ภรรยาคนที่เจ็ดของประธาน

ตอนที่ 62 ปาวสาวจําเป็น



ตอนที่ 62 ปาวสาวจําเป็น

เธอได้วิ่งไปบริเวณชายหาด ในที่สุด เธอได้พบกับปยุต

ยืนอยู่บริเวณนั้น

เธอค่อยๆเดินเข้าไปหาปยุตทีละก้าว หยุดยืนอยู่ข้างๆ กายของเขา และพูดว่า : “อย่าคิดว่าฉันจะมาขอให้ คุณยกโทษให้ฉันนะ ฉันไม่รู้สึกเลยว่าฉันทำอะไรผิดกับเธอ ตรงไหน”

ปยุตมองไปยังผลินด้วยสายตาค้อนควัก พูดด้วยน้ำเสียง เย็นชาว่า : “ผมก็ไม่รู้สึกเลยว่า เวลานี้คุณสมควรที่จะมายืน อยู่ตรงหน้าผม”

ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ ก็เป็นเหตุผลที่ฉันควรมายืนอยู่ตรงนี้

“ไม่ว่าเหตุผลของคุณจะเป็นอย่างไร ผมก็จะเลือกที่จะไม่ ฟังใดๆทั้งสิ้น ”

“คุณสามารถเลือกที่จะไม่ฟัง แต่ฉันต้องการให้คุณเข้าใจ ในสิ่งที่ฉันกำลังงจะพูด

ผลินได้ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆปยุตที่มีสายตาเย็นชา พร้อม กับพูดกับเขาทีละคำว่า : “ใช่ คุณเคยประสบความบอบช้ำ อย่างแสนสาหัส ถูกหญิงที่ตัวเองรักหมดใจทอดทิ้งอย่างไร้ เยื่อใย คุณมีเหตุผลเพียงพอที่จะเจ็บปวด หดหู โศรก เศร้าเสียใจ แต่ว่าคุณไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ตัวเองต้อง จมปลักอยู่ในอดีตเหมือนทุกวันนี้ วันนี้เป็นวันที่หญิงคนนั้น ได้ทอดทิ้งคุณไป แล้วยังไงล่ะ ? วันเกิดเป็นวันที่พ่อแม่ให้ กับคุณ ไม่ใช่เธอคนนั้นให้กับคุณ เธอมีค่าอะไรที่จะมา ทำลายวันเกิดซึ่งเป็นวันสำคัญที่พ่อแม่มอบให้กับคุณ ? วัน เกิดของพวกเราเป็นวันที่แม่ของเราเจ็บมากที่สุด มีเหตุผล อะไรเพื่อที่จะหลบหนีปิดบังปมในหัวใจ แล้วกลับลืมคนๆเดียว ในโลกนี้ที่มอบชีวิตอันมีค่าให้คุณ ? อักทั้งวันนั้นในกว่า10ปี ที่ผ่านมา แม่ของคุณใช่มั้ยที่เพื่อพวกเราแล้วไม่ว่าจะผ่าน ความทุกข์ยากลำบากสักเพียงไหนเขาก็ยอมที่จะมอบชีวิตที่ มีค่านี้ให้กับพวกเราไม่ใช่รึ ? ”

“คุณไม่เคยถูกใครทำร้ายลับหลัง ดังนั้นอย่ามายืนพูดจา เหมือนคนที่เข้าใจจิตใจของคนอื่นหน่อยเถอะ เหตุผลต่างๆ นานาพูดให้คนอื่นฟังนั้นมันง่ายดายอยู่หรอก หากประสบกับ ตนเองนั้นนะซิ กลับเป็นเรื่องอื่นเลยทีเดียว ชีวิตของผมนั้น ไม่ได้มีคุณค่าอย่างที่เธอวาดฝันไว้หรอกนะ มันอยู่เหมือน ท่อนไม้ผ่านไปไปวันๆ บางครั้งอาจจะสูญสลายไปได้ทุก เวลา”

ผลินคิดไม่ถึงเลยว่า ปยุตจะพูดจาดั่งคนไร้ซึ่งความรับผิด ชอบ พลันตะเบ็งเสียงอย่างโกรธเคืองขึ้นมาว่า : “อย่างนั้น ก็ดีแล้ว ในเมื่อคุณคิดว่าชีวิตของคุณนั้นไร้ค่า ไม่ใยดีต่อ คนที่ดีต่อคุณ อย่างนั้นข้างหน้าเป็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่ คุณก็จัดการชีวิตที่คุณคิดว่าเป็นเหมือนท่อนไม้ไร้ค่าย่อย สลายไปได้ทุกเวลา ฝังมันลงไปในท้องทะเลแห่งนี้ซะเถอะ เพื่อจะไม่ต้องให้คนอื่นในครอบครัวคุณต้องมาหนักใจกับคุณ อีก ! ”

“คุณคิดว่าผมไม่กล้าอย่างนั้นรึ ? ” ปยุตเม้มมุมปากสะอื้นอย่างรันทด เดินก้าวไป

ข้างหน้ามุ่งไปหาทะเลอันกว้างใหญ่ ผลินตะลึงงันเบิกตา โพลงจ้องมองดูปยุตค่อยๆเดินห่างออกไป น้ำทะเลท่วมเท้า ของเขาและเอวของเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบท่วมพันหลัง ของเขา หลังจากยืนตะลึงอยู่ผลินรีบวิ่งแวกน้ำทะเลไปคว้าตัว ของปยุตในทันที วิ่งไปถึงด้านหลังของปยุตโอบกอดรัดเอวป ยุตไว้จนแน่น ร้องไห้อย่างเจ็บปวดกอดแผ่นหลังของปยุต ไว้ พูดว่า

“ก็ได้ ในเมื่อคุณอยากจะตาย อย่างนั้นฉันจะตายไป พร้อมกับเธอ หากแต่ว่า หลายปีมานี้ ฉันไม่เคยมีความคิด บ้าๆอย่างนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย

น้ำตาของผลินไหลลงบนเผ่นหลังของปยุตจนตกลงมายัง ท้องทะเล มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไหนเลยจะเข้าใจ น้ำตาเพียงน้อยนิด ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่แบกรับเอา ไว้มันหนักอึ้งยิ่งกว่าก้อนศิลาเสียอีก

ปยุตยืนหยุดนิ่งหันไปมองผลินแล้วพูดว่า : “เธอนี่ช่างโง่ เสียจริงๆ เมื่อไหร่ถึงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ? มาตายด้วยกัน กับคนเลวอย่างผมนี้มันคุ้มค่าแล้วหรือ? ”

“ในสายตาของคุณ คุณปยุต พวกเราเป็นคู่รักปลอมๆ ที่ จดทะเบียนสมรสเพียงแต่ในนามเท่านั้น แต่ว่าในสายตา ของฉัน คุณเปรียบเสมือนญาติสนิทของฉันคนหนึ่ง ถึง แม้ว่าระหว่างเราจะไม่มีความรักต่อกัน แต่ฉันก็ไม่สามารถ ทอดทิ้งคุณโดยไม่แยแสได้เลย ฉันจะคอยช่วยเหลืออยู่

เคียงข้างคุณตลอดไป ไม่ว่าจะมีสถานะภาพอย่างไรฉันก็ พร้อมทุกอย่าง”

ปยุตได้ยินคำพูดของผลินประทับใจเป็นอย่างมาก เขาหัน หลังกลับไปหาผลิน ค่อยๆลูบไลผมของเธอที่เปื้อนไปด้วย คราบน้ำตา พูดอย่างเคร่งขรึม ว่า “เด็กโง่ คุณคิดว่าผมจะ อ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือ ? ถึงแม้การผิดหวังในความรักได้ ประทับร่องรอยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานไว้ให้ผม แต่ว่ายัง ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ทำให้ต้องคิดสั้นถึงขนาดนี้ ถ้าหากจะคิด สั้นนั้นคงต้องเป็นเมื่อสามปีที่แล้วซะมากกว่า ไม่ใช่วันนี้หรอก นะ”

อย่างนั้นคุณทำอย่างนี้ทำไมล่ะ ? เพราะอะไรถึงทำให้ “ ฉันคิดว่าคุณหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วล่ะ ? ”

“ก็เพียงแค่ต้องการให้ตนเองได้ตื่นขึ้นซะทีเท่านั้น ผม ไม่ปฏิเสธ คุณพูดได้ถูกต้อง ชีวิตของผมไม่ใช่เป็นของ ผมเองเสียทั้งหมด ดังนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ไม่สามารถ ทรยศต่อตนเองได้

คิดอย่างนั้นรึ ? คุณคิดอย่างนั้นจริงๆรึ ? “ “

คราบน้ำตาบริเวณหางตาของผลินได้กระทบกับแสงจันทร์ ส่องประกายวับวาว เมื่อเห็นปยุตพงกศรีษะอย่างหนักแน่น อย่างนี้ ในที่สุดเธอก็ยิ้มอย่างโล่งใจ

“ขอบคุณ ขอบคุณมากที่คุณยังฟังคำทัดทานจากฉันอยู่

บ้าง ” เธอมีความสุขมาก มีความสุขมากที่สุด

ปยุตยื่นมือออกไปปาดคราบน้ำตาของผลินเบาๆ ถอน หายใจแล้วพูดว่า : “ผลินคุณช่างเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นมาก คน ที่สมควรพูดคำว่าขอบคุณควรจะเป็นผม ขอบคุณเธอมากที่ อดทนในความมุทะลุของผม ขอบคุณเธอมากที่ไม่ทอดทิ้ง ผมไปไหนเหมือนผู้หญิงคนอื่น”

ฉันไม่ต้องการให้คุณมาขอบคุณฉัน ถ้าหากคุณคิดจะ “ ขอบคุณจริงๆแล้วล่ะก็ อย่างนั้นคุณรับปากกับฉันได้มั้ย ช่วยฉันเอาชนะPTSDของตนเองเหมือนกับเอาชนะความกลัว ในที่แคบได้มั้ย บางทีอาจะยาก แต่ว่าเหมือนกับที่คุณพูด เพียงแค่มีความแน่วแน่ ไม่มีอะไรทำไม่ได้ เรื่องราว ในชีวิตประจำวันที่เกิดทั้งหมดของพวกเราทุกคน ล้วนต้อง ใช้ความรู้สึกของพวกเราไปจัดการ ถ้าหากว่าจิตใจของ รู้สึกหม่นหมอง นั้นก็หม่นหมองไปแล้ว แต่ว่า ถ้าหาก จิตใจของเราไม่รู้สึกเศร้าโศรก อย่างนั้นไม่เศร้าโศรกต่อ เรื่องอะไรง่ายๆ”

ปยุตจ้องมองผลินอย่างไม่ละสายตา ทั้งสองจ้องมองกัน สักพักใหญ่ ปยุตได้คว้ามือของผลินมาวางไว้ตรงหน้าอกที่ เปียกชุ่ม พูดว่า “ ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงบัดนี้ วันนี้ เวลานี้ สถานที่นี้ ทำให้เจ็บปวดอย่างมาก แต่ว่าวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว

ปยุตค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของเขาทีละเม็ด เพื่อเปิดเผย หน้าอกของเขาผลินไม่ใช้ครั้งแรกที่เห็นหน้าอกของปยุต แต่เธอกลับเห็นเป็นครั้งแรก และประหลาดใจเป็นอย่างมาก บนหน้าอกของปยุตมีสักตัวอักษร 1 ตัว ซึ่งมั่นใจว่าเป็นชื่อคน อย่างแน่นอน นั้นก็คือ จันทร

ไม่ว่าเป็นครั้งก่อนที่สระว่ายน้ำของโรงแรม T หรือว่าก่อน หน้านี้ ผลินเองไม่เคยแอะใจเลยว่าตรงหน้าอกของปยุตนั้น มีสักตัวอักษร คำนั้นอยู่เลยจริงๆ

“รักเขามากมายขนาดนั้นเลยหรือ ถึงได้สักชื่อของนางไว้ ตรงกลางหัวใจ ? ”

ผลินได้สอบถามปยุตอย่างเสียใจปนน้อยใจ

“สักวันหนึ่งหาก คุณได้พบกับคนที่คุณรักอย่างจริงใจสัก คน ถึงเวลานั้นคุณก็คงจะเข้าใจ”

“ดังนั้น ก็ไม่มีทางที่จะสามารถลืมเธอได้ใช่มั้ย ? ”

“ผมจะพยายาม เป็นเพราะคำพูดของคุณทำให้ผมคิดที่ จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ ดังนั้น จะพยายามอย่างที่สุด ตั้งแต่นี้ต่อไป ผมจะค่อยๆลืมชื่อคนนั้นที่อยู่บนหน้าอกผม และลบคนๆนั้นออกจากจิตใจของผมให้ได้”

ครั้งนี้ ปยุตไม่ใช่ตัดสินใจบุ่มบ่าม แต่เป็นการตัดสินใจ อย่างแน่วแน่ วันที่2 ปยุตได้มายืนอยู่หน้าร้านสักที่เขาได้ เคยมาเมื่อครั้งก่อน จ้องมองป้ายร้านค้าอย่างคุ้นเคย ภายใน จิตใจเหมือนถูกอะไรทิ่มแทง เมื่อ5ปีที่แล้ว ครั้งแรกที่มา ร้านนี้ เขาได้มาที่นี่ด้วยกันกับจันทร แต่วันนี้มาร้านนี้อีก ครั้ง ดูเหมือนเป็นสถานที่คุ้นเคย แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไป คนที่มาเป็นเพื่อนเขาในตอนนั้น ไม่รู้หายหน้าไปไหนซะแล้ว

อาจารย์ท่Tattoo ที่ประจำในร้านยังจำปยุตได้ และต้อ นรับปยุตอย่างกระตือรือร้น ว่า : “คุณชายปยุต วันนี้มา ถึงร้านผมได้ท่านมีเวลาว่างหรือครับ ? ”

อาจารย์ทำTattooยังรู้จักปยุตเลย แล้ว ในเมือง B มีใคร บ้างที่ไม่รู้จักปยุต หากเปรียบเทียบแล้วยังน้อยกว่ารู้จัก ไดโนเสาร์เสียอีก

“ถ้าหากวันนี้ท่านอาจารย์สะดวก ช่วยผมลบรอยสักที่ หน้าอกผมออกให้ได้หรือไม่”

อาจารย์ทํTattoo ผงกศรีษะตอบรับอย่างงงงัน สําหรับท่านผมสะดวกเสมอ เพียงแต่ว่าเพราะเหตุใดถึงคิด ลบรอยสัก ออกล่ะครับ ? ”

“มันไม่มีคุณค่าอะไรที่จะเก็บมันไว้แล้ว ”

ปยุตตอบคำถามนี้อย่างเย็นชา

“อ่อ โอเคครับ ”

เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ไม่สมควรถามให้มากความ ถึง แม้ว่าอาจารย์ทำTattooจดจำรอยสักอันนี้ได้เป็นอย่างดี ตอน นั้นชายหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักและพกความสุขมา จนล้นเหลือ จึงคิดที่จะสักชื่อของเพื่อนสาวเพื่อแสดงถึงความ รักอย่างสุดซึ้งที่มีให้กับหญิงคนรัก “คุณชายปยุต ผมขอถามคำถามบางอย่างที่ไม่ควรจะ

ถาม เพื่อนสาวของคุณในตอนนั้นล่ะไปไหนแล้ว คุณทั้ง สองแยกทางกันแล้วหรือครับ ? ” อาจารย์ทํTattoo ลบรอยสักบนหน้าอกของปยุตพลาง

สอบถามอย่างละลาบละล้วงไปพลาง

“อืม”

“น่าเสียดายจริงๆ ผมทำงานสักนี้มากว่า20ปี และสักให้ กับคู่รักอย่างพวกคุณนี้มานับไม่ถ้วน ไม่เคยพบเห็นคู่รักคู่ ไหนเป็นเหมือนกับคู่ของคุณ ยินดีที่จะสักชื่อของคนรักไว้บน หน้าอกของตนเอง”

“คนรักรี ? ”

ปยุตขมวดคิ้วถาม : “หมายความว่ายังไง ? ”

ถึงแม้ว่าจันทรได้มาพร้อมกับปยุตในปีนั้น แต่ว่าปยุตรัก และถนุถนอมกลัวว่านางจะเจ็บ ดังนั้นจึงเปลี่ยนความตั้งใจ ไม่ต้องการให้นางสักชื่อคนรักไว้ที่หน้าอก

คุณรู้มั้ย หลังจากนั้น เพื่อนสาวของคุณ ได้มาที่ร้านของ ผมอีกครั้ง เพื่อสักชื่อของคุณไว้ที่หน้าอกของเธอ”

ร่างของปยุตชะงักงันพรวดพราดถามขึ้นมาว่า : “เรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? ” อาจารย์ทํTattooตรึกตรองดูแล้วพูดว่า : “ ประมาณ 3

ปีที่แล้ว ผมจำได้ว่าเหมือนจะเป็นวันขึ้น9 ค่าเดือน เพราะ

ว่าอีก2วัน เป็นวันครบรอบวันตายของภรรยาของผม ปยุตลุกพรวดขึ้นมานั่ง บีบหัวไหล่ทั้งสองของเขาถามอีก

ครั้งว่า : “คุณมั่นใจรึ ? ”

อาจารย์ทำTattoo ตกใจปยุตอย่างมากและผงกศรีษะ รับคำอย่างว่องไว : “ใช่ครับ ผมมั่นใจมากครับ……

มือทั้งสองของปยุตพลันอ่อนระทวย และความรู้สึก ปวดร้าวในจิตใจไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดได้ จากนั้นเขา ได้ขวักแบงก์ร้อย สองสามใบจากกระเป๋าเงินอย่าซึมกระทื อมอบให้ จากนั้นลุกขึ้นยืนเดินออกไปอย่างไร้จุดหมาย

“นายน้อยปยุต คุณไม่ลบรอยสักแล้วหรือครับ ? ”

อาจารย์ท่าTattoo เกร็งลําคอร้องเรียกตามปยุต

แต่ปยุตกลับโบกมือปัดไปมา ไม่พูดจาสักคำ เปิด ประตูรถยนต์ บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ เร่งออกไปใน ทันที

ปยุตขับรถยนต์อย่างไร้จุดหมายวนไปรอบๆตัวเมือง รอยสักที่หน้าอกลบออกไปเพียงแค่นิดเดียว กลับเจ็บปวด มากกว่าขณะที่ยังมีรอยสักเช่นเดิมเสียอีก เวลาผ่านไป 3 วัน เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจความคิด และกระทำของหญิงสาวคนนั้น อาจารย์หTattooบอกว่า 2วันหลังจาก ขึ้น9 ค่ำเดือน9 เป็นวันครบรอบวันตายภรรยาของเขา แต่เขาไม่รู้เลยว่า 2วันหลังจาก ขึ้น9 ค่ำเดือน9 นั้น เป็นวันแต่งงานของปยุตและ จันทร

ถ้าหากว่า จันทรคิดจะทอดทิ้งปยุตไป จันทรต้อง วางแผนเตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ในเมื่อแผนการนี้ได้จัด เตรียมไว้ แต่เพราะเหตุใด ก่อนวันแต่งงานเพียงแค่วันเดียว จันทรถึงคิดจะสักชื่อของปยุตไว้ที่หน้าอกของเธออีกล่ะ ?


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ