต่างรถอยู่นั้นในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานความง่วงได้ เธอหลับไปทันที

แย่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับจันวิภา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ